บทที่ 5 วิชาหมัดพยัคฆ์
บทที่ 5 วิชาหมัดพยัคฆ์
เจียงฮ่าวกลับมาถึงบ้านของเขาแล้ว
หลังจากนั้น เขาถูกตู้เจวียนอุ้มขึ้นไปอยู่ในอ้อมแขนของเธอ
ภายในห้องมีน้ำร้อนถูกเตรียมเอาไว้แล้วและยังแช่สมุนไพรอันล้ำค่าไว้ด้วย
นี่เป็นน้ำยาแช่ตัวที่ท่านเจียงได้สั่งให้เตรียมไว้เพื่อให้เจียงฮ่าวแช่ตัว
แต่เจียงฮ่าวในตอนนี้ยังไม่อยากขยับร่างกายมากสักเท่าไหร่นัก
การเคลื่อนเลือดลมปราณถึงยี่สิบรอบภายในวันเดียวนั้นทำให้เขาเหนื่อยมากจนสายตัวแทบจะขาดออกจากกัน
"สี่เชว่ เจ้าช่วยวัดอุณหภูมิในน้ำให้ที"
เนื่องจากตู้เจวียนอุ้มเจียงฮ่าวเอาไว้ ดังนั้นสี่เชว่จึงต้องลงไปวัดอุณหภูมิน้ำแทน
แม้ว่าเจียงฮ่าวจะมีสาวใช้ที่ใกล้ชิดแค่สองคน แต่สาวใช้ทั้งสองต่างดูแลเขาเป็นอย่างดี
ตู้เจวียนอุ้มเจียงฮ่าวและค่อยๆถอดเสื้อผ้าของเขาออกอย่างระมัดระวัง
จากนั้นตู้เจวียนก็ถอดเสื้อผ้าตัวเองออก เพราะเนื่องจากเจียงฮ่าวยังเด็กมาก ดังนั้นทุกครั้งที่อาบน้ำเขาจึงต้องให้สาวใช้คอยอุ้มอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งครั้งนี้ แน่นอนว่าตู้เจวียนจะได้โอกาสอุ้มเจียงฮ่าวอาบน้ำ
สี่เชว่อิจฉามากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้และได้แต่คอยรับใช้อยู่ข้างนอก
เจียงฮ่าวนั้นเป็นเด็กตัวเล็กๆที่มีผิวพรรณขาวเนียนไปทั้งตัว
เมื่อถูกตู้เจวียนอุ้ม กลิ่นหอมอ่อนๆของสาวงามจึงโชยมาเข้าจมูกของเจียงฮ่าว
แต่ถึงอย่างนั้น เจียงฮ่าวก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะตั้งแต่เด็กจนตอนนี้เขาได้รับการดูแลจากสาวใช้ทั้งสองคนแบบนี้มาตลอด
แต่ในครั้งนี้มันเป็นน้ำยาแช่ตัวซึ่งไม่ใช่การอาบน้ำธรรมดา
ดังนั้น แม้ว่าตู้เจวียนที่อุ้มเจียงฮ่าวให้นั่งลงไปในอ่างน้ำร้อนแล้วก็ไม่รู้ว่าเธอควรจะทำอย่างไรต่อ
"นั่งอยู่อย่างนี้แหละ อย่าขยับเชียวนะ"
เจียงฮ่าวพูดขึ้น
ตอนนี้เขาไม่สามารถขยับตัวได้เพราะการเคลื่อนเลือดลมปราณยี่สิบรอบนั้นใช้พลังงานมากเกินไป
แต่ตอนนี้ เขามีน้ำยาแช่ตัวที่สามารถฟื้นฟูพลังงานที่ใช้ไปได้
แน่นอนว่า เจียงฮ่าวใช้โอกาสที่แช่ตัวนี้เพื่อเคลื่อนเลือดลมปราณต่อไป
ดังนั้น เจียงฮ่าวจึงเริ่มฝึกวิชาบ่มเพาะสายเลือดธาราและเริ่มเคลื่อนเลือดลมปราณ
ครั้งนี้เจียงฮ่าวค่อยเคลื่อนเลือดลมปราณอย่างช้าๆ
ส่วนฤทธิ์ของน้ำยาแช่ตัวนั้นก็ได้ผลดีอย่างมาก
ความร้อนบางส่วนได้ผุดขึ้นในร่างกาย ซึ่งความร้อนนี้มาจากน้ำยาแช่ตัว
เจียงฮ่าวรู้สึกว่าอาการปวดเมื่อยทั่วร่างกายเริ่มบรรเทาลงและความร้อนนั้นก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเพื่อไปหล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย
แต่เจียงฮ่าวไม่กล้าเคลื่อนเลือดลมปราณให้เร็วเกินไป
ถึงแม้การเคลื่อนเลือดลมปราณเร็วจะเพิ่มเลือดลมปราณได้มาก แต่มันก็ใช้พลังงานมากเช่นกัน
ตอนนี้เจียงฮ่าวที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูจึงไม่ควรใช้พลังงานมากเกินไป
"นายน้อย นี่เป็นยาบำรุงที่ท่านเจียงให้คนต้มมา ท่านเจียงบอกว่ามันส่งผลดีต่อคนที่ฝึกยุทธค่ะ"
ในตอนนั้น สาวใช้สี่เชว่ได้ยกชามซุปมา
"ยาบำรุงหรือ?"
เจียงฮ่าวได้ยินเช่นนั้นจึงมีแววตาเป็นประกาย
สี่เชว่จึงค่อยๆป้อนยาบำรุงให้เจียงฮ่าวทีละช้อน
หลังจากที่ดื่มยาบำรุงหมดชาม เจียงฮ่าวเริ่มรู้สึกว่าความร้อนในร่างกายของเขาเพิ่มสูงมากขึ้นจนทั้งร่างกายเริ่มร้อนผ่าว
เจียงฮ่าวรู้ว่ามันใกล้ถึงเวลาแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ควบคุมความเร็วในการเคลื่อนเลือดลมปราณอีกต่อไป
หนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ สี่รอบ ห้ารอบ...
ครั้งนี้ เจียงฮ่าวใช้เวลาสองชั่วยามในการเคลื่อนเลือดลมปราณไปห้ารอบ
บางทีเขาอาจจะเคลื่อนเลือดลมปราณได้มากกว่านี้ แต่เจียงฮ่าวคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
หากเคลื่อนเลือดลมปราณต่อไป ร่างกายของเขาอาจจะบาดเจ็บหนักได้
"น้ำยาแช่ตัวกับยาบำรุงนี่ได้ผลดีจริงๆ เดิมทีขีดจำกัดของข้าคือยี่สิบรอบต่อวันแต่ตอนนี้มันกลับเพิ่มขึ้นเป็นยี่สิบห้ารอบแล้ว!"
"นอกจากนี้ มันก็ยังไม่ใช่ขีดจำกัดของข้า เนื่องจากกระดูกของข้ายังสามารถแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นได้อีก ดังนั้นถ้าหากตั้งสมาธิถึงดวงอาทิตย์ต่อไป กระดูกของข้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆและเมื่อถึงตอนนั้นข้าก็จะเคลื่อนเลือดลมปราณได้มากกว่านี้..."
เจียงฮ่าวรู้สึกตื่นเต้นมาก
ตู้เจวียนและสี่เชว่ช่วยเจียงฮ่าวทำความสะอาดร่างกายเสร็จและส่งเจียงฮ่าวขึ้นเตียงนอน
วันนี้เป็นวันที่เขาเหนื่อยมากที่สุดตั้งแต่เกิดมา
แต่ถึงอย่างนั้น นี่ก็ยังไม่ใช่เวลานอนของเจียงฮ่า
เพราะกลางคืนคือเวลาฝึกฝนที่สำคัญที่สุดของเขา
"ซุ่บ"
เมื่อเจียงฮ่าวหลับตาลง เขาก็เข้าไปสู่วิหารฝึกยุทธภายในจิตสำนึก
เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและมองเห็นดวงอาทิตย์ที่คุ้นเคย
ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้านั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
หลายปีมานี้ เจียงฮ่าวไม่เคยหยุดพักการฝึกเลยแม้แต่คืนเดียว ดังนั้นในทุกคืนเขาจะเข้าสู่จิตสำนึกเพื่อทำสมาธิ
เพียงแค่การทำสมาธิด้วยการมองดวงอาทิตย์ กระดูกของเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงตอนนี้ เจียงฮ่าวก็ยังไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะอะไร
นอกจากนี้ ยังมีพระจันทร์สีเลือดและหลุมดำอยู่อีก
เจียงฮ่าวเคยค้นตำราโบราณแต่ก็ไม่พบบันทึกเกี่ยวกับพระจันทร์สีเลือดหรือหลุมดำมาก่อน
"กระดูกของข้าในตอนนี้แข็งแกร่งมากแล้ว แต่ท่านอาจารย์ได้บอกว่าในสำนักหวงเทียนยังมีอัจฉริยะที่น่าทึ่งกว่านี้อยู่อีก นั่นแสดงว่ากระดูกของข้ายังห่างไกลจากระดับสูงสุด ดังนั้นข้าจะต้องพยายามต่อไป!"
เจียงฮ่าวรู้ดีว่าในโลกนี้เหนือฟ้ายังมีฟ้าอีกชั้น
ดังนั้นเขาจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่เท่านี้
ด้วยโอกาสในการเสริมสร้างกระดูกอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ คนอื่นคงไม่อาจหาได้ แล้วเขาจะยอมหยุดพักอยู่เฉยๆได้อย่างไร?
ดังนั้น เจียงฮ่าวจึงเริ่มทำสมาธิโดยการมองดวงอาทิตย์อีกครั้ง
การทำสมาธิด้วยมองดวงอาทิตย์นั้นเจ็บปวดทุกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของกระดูกได้ทุกครั้งเช่นกัน
ถึงแม้จะเจ็บปวดเพียงใด เจียงฮ่าวก็ต้องอดทน
ยิ่งไปกว่านั้น การทำสมาธิด้วยการมองดวงอาทิตย์ในจิตสำนึกก็เหมือนกับการพักผ่อน
มันได้ผลดีกว่าการนอนหลับเสียอีก
หลายปีมานี้ เจียงฮ่าวคุ้นเคยกับการใช้ "การทำสมาธิ" แทนการนอนหลับไปแล้ว
….
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เจียงฮ่าว "ตื่น" ขึ้นมาจากการทำสมาธิ
ซึ่งเขาทำแบบนี้จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของชีวิตของเขาไปแล้ว
และทุกเช้าประมาณเจ็ดโมง เจียงฮ่าวจะ "ตื่น" ขึ้นมาเอง
หลังจากที่ทำสมาธิด้วยการมองดวงอาทิตย์มาทั้งคืน เจียงฮ่าวกไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแต่กลับรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ราวกับว่าได้เพิ่มพลังร่างกายให้มากขึ้นแทน
ดังนั้น เขาจึงตั้งสมาธิเพื่อตรวจสอบค่าพรสวรรค์ต่างๆในร่างกายทันที
พลังยุทธ์ : ขั้นหลอมเลือด ชั้นที่หนึ่ง
กระดูก : 6.8
ความเข้าใจ : 2.5
จิตใจ : 1.7
ในตอนนี้ “รากฐาน” ได้ถูกเปลี่ยนเป็น “กระดูก” ไปแล้ว
ส่วนพลังยุทธของเขานั้นยังคงอยู่ที่ขั้นหลอมเลือดชั้นที่หนึ่ง
ซึ่งนี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะถึงแม้กระดูกของเขาจะแข็งแกร่งเกือบเจ็ดเท่าของคนทั่วไป แต่ก็ไม่น่าจะทะลวงไปถึงขั้นหลอมเลือดชั้นที่สองได้ภายในวันเดียว
แต่ค่ากระดูกที่แข็งแกร่งของเจียงฮ่าว มันทำให้เขารู้สึกได้ถึงการเพิ่มขึ้นของเลือดลมปราณได้มากขึ้น
แม้จะผ่านไปเพียงหนึ่งวัน แต่เลือดลมปราณของเจียงฮ่าวก็เพิ่มขึ้นมาก
วันนี้เป็นวันที่สองของการฝึกยุทธอย่างเป็นทางการของเจียงฮ่าว ซึ่งเขาก็มาถึงสำนักเฮยถ่าตั้งแต่เช้า
เจียงฮ่าวคิดว่าเขามาเร็วแล้ว แต่เขาไม่นึกเลยว่าในสำนักจะคึกคักไปด้วยผู้คนซึ่งมีทั้งศิษย์ทั่วไปและศิษย์ชั้นนอกหลายคนที่มาถึงสำนักแล้ว
"ศิษย์น้องตัวน้อย พวกเราเหล่านักศิลปะการต่อสู้จะต้องฝึกฝนกันตั้งแต่เช้าทั้งในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน ดังนั้นเจ้าห้ามขี้เกียจเป็นอันขาดเชียวนะ"
คนที่พูดอยู่ก็คือศิษย์พี่ที่สาม
เขามาถึงสำนักแต่เช้าและฝึกฝนมาได้สักพักแล้ว
"ขอรับ ศิษย์พี่ที่สาม"
เจียงฮ่าวไม่ได้พูดแก้ตัวใดๆแต่น้อมรับฟังด้วยความถ่อมตน
"เอาน่า เจียงฮ่าวก็เป็นเด็กนะ เขากำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต เพราะฉะนั้นอย่าเข้มงวดกับเขามากเกินไปเลย"
ศิษย์พี่หญิงเดินเข้ามาหาเจียงฮ่าวด้วยรอยยิ้ม "ศิษย์น้องตัวน้อย ท่านอาจารย์กำลังเรียกหาเจ้าอยู่นะ"
หลังจากนั้น เจียงฮ่าวจึงเดินตามศิษย์พี่หญิงไปหาอาจารย์
"เจียงฮ่าว ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?"
จ้าวเฮยถ่าเอ่ยถาม
"ท่านอาจารย์ ศิษย์ได้พักผ่อนมาอย่างเต็มที่แล้ว ดังนั้นร่างกายของศิษย์จึงไม่เป็นอะไรแล้วขอรับ"
จ้าวเฮยถ่าพยักหน้าด้วยความพอใจ "ร่างกายของมนุษย์นั้นมีศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด หากไม่ฝืนมากเกินไป ศักยภาพนั้นก็จะค่อยๆ ถูกปลดปล่อยออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เจ้ายังเป็นเด็ก ศักยภาพของร่างกายจึงมีมากกว่า!"
"แต่ว่า นักศิลปะการต่อสู้ก็มีเพียงแค่เลือดลมปราณ หากไม่ได้ใช้มันก็จะไม่มีประโยชน์ ดังนั้นจึงต้องใช้วิชายุทธด้วย"
"กระดูกของเจ้านั้นแข็งแกร่ง มันจึงทำให้เจ้าฝึกยุทธได้ง่ายขึ้น แต่วิชายุทธเองก็ต้องอาศัยความเข้าใจและความพยายามด้วยเช่นกัน"
"ตอนนี้เจ้ายังอยู่ในขั้นหลอมเลือด หากเริ่มเรียนวิชายุทธเร็วเกินไปจะทำให้เสียสมาธิได้ ดังนั้นเจ้าจงฝึกหมัดเพียงอย่างเดียวก็พอ ดังนั้นวันนี้ข้าจะสอนหมัดพยัคฆ์ให้กับเจ้า ซึ่งวิชานี้สามารถดึงพลังเลือดลมปราณทั่วร่างกายออกมาได้และถือเป็นหมัดที่แข็งแกร่งมาก"
จ้าวเฮยถ่าเริ่มสาธิตวิชาหมัดพยัคฆ์
หมัดแต่ละหมัดส่งเสียงดังอยู่ในอากาศและดูทรงพลังมาก ซึ่งหลังจากที่ได้เห็นแล้ว เจียงฮ่าวจึงพอเข้าใจได้ว่ามันเป็นวิชาหมัดที่มีพลังทำลายล้างสูงจริงๆ
"เจียงฮ่าว เจ้าจำที่ข้าสาธิตไปได้หรือไม่?"
"ท่านอาจารย์ ศิษย์จำได้แล้วขอรับ"
"หืม? นี่เจ้าจำได้แล้วทั้งที่ข้าสาธิตให้เจ้าดูเพียงครั้งเดียวงั้นรึ? ถ้าอย่างงั้นเจ้าช่วยลองทำให้ข้าดูที"
จ้าวเฮยถ่าตั้งใจที่จะสาธิตอีกหลายรอบ แต่ไม่นึกเลยว่าเจียงฮ่าวจะจำได้แล้ว
เรื่องนี้ทำให้จ้าวเฮยถ่าประหลาดใจมาก
แม้ว่าบางคนจะมีกระดูกที่ดี แต่ความเข้าใจก็ถือว่าธรรมดา
เจียงฮ่าวจึงเริ่มออกหมัดพยัคฆ์ไปทีละท่า
ถึงแม้ว่าจะยังดูอ่อนหัดและมีหลายท่าทางที่ยังดูแปลกตาไปเล็กน้อย
แต่แค่นี้ก็ถือว่าเจียวฮ่าวจำได้แล้วจริงๆ
จ้าวเฮยถ่ารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
เจียงฮ่าวนั้นเหมือนกับจำได้ในทันทีที่ได้เห็นเขาสาธิต
แต่เมื่อเขาคิดดูดีๆ เจียงฮ่าวนั้นก็ไม่ใช่เด็กธรรมดาแต่เป็น "เด็กอัจฉริยะ" ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งเมือง
เขาสามารถอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่อายุหนึ่งขวบ พออายุสามขวบก็สามารถแต่งกลอนได้แล้วแถมยังเป็นที่ชื่นชมของนักปราชญ์มากมายอีกด้วย
ถึงแม้ว่าการเรียนรู้ด้านวรรณกรรมและการฝึกยุทธจะแตกต่างกันมาก
แต่ทั้งสองก็มีจุดร่วมกัน ซึ่งคนที่เก่งด้านวรรณกรรมมักจะมีความคิดที่ปราดเปรียว ซึ่งในแง่นี้ก็ถือว่าเป็นลักษณะของผู้ที่มีความเข้าใจสูงในหมู่นักศิลปะการต่อสู้เช่นกัน
ดูเหมือนว่าเจียงฮ่าวจะไม่เพียงแต่มีกระดูกที่ดีแต่ยังมีความเข้าใจที่ดีอีกด้วย!