บทที่ 119 สถิติใหม่!
“บัดซบ! ไอ้คนเพี้ยน”
เมื่อถูกหลัวเฉิงแซงหน้า ถัวป้าเลี่ยก็หลุดปากสบถด้วยความโกรธ ก่อนไล่ตามไปอย่างสุดกำลัง
“ขั้นหัวใจกระบี่!”
ดวงตาของชายหนุ่มรูปงามก็จับจ้องไปยังแผ่นหลังของหลัวเฉิง
แม้นยามนี้ทั้งสองจะเร่งฝีเท้าขึ้นจนสุดกำลัง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้คือเฝ้ามองแผ่นหลังของหลัวเฉิงที่ยังคงออกห่างไกลไปเรื่อยๆ
ท้ายที่สุด แม้แต่เงาของหลัวเฉิงก็ไม่ปรากฏให้เห็น!
“นี่มันไม่เร็วเกินไปหรือ เขามีสมบัติวิเศษอะไรที่สามารถยับยั้งพลังของหุบเขาเหลียนซินนี้ได้”
ถัวป้าเลี่ยรู้สึกหงุดหงิดขณะในใจยังคงสงสัย
เดิมที ถัวป้าเลี่ยมั่นใจว่าด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของเขา การทดสอบแรกในหุบเขาเหลียนซินนี้ถือเป็นรางวัลให้ตนเอง!
ชายหนุ่มรูปงามส่ายศีรษะเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน
“นั่นไม่อาจเป็นไปได้! ด้วยระดับพลังยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ ไม่มีทางที่เขาจะต่อต้านเจตจำนงแห่งกษัตริย์ได้ หากเขามีสมบัติพิสดาร ผู้อาวุโสของสำนักซวนหยวนต้องสังเกตเห็นก่อนอย่างแน่นอน”
“แล้วเช่นนั้นมันเกิดอะไรขึ้น!” ถัวป้าเลี่ยเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ข้าเองก็ไม่รู้”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วสุ้มเสียงที่สนทนาก็ชะงักขาดหาย
อันดับหนึ่งนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่มีทางคว้าได้อย่างแน่นอน อย่างน้อยๆ ขอเพียงอันดับสองก็ยังดี
ฟึบ! ฟึบ!
ทั้งสองเร่งฝีเท้าขึ้นจนถึงขีดสุด มุ่งหน้าผ่านโถงถ้ำในหุบเขาอย่างรวดเร็ว
“ไม่รู้เลยว่าหุบเขาแห่งนี้จะทอดยาวไปขนาดไหนกัน” หลัวเฉิงวิ่งอย่างสุดฝีเท้าเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชา ในที่สุดแววตาก็ปรากฏแสงสว่างเบื้องหน้า
ภายในโถงถ้ำของหุบเขานั้นมืดมิดสนิทนัก ทว่าฉากภายนอกกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ด้านนอกหุบเขาเป็นพื้นที่เปิดโล่ง มีดอกไม้บานสะพรั่งตามสองข้างทาง เมฆหมอกคล้อยตามลมลูบไล้กลีบกุหลาบ บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงลิงค่างเคล้ากับเสียงนกกระเรียน
ท้องนภาเป็นสีฟ้ากระจ่างใสดั่งอัญมณีที่ไร้ซึ่งตำหนิ
ปลายทางของหุบเขา มีผู้อาวุโสสำนักซวนหยวนหลายคนและผู้คนอีกนับสิบ ที่ได้รับการยกเว้นจากการทดสอบหุบเขาเหลียนซินในตอนแรก
ฉินหยวนเฟิงยืนเคียงกับผู้อาวุโสจากสำนักฝ่ายนอกของสำนักซวนหยวน เขามีหนวดเครายาวเฟื้อยและน้ำเสียงเต็มไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง
ชายวัยกลางคนที่มีหนวดเครายาวผู้นี้มีนามว่าฉินต้าวหยวน ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของฉินหยวนเฟิง!
ในระหว่างการสนทนา ฉินหยวนเฟิงมองไปยังหนทางออกจากหุบเขาด้วยแววตาเย็นชา
ก่อนการทดสอบแรกจะเริ่ม เขาบอกลู่เหยียนให้สอนบทเรียนกับหลัวเฉิง! และขัดขวางไม่ให้เขาออกจากหุบเขาเหลียนซินได้!
หากดูจากเวลาแล้ว บทการสั่งสอนของลูกเหรียญคงจบแล้วกระมัง!
“ฮึ่ม! นี่คือสิ่งที่เจ้าสมควรโดนหากกล้าทำให้ฉินหยวนเฟิงผู้นี้ขุ่นเคือง หากคิดจะตำหนิ ก็จงตำหนิที่ตนเองไร้ความตระหนักรู้เถิด!”
ฉินหยวนเฟิงเหยียดยิ้มอำมหิตในใจลึกๆ
เอี๊ยง!
ในเวลานี้ เสียงร้องลั่นสนั่นนภาก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
ลมพัดผ่านอย่างรุนแรงมาพร้อมกับร่างวิหคยักษ์ตัวหนึ่ง ทั่วร่างของมันสง่างามและขนก็ขาวทั้งลำตัวดุจดั่งหิมะ นั่นเป็นกระเรียนที่ร่อนลงมากลางหุบเขาในยามนี้
ไม่ช้าหลายสิบร่างก็กระโดดลงมาจากหลังมัน
คนเหล่านี้ล้วนมีเมฆขาวปักอยู่ตรงอกเสื้อคลุม ซึ่งพวกเขาล้วนเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักซวนหยวน
“ทำไมพวกเจ้าถึงมาที่นี่?”
ผู้อาวุโสเฉินซวนที่เป็นผู้ควบคุมการทดสอบก็เอ่ยถาม
“ผู้อาวุโส พวกเราเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจจากสำนัก ศิษย์ทราบมาว่าการทดสอบเข้าสำนักเริ่มต้นขึ้นแล้ว พวกเราจึงมาแสวงหาความตื่นเต้นขอรับ”
ศิษย์ฝ่ายนอกที่คุ้นเคยกับผู้อาวุโสเฉินซวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ผู้อาวุโสเฉินซวนกล่าวว่า “การรับชมความตื่นเต้นนั้นย่อมไม่เป็นปัญหา ขอแต่อย่าขัดขวางการทดสอบก็พอแล้ว”
“ศิษย์ทราบแล้ว”
ชายหนุ่มที่กล่าวเมื่อครู่หันเหความสนใจไปยังหุบเขาเหลียนซิน “ยังไม่มีผู้ใดออกมาอีกงั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสเฉินซวนกล่าวว่า “นี่เพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งก้านธูปเท่านั้น จะออกจากหุบเขาได้อย่างไร ผู้ที่เร็วที่สุดในการทดสอบหุบเขาเหลียนซินก่อนหน้านี้ ในอดีตใช้เวลาเกือบสองในสามของก้านธูปด้วยซ้ำ”
ผู้อาวุโสอีกคนหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ข้าใคร่สงสัยนักว่า การทดสอบคราวนี้ใครจะเป็นอันดับหนึ่ง”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็ตามจับตาเฝ้ารอดู
หุบเขาเหลียนซินนี้ สามารถวัดระดับความแข็งแกร่งและศักยภาพของผู้ฝึกยุทธ์ได้เป็นอย่างดี
ยิ่งสามารถผ่านหุบเขาเหลียนซินได้เร็วเท่าไหร่ ความสำเร็จในภายภาคหน้าก็จะยิ่งสูงส่งขึ้นเท่านั้น
หือ!
ทันใดนั้น คิ้วของผู้อาวุโสเฉินซวนก็ยกขึ้น
เนื่องจากว่าในเวลานี้ มีร่างหนึ่งวิ่งออกมาจากทางออกของหุบเขาเหลียนซิน
“มีคนออกมาแล้ว!”
“เร็วมาก! เขาใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งก้านธูปเท่านั้นก็สามารถออกมาได้แล้ว นี่มันทำลายสถิติก่อนหน้าไปอย่างสิ้นเชิง!”
“ไปสืบมาว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันแน่!”
ผู้อาวุโสหลายคนที่เฝ้ามองการประเมินต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจ
การผ่านหุบเขาเหลียนซินได้เพียงในเวลาแค่ครึ่งก้านธูป เวลาอันสั้นเช่นนี้ไม่เคยปรากฏมีมาก่อน
“เป็นเขาเองหรือ!”
ในบรรดากลุ่มฝูงชน กลับมีเพียงสองคนเท่านั้นที่แสดงสีหน้าแตกต่างจากผู้อื่น
คนที่ออกมาครานี้มิใช่ผู้ใดอื่นนอกจากหลัวเฉิง
ขณะที่เขาวิ่งออกจากหุบเขาเหลียนซิน ดวงตาของหลัวเฉิงก็เบิกกว้างประจักษ์กับฉากอันน่าตกตะลึงเบื้องหน้า
ขุนเขาเบื้องหน้ามีขนาดใหญ่ไร้สิ้นสุด ซึ่งท่ามกลางหุบเขาก็มีตึกตำหนักซุ่มซ่อนอยู่มากมายภายในนั้น ปราณอันหนาแน่นของสวรรค์และโลกก่อตัวเป็นเมฆหมอก พร้อมปรากฏสายรุ้งมากมายสุดคณานับหงายกลับด้าน
ท่ามกลางเมฆหมอกก็ปรากฏตำหนักหนึ่งอยู่ยอดเขาอันห่างไกล คล้ายดั่งตั้งอยู่บนท้องนภามิมีผิด!
“นี่คือสำนักซวนหยวน ช่างเหมือนกับสรวงสวรรค์ยิ่งนัก!”
หลัวเฉิงตกตะลึงในความงดงามนั้นจนอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว