บทที่ 114 ขั้นหัวใจกระบี่
หลัวเฉิงพึมพำน้ำเสียงเบา และดวงตาเขาก็ส่องประกายด้วยแสงอันคมชัด
ในขณะนี้ จิตใจของเขาแน่วแน่เป็นที่สุด
โลกทั้งใบคล้ายจะเหลือเพียงหนึ่งคนหนึ่งกระบี่!
“โอ้ ขั้นหัวใจกระบี่! นับว่าไม่ง่ายเลยที่จะเข้าใจมันได้ในสถานที่เช่นนี้”
ทันใดนั้นก็มีเสียงสายหนึ่งดังขึ้น
หลัวเฉิงลืมตาของตนขึ้น ความเฉียบคมของจิตวิญญาณเขาเมื่อครู่ก็หายไปทันที เขาเอี้ยวศีรษะหันมองยังต้นเสียง
ข้างๆ เขายามนี้ มีชายหนุ่มร่างกำยำคนหนึ่งเดินเข้ามา
ชายหนุ่มผู้นี้มีผมสั้นและสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์ตัวสั้นเท่านั้น กล้ามเนื้อของเขาเด่นชัดและโป่งหนา ใบหน้าดุร้ายคล้ายดั่งมังกร ในขณะนี้เขาจ้องหลัวเฉิงตาไม่กระพริบ ดุจเดียวกับอสรพิษที่เห็นเหยื่อ
เมื่อเห็นว่าหลัวเฉิงกล้าเผชิญหน้ากับเขาโดยไม่หลบสายตา ชายหนุ่มก็ยิ้มพลางกล่าวว่า
“ไง นามของข้าคือถัวป้าเลี่ย อายุเราคงใกล้เคียงกัน แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้ากลับมาถึงขั้นหัวใจแห่งกระบี่แล้ว! หากปู่ของข้าทราบเรื่องนี้ เขาคงอยากรับเจ้าเป็นศิษย์อย่างแน่นอน”
“ขั้นหัวใจกระบี่งั้นหรือ?”
หลัวเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแสดงสีน่าสงสัย
เขารู้สึกว่ามีบางอย่างปรากฏขึ้นในใจเขาเช่นกัน แต่เขาก็มิอาจบอกได้ว่ามันคือสิ่งใด
มันหาใช่ความผิดของเขาไม่ เขาเพิ่งฝึกฝนและเข้าสู่วิถีกระบี่เพียงหนึ่งหรือสองเดือนเท่านั้น ซึ่งนับว่าไม่ผิดที่เขายังไม่อาจเข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง
“เจ้าไม่รู้งั้นหรือ? ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าบรรลุขั้นหัวใจกระบี่ได้อย่างไร”
ถัวป้าเลี่ยมองหลัวเฉิงด้วยแววตาประหลาดใจ ก่อนอธิบายว่า “ในขั้นของนักกระบี่นั้นประกอบด้วยหลายขั้น ขั้นแรกซึ่งเป็นพื้นฐานที่สุดคือกระบวนท่ากระบี่ เจ้าสามารถเรียนรู้ได้เพียงการเคลื่อนไหวจากเคล็ดวิชาเท่านั้น”
“ขั้นที่สองคือหัวใจกระบี่ ซึ่งเป็นขั้นปัจจุบันของเจ้า”
“ในขั้นนี้ นักกระบี่จะมีวิถีกระบี่เป็นของตนเอง มีกระบี่อยู่ที่ใจ และทุกการเคลื่อนไหวล้วนแล้วแต่มีจิตวิญญาณ โดยทั่วไป มีเพียงนักกระบี่ที่มุ่งมั่นฝึกฝนเพลงกระบี่อยู่หลายปีเท่านั้นที่จะเข้าใจมันได้ เมื่อบรรลุแล้วพวกเขาสามารถผู้ฝึกยุทธ์ในระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย”
ถัวป้าเลี่ยมองยังหลัวเฉิงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้เจ้าจะเพิ่มเข้าสู่ช่วงเริ่มต้นของการเป็นนักกระบี่ แต่ก็นับว่ามีฝีมือไม่เลว ดูเหมือนว่าครั้งนี้ข้าจะตัดสินใจถูกแล้วที่เข้าสู่สำนักซวนหยวน! หากมีคนเช่นเจ้าก็ถือว่าดี มันจะได้ไม่น่าเบื่อจนเกินไป!”
หลัวเฉิงยิ้มเล็กน้อย โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังชมเขาหรือตนเองกันแน่
อย่างไรก็ตาม นิสัยที่ตรงไปตรงมาของถัวป้าเลี่ย ก็เป็นการแสดงอารมณ์ของเขาได้อย่างชัดเจน
“ข้าหลัวเฉิง เจ้าเองก็เป็นนักกระบี่งั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ แม้ว่าท่านปู่ทวดของข้าจะต้องการให้ข้าฝึกกระบี่ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้สนใจจะฝึกมันเสียด้วยซ้ำ!”
ถัวป้าเลี่ยโบกมือพลางส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “น่าเสียดาย ที่ระดับพลังยุทธ์ของเจ้านั้นต่ำเกินไป ไม่เช่นนั้นเจ้าคงจะสามารถรับหมัดของข้าได้สักสองสามกระบวนท่า”
หลัวเฉิงเห็นว่าอีกฝ่ายได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสี่แล้ว จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หากเป็นคนอื่นก็อาจจะเป็นดั่งเช่นเจ้าว่า แต่หาใช่ข้าผู้นี้!”
ถัวป้าเลี่ยตกตะลึงเงินไปครู่ จากนั้นหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เจ้านี่ช่างใจกล้าไม่เบา ดี นิสัยเช่นนี้ถูกใจข้ายิ่งนัก ฮ่าๆ”
เรือสำเภายังคงโลดแล่นต่อไปอีกครึ่งชั่วยาม ทันใดนั้น ที่ปลายสุดของแม่น้ำหลัวเอี้ยนก็ถูกแยกออกเป็นเส้นทางน้ำหลายสาย
หลังจากนั้นไม่นาน ทิวทัศน์หนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาในคลองจักษุ
หุบเขาเบื้องหน้ามีขนาดสูงต่ำคล้ายดั่งลูกคลื่นล้อมรอบแม่น้ำสายนี้ ซึ่งหุบเขาบางลูกก็ราวกับพยัคฆ์ตัวใหญ่ที่นอนหลับอยู่ บ้างก็ทอดยาวคล้ายร่างของมังกร ทั่วอาณาบริเวณเต็มไปด้วยเมฆหมอกบดบังเคล้าแสงสว่างอันลึกลับ ด้านบนปรากฏร่างสัตว์วิญญาณกำลังบินว่อน เสน่ห์ของหุบเขานี้คล้ายดั่งสรวงสวรรค์มิมีผิด!
ถัวป้าเลี่ย กล่าวว่า “สำนักเหล่านี้ล้วนมีวิสัยทัศน์นักในการหาสถานที่! ข้าได้ยินมาว่าสำนักหมอกหยกตั้งอยู่บนยอดหุบเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง ซึ่งที่นั่นปกคลุมไปด้วยแสงลึกลับหลากสีสันส่องสว่างตลอดทั้งปี ทั้งยังมีน้ำพุร้อนหลากสีสันอีกต่างหาก! การแช่ร่างในบ่อน้ำพุร้อน จะมีคุณประโยชน์อันน่าอัศจรรย์มากมายเชียวล่ะ!”
หลังกล่าววาจาเช่นนั้นแล้ว ถัวป้าเลี่ยก็นึกสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ จึงยื่นหน้ามาใกล้หูของหลัวเฉิงแล้วกล่าวเคล้าเสียงหัวเราะ
“ว่ากันว่าสาวๆ ที่นั่น มีผิวพรรณนุ่มละมุนนวลเนียนเปล่งปลั่งยิ่ง การได้สัมผัสกับผิวพรรณของพวกนางก็คล้ายจะบีบน้ำออกมาได้เชียว! หากมีโอกาสเจ้าและข้าก็ไปดูให้เห็นกับตาเถอะ!”
แค่ก! แค่ก!
เดิมที หลัวเฉิงกำลังรู้สึกตื่นตะลึงกับทิวทัศน์อันงดงามเบื้องหน้า แต่วาจาของถัวป้าเลี่ยทำให้ความสนใจของเขาถูกเบนไปทางอื่น
ในไม่ช้า เรือสำเภาก็เข้าเทียบท่าอยู่ที่หน้าหุบเขาแห่งหนึ่ง
วืด!
สายลมที่มาพร้อมกับการเทียบท่าของเรือสำเภา ก็พัดเอาเมฆหมอกกลุ่มหนึ่งกระจายออก ทันใดร่างมนุษย์หลายร่างก็ทะยานออกมาจากหลายหุบเขาและแม่น้ำรอบข้าง
ผู้นำเป็นชายชราสวมชุดนักพรต ร่างกายเขาเปล่งรัศมีอันสดใส นัยน์ตาทอประกายราวกับสายฟ้า
“ผู้อาวุโสเฉินซวน ในครั้งนี้มีลูกศิษย์จากเมืองหลินเจียงเข้าร่วมการทดสอบทั้งหมดหนื่งหมื่นห้าร้อยสามสิบเจ็ดคน!”
ชายชราในชุดดำที่ยืนอยู่หัวเรือกล่าวด้วยความเคารพ
“อืมม์”
ผู้อาวุโสเฉินซวนพยักหน้าเล็กน้อย เหลือบมองทุกคนบนเรือสำเภาแล้วกล่าวเสียงดัง
“ข้าเป็นผู้ดูแลในการสอบคัดเลือกครั้งนี้ ผู้ที่มีจดหมายแนะนำ หรือผู้ที่มีวิญญาณยุทธ์ขั้นสูงให้ลงจากเรือสำเภามาก่อน!”