ตอนที่ 10 : ติดอาวุธ
ตอนที่ 10 : ติดอาวุธ
ผู้รอดชีวิต
ต้องเป็นผู้รอดชีวิตแน่ๆ
ทุกคนในโลกนี้ไม่ได้กลายเป็นซอมบี้ไปซะหมด มันยังมีผู้รอดชีวิตเหลืออยู่
รถบัสที่อยู่ในระยะไกลเหมือนกับหนังดังของฮอลลีวูด มันพุ่งไปตามถนน กระแทกซอมบี้กระเด็นออกไปหรือไม่ก็บดพวกมันเป็นเนื้อสับ
ยานพาหนะที่ขวางทางอยู่และสิ่งกีดขวางต่างๆ ถูกกระแทกออกไปอย่างรุนแรง และรถบัสก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
จำนวนของซอมบี้ที่ไล่ตามรถบัสเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกมันก็ไม่สามารถไล่ตามรถบัสได้ทันด้วยขาของพวกมัน
ด้วยความเร็วขนาดนี้ เว้นแต่จะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น รถบัสคันนี้ก็น่าจะสลัดซอมบี้พวกนี้ให้หลุดไปได้
หากไปถึงถนนสายหลัก รถบัสก็มีชัยไปมากกว่าครึ่งแล้ว
ถนนที่นั่นกว้างกว่ามาก และจำนวนซอมบี้ก็ไม่ได้หนาแน่นเท่ากับบริเวณพื้นที่อยู่อาศัย
หวู่เหิงเฝ้าดูสถานการณ์บนท้องถนนอย่างตั้งใจ และมองตามรถบัส
ทันทีที่รถบัสมาถึงสี่แยกและเริ่มชะลอความเร็วเพื่อเลี้ยว…
ทันใดนั้นมันก็มีเสียงดัง ‘ปัง’ และกระจกสูงจากพื้นจรดเพดานของร้านค้าริมถนนแห่งหนึ่งแตกออก พร้อมกันนั้นก็มีร่างขนาดใหญ่ผิวสีแดงเข้มพุ่งเข้าหารถบัสที่ชะลอความเร็วลงพร้อมกับเศษกระจกที่กระจัดกระจายออกมา
ตู้ม~!
ซอมบี้ขนาดมหึมาชนเข้ากับด้านข้างของรถบัส ทำให้มันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
จากนั้นรถบัสที่หลุดออกจากการควบคุมก็กระแทกเข้ากับเสาไฟฟ้าข้างถนน
รถบัสหยุดลง พร้อมกับมีควันดำลอยออกมา
ก่อนที่คนที่อยู่ด้านในจะทันได้ตอบสนอง ซอมบี้จากทุกทิศทางก็กรูกันเข้าหารถบัสทันที
ระหว่างช่องว่างของซอมบี้ที่อัดแน่น มันก็สามารถมองเห็นท่อเหล็กที่แทงออกมาด้านนอกได้
ผู้รอดชีวิตที่อยู่ข้างในยังคงพยายามต่อต้าน
แต่พวกมันก็ดึงดูดซอมบี้มามากเกินไประหว่างทาง ทำให้มันเต็มไปด้วยฝูงซอมบี้
จากสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเขาก็น่าจะไม่สามารถหนีรอดไปได้แม้ว่ารถบัสจะขยับได้อีกครั้ง
หวู่เหิงเฝ้ามองจากชั้นดาดฟ้า
หวู่เหิงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่สามารถช่วยอะไรคนพวกนั้นได้เลย
หากเขาพุ่งออกไป มันคงลงเอยด้วยการกลายเป็นอาหารอีกมื้อของเหล่าซอมบี้เท่านั้น
เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย และหันเหความสนใจไปยังสัตว์ประหลาดยักษ์ที่ล้มรถบัส
มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ มีความสูงเกือบ 3 เมตร มีผิวสีแดงเข้ม และมีแขนกับลำตัวที่แข็งแกร่งมาก กล้ามเนื้อของมันพองออกมาเหมือนกับเนื้องอก และเต็มไปด้วยการระเบิดพลัง
“นี่มันตัวอะไรกัน”
ซอมบี้เท็ดดี้มีขนาดตัวเพิ่มขึ้นจากเดิมจนมีขนาดแทบจะเท่ากับสิงโต และซอมบี้ที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงคล้ายๆ กัน
นอกจากนี้กำลังรบของมันยังน่าสะพรึงกลัวมาก
การปะทะกับรถบัสด้วยร่างกายของมันย่อมบ่งบอกว่ามันแข็งแกร่งแค่ไหน
ซอมบี้ยักษ์ที่เวียนหัวเล็กน้อยเดินโซเซไปยังรถบัส
มันเหวี่ยงซอมบี้ที่ขวางทางออกไป และเหวี่ยงหมัดเข้าใส่รถบัส
ปัง ปัง ปัง~!
ทุกครั้งที่หมัดปะทะเข้าใส่รถบัส กันชนก็จะบุบ และเหล็กเส้นของรถก็จะหลุดออกมา
เมื่อช่องว่างเริ่มใหญ่ขึ้น เหล่าซอมบี้ก็กรูกันเข้าไปในรถบัสและเริ่มฉีกทึ้งคนที่อยู่ข้างใน
ความวุ่นวายกินเวลาอยู่ไม่นาน
ในเวลาแค่ 2-3 นาที รถบัสก็หยุดสั่นไหว
พวกซอมบี้เป็นเหมือนกับสัตว์ร้ายที่สูญเสียเหยื่อของมันไป พวกมันสงบลง และกระจัดกระจายกันออกไป
รถบัสที่อยู่ตรงกลางนั้นโค้งงอผิดรูป โดยมีชิ้นส่วนของร่างกายที่แยกเป็นชิ้นๆ ห้อยอยู่
จากเริ่มจนจบ หวู่เหิงก็ไม่รู้เลยว่ามันมีผู้รอดชีวิตอยู่ภายในนั้นกี่คนหรือว่าพวกเขาหน้าตาเป็นยังไง
ซอมบี้ยักษ์กลายพันธุ์เดินไปข้างๆ และหายกลับเข้าไปในร้านริมทาง
เมื่อเห็นเช่นนี้ หวู่เหิงก็รู้สึกถึงอันตรายมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่ามันจะเป็นฝูงซอมบี้เมื่อครู่หรือซอมบี้ยักษ์กลายพันธุ์ มันก็ทำให้เขารู้สึกกดดันได้เป็นอย่างมาก
ด้วยจำนวนของโครงกระดูกในตอนนี้ การเผชิญหน้ากับพวกมันก็ย่อมเป็นการรนหาที่ตายชัดๆ
“คงต้องระวังตัวเข้าไว้ และเมื่อข้ามีจำนวนโครงกระดูกมากพอ มันก็คงจะไม่น่ากลัวอีก”
เขาพึมพำกับตัวเองในขณะที่มองฝูงซอมบี้ที่ค่อยๆ แยกย้ายกันไป
“หืม?”
ทันใดนั้นซอมบี้ตัวหนึ่งก็ดึงดูดความสนใจของเขา
มันเป็นซอมบี้ที่สวมเสื้อสีน้ำเงินที่ไม่มีอะไรพิเศษยกเว้นที่เข็มขัดของมัน
เข็มขัดหนังสีดำผูกเชือกสีดำที่มีปืนพกสีดำมัดเอาไว้ได้ห้อยลงมาถึงที่น่องของมัน
“ซอมบี้ติดอาวุธงั้นเหรอ?”
ในการต่อสู้กับพวกซอมบี้ เขาสามารถพึ่งพานักรบโครงกระดูกของเขาได้ และเขาก็จะไม่เป็นอะไรตราบใดที่เขาไม่เสี่ยง
แต่ในโลกที่มนุษย์ทุกคนเป็นนักรบในเมืองหินดำ ในกรณีฉุกเฉิน เขาก็ยังขาดความสามารถในการป้องกันตัวเองอยู่
หากเขาได้รับอาวุธนั่น มันก็จะทำให้เขารู้สึกปลอดภัยขึ้นมา
การเหนี่ยวไกนั้นง่ายกว่าการยิงธนูมาก
“ข้าต้องเอามันมาให้ได้”
เขาพึมพำกับตัวเอง และหวู่เหิงก็เริ่มคิดหาวิธีเอามันมา
การพุ่งออกไปตรงๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้
วิธีที่ดีที่สุดก็คือการหาทางทำให้มันมาที่นี่เพียงตัวเดียว
หลังจากคิดดูแล้ว หวู่เหิงก็เหลือบมองเชือกปีนเขาในมือ
มันคุ้มค่าที่จะลองดู
...
บนถนน
เชือกถูกหย่อนลงมาจากท้องฟ้า
หลังจากคล้องซอมบี้ได้แล้ว มันก็รัดและลากซอมบี้ตัวนั้นขึ้นมา
แรงดึงอย่างกะทันหันทำให้ซอมบี้ตกใจและมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนก และมันก็คำรามออกมา
ดูเหมือนว่ามันจะสับสนว่าทำไมมันถึงเคลื่อนไหวโดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
ในระหว่างการดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ซอมบี้ตัวนั้นก็ถูกดึงขึ้นมาตามผนังของตึก
หวู่เหิงยืนอยู่บนหลังคาและสั่งให้นักรบโครงกระดูกเปลี่ยนทิศทางของการลากเพื่อหลีกเลี่ยงระเบียงและราวด้านนอกเผื่อว่ามันจะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นระหว่างทาง
ไม่ไกลจากเขามีนกพิราบโครงกระดูกสองตัวที่มีลำตัวเป็นโครงกระดูกสีขาว แต่ปีกของพวกมันก็ยังมีชั้นเนื้อหุ้มอยู่เพื่อรักษาความสามารถในการบินของพวกมันเอาไว้
บ่วงบาศบนตัวซอมบี้ก็เป็นฝีมือของโครงกระดูกนกพิราบทั้งสองตัวนี้นั่นเอง
เขาไม่ได้มีความสามารถในการขว้างบ่วงบาศในระยะไกลเช่นนั้น
แม้ว่านกพิราบโครงกระดูกจะปล่อยบ่วงบาศลงมาจากท้องฟ้า แต่มันก็ยังต้องใช้ความพยายามไปกว่า 20 ครั้งจึงจะสำเร็จ
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงระมัดระวังมากในระหว่างกระบวนการลาก และกลัวว่ามันจะหลุดออกไปกลางทาง
ในที่สุดซอมบี้ที่กำลังดิ้นรนก็ถูกดึงขึ้นไปบนหลังคา ก่อนที่มันจะทันได้ลุกขึ้นมาโจมตี มันก็ถูกมีดทำครัวกลุ้มรุมในทันที
หวู่เหิงก้มลงและถอดกางเกงของศพออก จากนั้นเขาก็ได้สิ่งที่ต้องการมาอยู่ในมือ
เขาไม่ได้ไม่คุ้นเคยกับปืน
มันเป็นของปกติทั่วไปในภาพยนตร์และโทรทัศน์
นอกจากนี้เขายังเคยเล่นเกมที่มีชื่อว่า ‘กันซิมูเลเตอร์ (เกมจำลองการยิงปืน)’ มาก่อนด้วย ทำให้เขารู้ระบบการทำงานของมันอยู่บ้าง
ดังนั้นแม้ว่ามันจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้จับปืน แต่เขาก็ถือว่าคุ้นเคยกับมันอยู่พอสมควรเลย
เมื่อถอดแม็กกาซีนออก มันก็ยังมีกระสุน 9 นัดอยู่ข้างใน
เขาค้นร่างศพอย่างละเอียด แต่ก็ไม่เจอกระสุนเพิ่มเติมเลย
เขาไม่มั่นใจว่าเจ้าของร่างมีกระสุนติดตัวมาแค่นี้หรือว่ามันทำหายไปกันแน่
ปืนพกอยู่ในสภาพดี และไม่มีความเสียหายที่รุนแรงเลย
หวู่เหิงถือปืนเอาไว้ พยายามบรรจุกระสุน และเล็งเป้า แต่เขาก็ไม่คิดจะยิงออกไป เพราะมันคงจะเป็นการเปลืองกระสุนไปเปล่าๆ
หลังจากซ้อมท่าทางการชักปืนและเล็งเป้าอยู่หลายครั้งแล้ว เขาก็เก็บปืน
ของที่เขาหาได้ในวันนี้ดีอย่างไม่น่าเชื่อเลย
หลังจากเปลี่ยนศพให้กลายเป็นนักรบโครงกระดูกแล้ว เขาก็ได้จัดของและเตรียมที่จะกลับไปยังเมืองหินดำ
...
ณ เมืองหินดำ
หวู่เหิงได้ตรงไปยังโรงตีเหล็กเพื่อถามซื้อบันไดเหล็ก
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความคิดของเขาก็ไร้เดียงสาไปบ้าง
ไม่ต้องพูดถึงว่าบันไดจะใช้ได้จริงไหม แต่แค่การผลิตมันเพียงอย่างเดียวก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว
ช่างตีเหล็กเสนอข้อเสนอแนะอื่น
แทนที่จะใช้บันไดเหล็กที่ทำจากไม้เนื้อแข็ง มันคงง่ายกว่านั้นถ้าจะใช้เชือกเชื่อมต่อจากทั้งสองด้านและปีนข้ามไป
หวู่เหิงรับฟัง และพยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่ได้พูดอะไรอีก
ถ้าเขาใช้มัน มันก็คงยากที่จะหาไม้กระดานยาวขนาดนั้น แม้ว่าจะหาได้ แต่มันก็อาจจะหักได้เมื่อรับน้ำหนักมากเกินไปเนื่องจากระยะห่างที่ไกล
แนวคิดในการใช้เชือกอาจใช้ได้ผลกับมนุษย์ แต่ไม่ใช่สำหรับเหล่านักรบโครงกระดูก
ดังนั้นทั้งสองวิธีจึงไม่อาจใช้การได้
หลังจากออกมาจากโรงตีเหล็กแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมเพื่อทานมื้อเย็น
หลังจากดูกลุ่มชายฉกรรจ์งัดข้อกันอยู่สักพัก มันก็ค่อนข้างมืดแล้วเมื่อถึงเวลาที่เขากลับมา
มันมีคนเดินไปมาบนถนนไม่มากนัก
ในขณะที่เขาเดินเข้าไปในตรอกที่นำไปสู่ที่พักของเขา ร่างสองร่างก็เดินเข้ามาหาเขาจากทางด้านหลัง
ในทันทีที่พวกเขาเข้ามา พวกเขาก็เห็นว่าหวู่เหิงได้ยืนรออยู่แล้ว
“เด็กคนนี้ระวังตัวชะมัด!” หนึ่งในนั้นพูดออกมา
ทั้งสองคนดูไม่เป็นกังวลอะไรเลยแม้ว่าหวู่เหิงจะรู้ตัว
“มีอะไรให้ข้าช่วยงั้นเหรอ?” หวู่เหิงถาม
เขารู้สึกว่ามีคนตามเขามาตั้งแต่ที่เขาออกมาจากโรงเตี๊ยมแล้ว
เขาคิดว่ามันเป็นทหารลาดตระเวนที่จับตาดูเขาอยู่ แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ชายสองคนนี้ไม่ใช่
“น้องชาย พวกเรามีปัญหาเรื่องเงินนิดหน่อยน่ะ พวกเราขอยืมจากเจ้าสักหน่อยสิ”
ชายที่อยู่ด้านหน้าไม่เสียเวลาอีกและพุ่งเข้าใส่หวู่เหิงราวกับเสือชีตาห์
ในระหว่างนี้เขาก็ได้ชักดาบสั้นสองเล่มออกมาจากเอว ใบมีดสะท้อนแสงจันทร์สีเงิน ทำให้มันดูเย็นเฉียบและคมกริบมาก
หวู่เหิงเหลือบมองชายคนที่สองอย่างรวดเร็ว
ชายอีกคนหนึ่งยังคงยืนอยู่ตรงทางเข้าซอย เขาเอนตัวพิงผนัง และมองไปทุกทิศทางด้วยความระมัดระวัง
ระวังตัวซะจริง!
สองคนนี้เป็นโจรที่มีประสบการณ์
พวกเขาค่อนข้างมั่นใจว่าชายเพียงคนเดียวน่าจะพอแล้วที่จะจัดการกับเขาได้
เมื่อศัตรูพุ่งเข้ามาใกล้กับเขา หวู่เหิงก็ปักหลักและจ้องไปที่เป้าหมายของเขา
เมื่อระยะห่างเหลือประมาณ 3-4 เมตร…
ปัง!
เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว และกระสุนก็พุ่งเข้าใส่เอวของชายคนนั้นทันที
ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ชายคนนั้นเซไปเล็กน้อย
นี่มันบ้าอะไรกัน?
“เจ้า…”
เขาเพิ่งจะได้พูดคำแรกออกมาเท่านั้น…
ปัง! ปัง! ปัง!!
กระสุนอีกสามนัดถูกยิงออกมา
หน้าอก หน้าท้อง และไหล่ของเขาถูกกระแทกอย่างต่อเนื่อง
ด้วยแรงปะทะของกระสุน ร่างกายของเขาก็ถูกกระแทกไปข้างหลัง และเขาก็ล้มลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวดเกินกว่าที่จะเคลื่อนไหวต่อได้
เขาคิดว่าหวู่เหิงจะเป็นเหยื่อหมูๆ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะมาเจอตอเข้าให้แล้ว
“ช่วย…” ชายผู้นั้นหันไปหาคู่หูที่กำลังดูต้นทางอยู่
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นอีก และกระสุนก็ทะลุเบ้าตาของเขา
[ท่านได้รับค่าประสบการณ์ +64]
การแจ้งเตือนของระบบปรากฏขึ้นเพื่อระบุว่าคนผู้นั้นได้ตายไปแล้ว
จากนั้นหวู่เหิงก็ยกปืนขึ้นและเล็งมันไปที่ชายอีกคนที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเขา
ชายคนนั้นหยุดชะงักไปในทันที และระวังอาวุธในมือของหวู่เหิง
เขาเหลือบมองคู่หูที่ไร้ชีวิตของเขาบนพื้น จากนั้นก็ค่อยๆ ถอยกลับไปจนถึงทางเข้าตรอก
เขามองมาที่หวู่เหิงด้วยความอาฆาต จากนั้นก็หนีไปในทันที
เสียงรบกวนเริ่มดังไปทั่วบริเวณเมื่อเสียงปืนดังขึ้น
หวู่เหิงเหลือบมองไปที่ร่างที่เท้าของเขา ร่างนั้นอยู่ในชุดเกราะหนังและผ้าคลุม และมีเลือดไหลออกมาเพียงเล็กน้อย
เขาหยิบอาวุธของอีกฝ่ายขึ้นมา ห่อศพเอาไว้ในผ้าคลุม และลากมันเข้าไปที่ห้องของเขา
ไม่นานหลังจากนั้น…
ปัง! ปัง! ปัง!!
มันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เสียงของเจ้าของบ้านดังออกมา “หวู่เหิง เจ้าอยู่ในห้องรึเปล่า? เจ้าได้ยินเสียงดังเมื่อครู่รึเปล่า?”
หวู่เหิงเปิดประตูและพูดออกมา “ได้ยินขอรับ ข้าสงสัยเหมือนกันว่าใครมันเป็นคนทำเสียงดังแบบนั้นในตอนดึกๆ แบบนี้”
เจ้าของบ้านมองเขาอย่างไม่ชอบใจ และลอบมองเข้ามาภายในห้อง
เขาพูดออกมาว่า “เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร ล็อคประตูของเจ้าไว้ให้ดีล่ะ”
“ขอรับ”
หลังจากเจ้าของบ้านจากไปแล้ว หวู่เหิงก็เริ่มการฝึกใช้หอกราวกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นเสียงอาวุธกระทบกับเป้าซ้อมไม้ก็ดังขึ้น
ส่วนภายนอกนั้น ความปั่นป่วนและเสียงพูดคุยก็ยังคงดำเนินต่อไป และทหารลาดตระเวนก็เดินทางมาตรวจสอบ
...
เช้าวันต่อมา เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น หวู่เหิงก็ได้มุ่งหน้ากลับไปยังโลกซอมบี้
ดูเหมือนฝนจะตกเล็กน้อยเมื่อคืนนี้
เหล่านักรบโครงกระดูกล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยเม็ดฝน
เม็ดฝนเหล่านี้ได้ชะล้างความสกปรกออกไปจากพวกโครงกระดูก
หวู่เหิงสั่งให้พวกโครงกระดูกหามศพที่นำมาไว้บนหลังคาเมื่อคืนนี้เข้ามา
จากนั้นเขาก็เริ่มถอดอุปกรณ์ของชายคนนั้นออก