บทที่ 113 เพียงก้าวแรก
รู้สึกถึงพลังมหาศาลที่พุ่งพ่านอยู่ในกายเขา หลัวเฉิงเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อ
ผู้ฝึกยุทธ์ที่ทะลวงจนถึงขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสี่ ซึ่งมีไขกระดูกบริสุทธิ์ดูดน้ำแข็งค้าง มีพละกำลังเท่ากับวัวเก้าตัวและเสือสองตัว แต่มีพลังเพียงสองหมื่นเก้าพันจิน
ตอนนี้ หลัวเฉิงสามารถกวัดแกว่งกระบี่ทะลายสวรรค์ได้ง่ายดั่งใจนึก และไม่รู้สึกถึงความหนักอึ้งเหมือนก่อนหน้า
หลัวเฉิงประเมินว่าพลังของเขาตอนนี้น่าจะอยู่ราวๆ สองหมื่นแปดพันจินถึงสามหมื่นจินเป็นอย่างน้อย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาเพิ่งทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสาม แต่พลังของเขากลับมีมากทัดเทียมกับผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสี่!
“แค่ทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสาม ไฉนจึงมีพลังมากมายเช่นนี้”
หลัวเฉิงพึมพำกับตนเอง
ผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามทั่วไป จะมีพลังเพียงแค่หกพันจินเท่านั้น
ทว่า ก่อนที่เขาจะทะลวงเข้าสู่ระดับสาม พลังของหลัวเฉิงก็อยู่ที่ประมาณหมื่นหกพนจินเท่านั้น แต่ครั้งนี้กลับเพิ่มขึ้นทันทีถึงหมื่นสี่พันจิน ซึ่งพลังที่เพิ่มนั้นเกือบมากถึงสองเท่า!
ด้วยความสงสัยใคร่รู้ หลัวเฉิงจึงหลับตาทำสมาธิมองเข้าไปภายในวังวนของตันเถียน
ซึ่งภายในวังวนตันเถียนนี้ ปราณมังกรก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
ปราณมังกรเริ่มปรากฏหัวแล้วมีรูปร่างคล้ายดั่งงูตัวเล็กๆ แหวกว่ายอยู่ภายในวังวนตอนนี้
“ปราณมังกรเติบโตขึ้น นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกของปราณมังกร! วิชามังกรแท้ได้ทะลวงเข้าสู่ระดับหนึ่งแล้ว”
เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของปราณของมังกร ในที่สุดหลัวเฉิงก็คลายความสงสัย
ไม่น่าแปลกใจเลยที่พลังของเขาเพิ่มพูนอย่างมหาศาล ที่แท้ ก็เป็นเพราะวิชามังกรแท้ได้ทะลวงเข้าสู่ระดับหนึ่งแล้วนั่นเอง
“แค่ระดับหนึ่ง ก็ทำให้ข้ามีพลังมากกว่าสองหมื่นจินแล้วหรือ!”
หลัวเฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆ
เพียงระดับหนึ่งของขั้นมังกรแท้ก็มีพลังมากมายถึงเพียงนี้ ซึ่งมันยากเกินจินตนาการนักหากฝึกฝนเคล็ดวิชาควบคุมมังกรสวรรค์ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่รู้ว่าพลังจะมหาศาลถึงเพียงใด
“ฮ่าฮ่า ทุกคนล้วนกล่าวว่า หลังจากข้าปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา หากวันหน้าระดับพลังยุทธ์ของสูงขึ้น ข้าจะหยุดพัฒนาแล้วถูกทุกคนก้าวข้ามไป พวกเขาล้วนคิดผิด นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของข้าเท่านั้น”
หลัวเฉิงมีรอยยิ้มเขยขึ้นมาบนใบหน้าพร้อมกับเลือดในกายที่เดือดพล่าน
ด้วยเคล็ดวิชาควบคุมมังกรสวรรค์ ทั้งยังมีเกร็ดเก้าสีที่ไม่เพียงแต่หลอมโอสถได้เท่านั้น แต่มันยังสามารถทำให้โอสถบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ซึ่งมันแทบจะไม่มีผลข้างเคียงหลังกลืนโอสถแม้แต่น้อย!
สองสิ่งนี้ เป็นไปได้ว่าความแข็งแกร่งเขาจะก้าวย่างอย่างรวดเร็ว และไม่นานก็เหนือกว่าทุกคนได้!
ผู้ใดก็ตามที่เคยหัวเราะเยาะและกล่าวว่าเขาเป็นเพียงขยะไร้ค่า พวกเขาจะต้องเสียใจ!
หลัวเฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ระงับสติอารมณ์ แล้วเปิดประตูออกจากห้องขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ
ข้างนอกบรรยากาศนั้นค่อนข้างมืดสลัว และเรือสำเภาลำนี้ก็โลดแล่นมาแล้วกว่าหนึ่งวัน
บนดาดฟ้าเรือยามนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ส่วนใหญ่กำลังเตรียมพร้อมทางด้านร่างกายเพื่อเข้ารับการทดสอบของสำนักซวนหยวน
หลัวเฉิงกวาดสายตามองรอบๆ ขณะเดินไปบนดาดฟ้าเรือ
แต่ทันใดนั้นเอง
คร้าว!
เสียงคำรามอันน่าสะพรึงกลัวก็ดังสะท้านขึ้น
ท่ามกลางมหานทีอันกว้างใหญ่ไพศาล พลันปรากฏเงาทมิฬพร้อมคลื่นลูกใหญ่พุ่งเข้าใส่เรือสำเภาโดยไร้ซึ่งปรานี
เงามหึมานี้มันโจมตีเข้าใส่เรือสำเภาด้วยกรงเล็บอันแหลมคม
เคร้ง!
ด้วยการโจมตีของอสูรยักษ์พานให้เรือสำเภาสั่นไหวเล็กน้อย แต่ทว่าเรือสำเภาก็ตัดผ่านคลื่นนั้นไปอย่างง่ายดาย
ส่วนเงาอสูรตะคุ่มดำนั้น มันก็ถูกลูกเกาทัณฑ์อันแหลมคมของเรือสำเภาฉีกร่างเป็นชิ้นๆ ร่างที่ขาดกระจายนั้นกระเด็นขึ้นไปบนห้วงอากาศสาดเลือดกระเซ็นลงมาราวกับสายฝน
“ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้ นั่นคล้ายจะเป็นงูหลามดำ สัตว์อสูรระดับสี่ดาว! แต่สัตว์อสูรระดับนั้นกลับถูกฉีกร่างเป็นชิ้นๆ ในพริบตา!”
“นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว เรารีบลงไปจากดาดฟ้าเรือกันเถอะ”
ชายหนุ่มสองคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ครั้นได้เห็นฉากอันน่าสยดสยองนี้ ใบหน้าก็แสดงถึงความตื่นตระหนกแล้วรีบลงไปจากดาดฟ้าเรือทันที
หลัวเฉิงเองก็รู้สึกตกใจเฉกเช่นเดียวกัน
สัตว์อสูรสี่ดาวซึ่งมีความแข็งแกร่งเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นก่อเกิดชีพจร กลับถูกฉีกกระชากร่างเป็นชิ้นๆ ในพริบตา ซึ่งนี่ก็เพียงพอแล้วที่จะตระหนักรู้ว่าเรือสำเภาลำนี้แข็งแกร่งมากขนาดไหน!
หลังสงบสติอารมณ์จนสงบแล้ว หลัวเฉิงก็สืบเท้าต่อมายังหัวเรือ
เบื้องหน้า เป็นม่านแสงสีฟ้าหนาครึ่งชุ่นปกคลุมตัวเรือ ซึ่งกระแสน้ำที่ไหลพาดผ่านหัวเรือก็ถูกม่านแสงตัดผ่านฉีกออกเป็นสองฝั่งทันที
ภายใต้ม่านแสง สามารถมองเห็นแสงสีทองที่ทอดยาวจากดวงอาทิตย์ยามเช้า ซึ่งแสงสีทองนี้สาดต้องกับคลื่นผิวน้ำทำให้เกิดเป็นชั้นแสงสีทองระยิบระยับอย่างงดงาม
“โลกนี้ช่างกว้างใหญ่ยิ่งนัก! สักวันหนึ่ง ข้าจะต้องโลดแล่นข้ามผ่านภูเขาและแม่น้ำนับล้านเหล่านี้ให้ได้!”
หลัวเฉิงยืนอยู่บนหัวเรือ แล้วทอดสายตามองยังแม่น้ำอันไร้ที่สิ้นสุดกำลังไหลพาดผ่าน ความรู้สึกที่ยืนอยู่บนหัวเรือคล้ายดั่งว่าเขาลอยบนอากาศได้ คล้ายท่องนภาพาดผ่านสายลมและผืนน้ำ ทำให้ภายในใจเขารู้สึกเบิกบานสำราญใจยิ่ง
“ท่องกระบี่ไปตามสายลม และเป็นอิสระจากสวรรค์และโลก!”