MDB ตอนที่ 468 จับแยกและเผด็จศึก
สีหน้าของหลินจินดูน่ากลัว
มันทั้งดำทะมึนและเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง
สมาคมผู้ประเมินมารนั้นไร้มนุษยธรรมอย่างแท้จริง หากอุบัติเหตุที่จัดฉากนั้นไม่เกิดขึ้นกับเขาเมื่อเช้านี้ และหากเขาไม่ปรากฏตัวที่นี่ในวันนี้ หลินจินก็คงไม่รู้ว่าพวกเขาได้วางแผนกำจัดเขา
หากมันเป็นไปตามแผน กว่าเขาจะรู้ตัวว่าถูกซุ่มโจมตี เขาก็คงอยู่เสียไปแล้ว
แม้ว่าแผนการเหล่านี้อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่เพื่อนของหลินจินที่เมืองเมเปิ้ลอย่างน้อยหนึ่งคนจะต้องตกอยู่ในอันตราย
หลินจินไม่ยอมปล่อยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้เด็ดขาด
ดังนั้น เขาจึงยิ้มออกมาเบา ๆ
เนื่องจากเขารับรู้แผนการทั้งหมดล่วงหน้า มันก็คงเป็นโชคชะตาที่นำพาเขามาที่นี่ อันที่จริง หลินจินก็คิดที่จะเผยตัวออกไปก่อนหน้านี้เช่นกัน แต่เขากลับยับยั้งตัวเองในนาทีสุดท้าย
เหตุผลนั้นง่ายมาก ผู้ประเมินมารทั้งสี่คนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู่ที่จัดการได้ง่าย ๆ
หลินจินไม่มั่นใจว่าเขาจะแกร่งพอที่จะรับมือกับพวกเขาทั้งสี่คนพร้อมกัน นอกจากนี้ หากการต่อสู้ครั้งนี้ทวีความรุนแรงขึ้น ก็ไม่มีการรับประกันว่ายอดฝีมือคนอื่น ๆ ในเมืองเกลียวสวรรค์จะยืนดูพวกเขาต่อสู้กันเฉย ๆ
ท้ายที่สุดแล้ว นี่คือประเทศขนาดใหญ่
ดังนั้นเขาจะต้องก้าวทีละก้าวอย่างระมัดระวัง
โชคดีที่หลินจินอยู่นิ่งตลอดเวลา ปกปิดออร่า และท้ายที่สุดคือร่างกายของเขาอยู่ในคาถาเร้นกาย
มิฉะนั้น หากพวกเขารู้ว่าหลินจินกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น เขาก็คงไม่มีทางต่อสู้เพื่อหนีรอกออกไปจากตรงนี้ได้
ตอนนี้ ทุกอย่างอยู่ในกำมือของหลินจินแล้ว เขามีข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับศัตรูของเขา และพวกเขาก็ไม่ต่างจากเป้านิ่ง หากเขาไม่ลงมือในตอนนี้ นั่นจะเป็นการตัดสินใจที่โง่เขลาที่สุดของเขา
หลินจินตัดสินใจในเสี้ยววินาที
เขาจะฆ่าพวกเขาทั้งสี่คน
แน่นอนว่าเขาจะกำจัดพวกเขาทีละคน และคนแรกที่จะจัดการคืออาจารย์ชู
ในบรรดาคนทั้งสี่ เขาเป็นคนที่หลินจินต้องฆ่ามากที่สุด
ด้วยความคิดนั้น หลินจินจึงลุกขึ้นและรีบออกไป ณ ตอนนี้ คนทั้งสี่คนยังไม่ได้ออกจากตรอกกรีนวิลโลว์ แต่พวกเขาคงจะแยกทางกันเมื่อออกจากตรอก
นี่คือปัญหาต่อไปของเขา เนื่องจากเขาต้องกำจัดศัตรูทีละคน หลินจินจึงสามารถกำหนดเป้าหมายได้เพียงคนเดียวในตอนนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาคงจะต้องลืมคนอื่น ๆ ไปก่อน
นี่เป็นปัญหาเพราะคนทั้งสี่คนนี้ไม่สามารถเทียบได้กับอันธพาลธรรมดา ๆ มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะสัมผัสได้ถึงเข็มของเขา และหากพวกเขาสัมผัสมันได้ แผนการของหลินจินก็จะล้มเหลวทันที
หลินจินยังคงคิดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของเขา เขาสามารถติดตามอาจารย์ชู ซึ่งเป็นผู้วางแผนเบื้องหลังแผนของพวกเขาได้ ในขณะที่สามารถติดตามเจ้าของร้านหัวโล้นด้วยเข็มที่เขาทิ้งไว้ในตัวเขา ดังนั้น การติดตามนายน้อยจึงไม่ใช่ปัญหา เนื่องจากทั้งสองทำงานร่วมกัน
ผู้คนที่เหลืออยู่คือผู้อาวุโสเย่และโจวเหวิน ชายทั้งสองนั้นน่าเกรงขามพอ ๆ กัน และพวกเขาก็มีสัตว์เลี้ยงระดับสี่ โจวเหวินได้รวมร่างกับสัตว์เลี้ยงของเขา ทำให้เขากลายเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์วิเศษ
ผู้อาวุโสเย่คงมีพลังมากกว่ามาก เพราะหลินจินสัมผัสได้ถึงออร่าของสัตว์วิเศษระดับสี่สองตัวบนตัวเขา นอกจากไม้เท้างูระดับสี่แล้ว ชายคนนี้คงมีสัตว์เลี้ยงระดับสี่อีกตัวอยู่กับเขาด้วย
หลินจินสงสัยว่าชายชรานั้นจัดการควบคุมพวกมันได้อย่างไรในเวลาเดียวกัน
ผู้ประเมินมารเหล่านี้มีความสามารถอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อพิจารณาจากความเชี่ยวชาญในคาถาที่ยากจะเข้าใจและเป็นศาสตร์ต้องห้าม
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการประเมินสัตว์วิเศษ หลินจินสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าผู้อาวุโสเย่ได้ทำพันธสัญญาโลหิตกับสัตว์วิเศษระดับสี่สองตัว
เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าคน ๆ หนึ่งสามารถทำพันธสัญญาโลหิตกับสัตว์วิเศษได้ครั้งละตัวเท่านั้น แล้วเขาสามารถทำอย่างนั้นได้อย่างไร?
แม้แต่หลินจินเองก็ไม่สามารถหาคำตอบของวิธีการเบื้องหลังนี้ได้
บางทีการแทงเข็มหรือสัมผัสตัวเขาโดยตรงอาจทำให้หลินจินรู้ความลับของผู้อาวุโสเย่ได้ นั่นคือความศรัทธาที่เขามีต่อความสามารถของพิพิธภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม หลินจินไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้ในตอนนี้ หากเขากระทำการโดยประมาท พวกเขาทั้งสี่คนอาจสังเกตเห็นเขาได้
'ฉันทำได้เพียงแค่ค่อย ๆ สะกดรอยตาม และรอจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น'
หลินจินไม่ใช่คนลังเล หลังจากที่ตระหนักว่าเขาไม่สามารถฆ่าพวกเขาทั้งสี่คนพร้อมกันได้ เขาก็ตัดสินใจในทันที
เขาจะฆ่าสองคนก่อน
โดยฆ่าทีละคน
คนที่สำคัญที่สุดคืออาจารย์ชู และชายคนนั้นต้องตายภายในคืนนี้
หลังจากออกจาก ตรอกกรีนวิลโลว์แล้ว ชูโกวก็ขึ้นรถม้าที่รอเขาอยู่ที่ทางเข้าตรอก รถม้าออกไปอย่างรวดเร็วและหยุดที่ไหนสักแห่งในเมือง เมื่อชูโกวลงจากรถม้าแล้วหายเข้าไปในฝูงชน
เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็แทบจะเปลี่ยนร่างไปแล้ว เสื้อผ้าของเขาแตกต่างจากเดิม หมวกของเขาแตกต่างไป และมีเครายาว ๆ บนใบหน้าของเขา
เขาดูเหมือนเป็นคนละคนไปเลย
ชูโกวเป็นคนระมัดระวังตัว เมื่อเขาได้เข้าร่วมสมาคมผู้ประเมินมารเป็นครั้งแรก เขาเป็นเพียงสมาชิกภายนอกธรรมดา ๆ ที่ไม่มีสิทธิพิเศษใด ๆ แต่ด้วยไหวพริบของเขาทำให้เขาสามารถไต่เต้าตำแหน่งของเขาภายในองค์กรได้อย่างรวดเร็ว เมื่อได้มาทำงานที่สำนักงานสาขาในเมืองรี้ด เขาเป็นบุคคลที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง
อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคนขยันขันแข็ง และคงเส้นคงวา
แทนที่จะอาศัยอยู่ในสาขา เขากลับเลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพลเรือน
เขาเข้าใจว่าการทำตัวธรรมดา ๆ คือจุดแข็งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
ด้วยภาพลักษณ์ที่เขาสร้างไว้ มันทำให้เขาสามารถปกปิดตัวตนที่แท้จริงได้อย่างดี แม้แต่ในองค์กร เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียง สิ่งที่เขาต้องการคือผลกำไรที่จับต้องได้
เมื่อกลับมาที่เมืองรี้ด หลังจากทราบว่าหลินจินได้ทำลายสาขาของพวกเขาไปแล้ว ชูโกวก็ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ และยังคงซ่อนตัวต่อไปโดยรอโอกาส และโอกาสนั้นมาในรูปแบบของพระภิกษุจากวัดต้าหลัว ดังนั้น เขาจึงยืมพลังของพวกเขามาต่อสู้กับศัตรู ทำให้เขาได้รับป้ายไม้ของเต้าจวินจากตระกูลเฉียวได้สำเร็จ
เมื่อได้รับของที่ต้องการมา เขาก็หลบหนีไป แต่เกือบเอาชีวิตไม่รอด อย่างไรก็ตาม เขาโชคดีพอที่จะรอดชีวิตมาได้
การที่เขาขโมยป้ายไม้ของเต้าจวินมาได้ ถือเป็นการสนับสนุนอย่างยิ่งใหญ่ต่อสมาคมผู้ประเมินมาร ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งนี้ทำให้เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าห้องโถงแห่งความมืด แม้ว่าในตอนนี้ตัวเขาจะได้รับตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่ชูโกวก็ยังคงทำตัวเงียบ ๆ ไม่โดดเด่นตามเดิม
เพราะเขาเข้าใจว่าการทำเช่นนั้นเท่านั้นที่จะทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น
เขาอาศัยอยู่ที่นี่ในเมืองเกลียวสวรรค์ที่ไม่มีใครรู้จักตัวเขา ยกเว้นตัวเขาเอง แม้แต่พี่น้องของเขาที่ห้องโถงแห่งความมืดก็ไม่รู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน
นี่คือรูปแบบการทำงานของชูโกว
เขาระมัดระวังอย่างยิ่งไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม
เขาใช้เวลาอีกเล็กน้อยในการเลี้ยวและเคลื่อนที่ไปตามถนนก่อนจะมาถึงบ้านหลังเล็กที่ไม่สะดุดตาซึ่งเขาเข้ามาจากทางประตูหลัง
นี่คือที่อยู่อาศัยของเขา
มันธรรมดาจนเขาดูเหมือนพลเมืองธรรมดาของเมืองเกลียวสวรรค์
เขาเลี้ยงสุนัขไว้ในสนามเหมือนที่คนอื่นทำ ชูโกวเลี้ยงมันไว้เพื่อแจ้งเตือนให้เขาทราบเมื่อมีคนบุกรุกบ้านของเขา
เมื่อเข้าไปในบ้านแล้ว ชูโกวก็เอนกายลงอย่างสบายใจโดยคิดว่าพวกเขาควรดำเนินการตามแผนอย่างไรในวันพรุ่งนี้
ทันใดนั้น ชูโกวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หลังจากเข้าไปในบ้าน เขาไม่ได้ยินเสียงสุนัขของเขาเลย จามปกติแล้ว มันควรจะส่งเสียงบ้างหลังจากที่มันอดอาหารมาทั้งวัน
“สุนัขของข้าอยู่ที่ไหน? ถ้าแกยังอยู่ก็ส่งเสียงมาหน่อยสิ!”
ชูโกวตะโกนออกมา โดยปกติแล้วสุนัขจะเห่าตอบกลับ แต่การตอบสนองเดียวที่เขาได้รับคือความเงียบ
“ไม่ดีแล้ว!”
ด้วยความที่ชูโกวเป็นคนระวังตัว เขารู้ได้ในทันทีว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น
เขาลุกขึ้นจากเตียงทันที แต่ทันทีที่เขาลุกขึ้นยืน เขาก็รู้สึกว่าตัวเองถูกเข็มทิ่มที่คอ ต่อจากนั้น เขาก็ขยับตัวไม่ได้เลย
เมื่อสังเกตอย่างใกล้ชิด จะเห็นเกล็ดงูเลื้อยไปมาทั่วร่างกายของเขา ราวกับว่าชูโกวกำลังร่ายคาถา น่าเสียดายที่เขามาช้าไปเพียงเสี้ยววินาที...