บทที่ 116 อันตรายซุ่มซ่อน
หลังจากกล่าวทิ้งท้ายด้วยวาจาเช่นนั้น ถัวป้าเลี่ยก็หันกลับแล้วรีบวิ่งไปยังหุบเขาทันที
หลัวเฉิงเองก็ยิ้มให้เขาเช่นเดียวกัน แต่ทว่ากลับเป็นรอยยิ้มแห้งๆ เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าถัวป้าเลี่ยนั้นไปเอาความมั่นใจเช่นนั้นมาจากที่ใดกัน
“ถ้าเช่นนั้นก็มาดูกันเลย ว่าใครกันที่จะเป็นคนไปยืนรออยู่ที่เส้นชัย!”
เนื่องจากการทดสอบนี้มีการแข่งขันร่วมด้วย แน่นอนว่าหลัวเฉิงก็ตั้งใจจะทุ่มสุดตัวเพื่อคว้าอันดับหนึ่ง!
วืด!
ด้วยการโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย หลัวเฉิงตบฝีเท้าแล้ววิ่งไปยังหุบเขาเช่นเดียวกันกับผู้อื่น
เมื่อหลัวเฉิงมาถึงปากหุบเขา คนส่วนใหญ่ก็มาถึงที่นั่นแล้ว
หุบเขาแห่งนี้คล้ายดั่งโดนสะบั้นขาดด้วยดาบขนาดใหญ่ หนทางวิ่งผ่านนั้นมีขนาดเล็กมาก มาตรว่ามีความกว้างเพียงสามสิบฉื่อเท่านั้น ที่ปากหุบเขามีรูปปั้นสีแดงฉานปานอาบด้วยโลหิตอยู่สามตัว ซึ่งเหนือรูปปั้นเหล่านี้มีวิหคยักษ์ส่งเสียงร่ำร้องอยู่เหนือฟากฟ้า!
รูปปั้นขนาดยักษ์ทั้งสามตัว คล้ายจะมีโลหิตอาบไหลออกมาบ้างเป็นครั้งคราว ในช่องแคบของหุบเขามีลมอันเย็นยะเยือกพวยพุ่งออกมา ส่งเสียงหวีดหวิวครวญครางร่ำร้องดั่งวิญญาณอาฆาตแค้น พานให้ผู้ได้ยินถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว
หลัวเฉิงไม่รอช้าย่างเท้าวิ่งเข้าไปในหุบเขาโดยหาคิดลังเลแม้แต่น้อย
พึ่ม!
ทันทีที่เขาย่างกรายเข้าไปในช่องแคบ หลัวเฉิงก็รู้สึกถึงแรงกดดันอันมหาศาลหนักอึ้ง โถมทับร่างเขาอยู่ตอนนี้
ประหนึ่งว่ามีหัตถ์ขนาดยักษ์ที่มิอาจมองเห็นได้กำลังกดร่างเขาอยู่ และกระแสปราณแท้ที่เคยโคจรไปทั่วร่างก็พลันชะงักหยุด!
“นี่คือแรงกดดันของเจตจำนงแห่งกษัตริย์งั้นหรือ? ช่างน่าพิศวงใจยิ่งนัก”
หลัวเฉิงรู้สึกว่าพลังของเขาถูกกดข่มให้ลดลงประมาณสามในสิบจุด กระทั่งวิญญาณยุทธ์ก็มิอาจปลดปล่อยได้
ขณะที่หลัวเฉิงกำลังทอดถอนใจ แต่ทันใดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
กรร!
ทันใดนั้นเสียงคำรามของมังกรก็ร่ำร้องออกมาจากตันเถียนของหลัวเฉิง มันพัดเป่าแรงกดดันเมื่อครู่จนมลายสิ้นเหมือนว่าไม่เคยเกิดมาก่อน พานให้ร่างกายเขาเบาสบายในทันที
“นี่มัน……”
หลัวเฉิงผงะตกตะลึงไปครู่ ก่อนในหัวจะพลันนึกถึงเคล็ดวิชาควบคุมมังกรสวรรค์ที่ตนได้ฝึกฝน
มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือทุกห้วงจิตวิญญาณ คนอื่นจะสามารถสยบพลังนี้ง่ายๆ ได้อย่างไร!
“ฮ่าฮ่า ตอนนี้ข้านึกภาพไม่ออกเลยว่า จะมีสิ่งใดที่ขวางระหว่างข้ากับอันดับหนึ่งอีกกัน!”
หลัวเฉิงยิ้มเล็กน้อย ก่อนพุ่งร่างวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“ให้ตายเถอะ ไฉนเขาถึงยังวิ่งเร็วได้ปานนี้อีก!”
“เจ้าคนโกง!”
เมื่อเห็นหลัวเฉิงวิ่งเร็วท่ามกลางแรงกดดันอันมหาศาล ผู้คนโดยรอบที่เข้าร่วมการทดสอบก็ต่างเบิกดวงตากว้างด้วยความตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ
ทันทีที่พวกเขาย่างกรายเข้าสู่ช่องแคบนี้ ก็คล้ายดั่งมีขุนเขาขนาดใหญ่กดทับร่างจนแทบทรุดตัว ไม่ต้องกล่าวถึงการวิ่งเลยด้วยซ้ำ เพียงแค่เดินยังลำบากตรากตรำทุ่มกำลังจนสุดตัว
ทว่า ไฉนหลัวเฉิงกลับวิ่งเร็วราวไม่ได้รับแรงกดดันนี้แม้แต่น้อย!
หลัวเฉิงไม่อาจล่วงรู้ความคิดของผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงวิ่งอย่างรวดเร็วเข้าสู่ช่องแคบในหุบเขา ผ่านคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
ในระหว่างที่กำลังวิ่ง หลัวเฉิงก็ย้ายจากครึ่งหลังของกลุ่มผู้ทดสอบมาถึงแนวหน้าของกลุ่มผู้ทดสอบอย่างรวดเร็ว ยิ่งผ่านกลุ่มคนมากเท่าไหร่ เบื้องหน้ายิ่งประจักษ์เห็นผู้คนน้อยลงเท่านั้น
ในเวลานี้เอง ช่องแคบในหุบเขาค่อยๆ บีบตัวเล็กลงเรื่อยๆ
ห่างออกไปราวร้อยจั้ง จู่ๆ เบื้องหน้าก็ปรากฏเห็นก้อนใหญ่สองก้อนสองข้างฝั่งทาง มันบีบตัวลงคล้ายดั่งปากน้ำเต้า ที่สามารถรองรับคนเดินขนานได้เพียงสี่หรือห้าคนเท่านั้น
เบื้องหลังโขดหิน ปรากฏเงาตะคุ่มดำสามร่างซุ่มซ่อนตัวอยู่ในยามนี้
หนึ่งในนั้นคือลู่เหยียน
ลู่เหยียนกอดอกขณะชะเง้อมองรอคนผู้หนึ่งด้วยแววตาเย็นชาและใบหน้าอันเคร่งเครียด ซึ่งเปี่ยมด้วยจิตสังหารที่เข้มข้น
“พี่ลู่ ใครกันที่โง่เขลาทำให้ท่านและฉินหยวนเฟิงต้องขุ่นเคือง”
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ หัวเราะขณะเอ่ยถาม
ลู่เหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “มันก็แค่คนป่าคนนึงที่ไม่รู้โผล่หัวมาจากแห่งใด พวกเจ้าเพียงสั่งสอนบทเรียนให้เขา เมื่อออกไปพวกเจ้าจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาล”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของชายหนุ่มทั้งสองคนก็เป็นประกายขึ้นมา
พวกเขามาจากเมืองซวนเฟิง ดังนั้นจึงรู้จักตัวตนของลู่เหยียนและฉินหยวนเฟิงเป็นอย่างดี โดยเฉพาะฉินหยวนเฟิง ซึ่งลุงเขาเป็นผู้อาวุโสสำนักฝ่ายนอกของสำนักซวนหยวน และพี่ชายคนโตเขาก็เป็นศิษย์ฝ่ายในของสำนัก
หากพวกเขาสามารถประจบประแจงสองคนนี้ได้ ภายหน้าย่อมต้องประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในการฝึกฝนที่สำนักซวนหยวนแห่งนี้อย่างแน่นอน!
ครั้นนึกถึงสิ่งนี้ ทั้งสองก็เผยสีหน้าอันเปี่ยมด้วยความปีติยินดียิ่ง
“พี่ลู่ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะให้เขาคุกเข่าลงบนพื้นแล้วคำนับท่าน และสำนึกในความผิดพลาดที่เขากระทำไป”
“ใช่แล้ว วันนี้เขาจะไม่มีทางออกจากหุบเขาเหลียนซินนี้ได้อย่างแน่นอน!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ รอยยิ้มเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของลู่เหยียน
เขาจดจำความอัปยศในตอนที่อยู่ศาลาหลิงอวิ๋นได้เป็นอย่างดี และในวันนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่เขาจะได้ล้างแค้น!
ระหว่างที่ลู่เหยียนกำลังคิดว่าจะลงโทษหลัวเฉิงอย่างไร ม่านตาเขาก็หรี่เล็กลงเมื่อเห็นร่างหนึ่งกำลังวิ่งมา แล้วกล่าวกับทั้งสองด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“เขามาแล้ว!”