บทที่ 2 ชื่อเสียงของเด็กอัจฉริยะ
บทที่ 2 ชื่อเสียงของเด็กอัจฉริยะ
สาวใช้ทั้งสองคนของเจียงฮ่าวมีนามว่า ตู้เจวียน และ สี่เชว่
เนื่องจากเจียงต้าไห่มีลูกชายคนนี้ในวัยชรา ดังนั้นเขาจึงทะนุถนอมราวกับไข่ในหินและหวงแหนราวกับน้ำแข็งที่กำลังละลาย
ทว่าภายใต้การตามใจอย่างสุดโต่งนี้ ตู้เจวียนและสี่เชว่กลับเห็นว่าเจียงฮ่าวกลับมีนิสัยที่สุขุมเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับเด็กอายุหนึ่งขวบสามเดือน การใช้คำว่า "สุขุมเยือกเย็น" อาจจะดูแปลกประหลาดไปสักหน่อย
แต่เมื่อใช้กับเจียงฮ่าวแล้ว กลับไม่รู้สึกแปลกประหลาดแม้แต่น้อย
ในขณะนี้ เจียงฮ่าวสวมกางเกงขาสั้นและยืนอยู่บนขั้นบันไดโดยจ้องมองไปยังกลุ่มนักสู้ที่กำลังฝึกฝนด้านพละกำลังอยู่เบื้องล่างอย่างตั้งใจ
พวกเขาคือองครักษ์ประจำจวนเจียง
พวกเขาล้วนเป็นจอมยุทธ์ที่เจียงต้าไห่ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อจ้างวานมา
เจียงฮ่าวไม่ได้เข้าไปรบกวนองครักษ์เหล่านี้และก็ไม่ได้ส่งเสียงเอะอะโวยวายพวกเขาแต่อย่างใด
ดูเหมือนองครักษ์เหล่านี้ก็จะคุ้นเคยกับภาพนี้แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจ
เจียงฮ่าวกำลังยืนดูอย่างตั้งใจ แม้เขาจะดูเป็นผู้ใหญ่มากเพียงใดแต่ก็ยังเป็นเด็กอายุเพียงหนึ่งขวบอยู่ดี
ดังนั้น เจียงฮ่าวจึงสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดกับสาวใช้ว่า "ข้าอยากไปฉี่อ่ะ"
"ค่ะ นายน้อย"
ตู้เจวียนและสี่เชว่รีบเข้าไปอุ้มเจียงฮ่าวให้นั่งยองๆลงกับพื้น
เจียงฮ่าวหลับตาลงอย่างเขินอาย
หลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จ เจียงฮ่าวจึงตั้งสมาธิเพื่อเรียกดูข้อมูลที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา
รากฐาน : 1.8
ความเข้าใจ : 1.5
จิตวิญญาณ : 1.7
นี่คือผลลัพธ์จากความพยายามตลอดหนึ่งปีของเจียงฮ่าว
พรสวรรค์ในแต่ละด้านของเขาเพิ่มขึ้น 0.4
หนึ่งในสามพรสวรรค์นี้ พรสวรรค์รากฐานมีค่าสูงที่สุด
อาจเป็นเพราะการเพิ่มขึ้นของรากฐาน จึงทำให้ร่างกายของเจียงฮ่าวจึงแข็งแรงมากและแทบไม่เคยเลยสักครั้ง
ร่างกายของเขาแข็งแรงกว่าเด็กวัยเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ ด้วยการเพิ่มขึ้นของค่าความเข้าใจและจิตวิญญาณ เจียงฮ่าวจึงสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
ตัวอย่างเช่น การเพิ่มขึ้นของจิตวิญญาณจะทำให้เจียงฮ่าวรู้สึกกระปรี้กระเปร่าทุกวัน
ถึงแม้จะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่เขาก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วหลังจากพักผ่อนเพียงครู่เดียว
ต่อมาคือการเพิ่มขึ้นของค่าความเข้าใจ ซึ่งทำให้ความจำของเจียงฮ่าวดีมาก แม้จะไม่สามารถพูดได้ว่าจำได้ทุกอย่างที่เห็น แต่ตราบใดที่เขาเคยเห็นสิ่งนั้น เขาก็จะสามารถจดจำได้บ้างไม่มากก็น้อย
ด้วยเหตุนี้ เจียงฮ่าวจึงเริ่มเรียนรู้การอ่านได้ตั้งแต่อายุหนึ่งขวบและสามารถจดจำตัวอักษรได้มากมายภายในเวลาไม่กี่เดือน
ในตอนนี้มีเพียงรากฐานเท่านั้นที่เจียงฮ่าวยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร
แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนวิทยายุทธ์
สถานที่ที่เจียงฮ่าวอาศัยอยู่นั้นเรียกว่า “เมืองชาง”
ที่นี่ไม่มีราชวงศ์หรือแคว้นใดๆปกครอง
เมืองชางอยู่ภายใต้การปกครองของจวนเจ้าเมือง ซึ่งจวนเจ้าเมืองก็ขึ้นตรงต่อสำนักหวงเทียน
สำนักหวงเทียนนั้นก็เป็นสำนักวิทยายุทธ์
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าโลกนี้คือโลกที่วิทยายุทธ์เฟื่องฟูอย่างสุดขีด!
เจียงฮ่าวสังเกตองครักษ์ในจวนเจียงมาเป็นเวลานาน แม้ว่าจะเดาว่ารากฐานจะเกี่ยวข้องกับการฝึกวิทยายุทธ์ แต่เขาก็ยังต้องการถามให้แน่ใจ
"ตู้เจวียน ไปเรียกลุงพานมาหาข้าทีสิ"
"ค่ะ นายน้อย"
หลิวพานเป็นคนเก่าแก่ของจวนเจียง และยังเป็นหัวหน้าองครักษ์ สมัยหนุ่มๆเขาเคยติดตามเจียงต้าไห่เวลาที่ไปทำธุรกิจและเคยช่วยชีวิตเจียงต้าไห่เอาไว้หลายครั้ง ทำให้เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับจวนเจียง ดังนั้นแม้แต่เจียงฮ่าวก็ยังต้องเรียกหลิวพานว่า "ลุง"
"นายน้อย ท่านเรียกหาข้างั้นหรือ?"
หลิวพานเป็นชายร่างกำยำที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆและดูน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก
"ลุงพาน ข้าอยากรู้ว่ารากฐานคืออะไรน่ะ?"
"รากฐานงั้นรึ?"
หลิวพานตกตะลึงเล็กน้อย
แม้ว่าเจียงฮ่าวจะยังเป็นเด็กอายุเพียงหนึ่งขวบ แต่ในจวนเจียงนี้มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่านายน้อยคนนี้เป็นเด็กที่เฉลียวฉลาด
ดังนั้น หลิวพานจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า "นายน้อย รากฐานนั้นเป็นพรสวรรค์ในด้านการฝึกฝนวิทยายุทธ์ ยิ่งมีรากฐานที่ดีก็ยิ่งฝึกฝนได้ง่ายขึ้น"
"ยกตัวอย่างเช่น บางคนมีพละกำลังพิเศษมาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งนั่นก็คือรากฐานที่พิเศษมาก เมื่อคนๆนั้นฝึกฝนวิทยายุทธ์ก็จะมีข้อได้เปรียบมากกว่าคนทั่วไป"
"หรือบางคนที่ฝึกฝนวิทยายุทธ์มาสิบปี แต่สภาพร่างกายก็ยังเทียบไม่ได้กับคนที่ฝึกฝนเพียงหนึ่งปี นั่นก็ถือว่าเป็นความแตกต่างของรากฐานเช่นกัน"
เจียงฮ่าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
เรื่องนี้สอดคล้องกับการคาดเดาของเขาเป็นส่วนใหญ่
หลังจากนี้เจียงฮ่าวก็พอจะอนุมานได้ถึงความสามารถในด้านของความเข้าใจได้
หากมีความเข้าใจที่ดี การฝึกฝนท่าทางวิทยายุทธ์ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หากเป็นคนอื่นที่ต้องดูสามครั้งถึงจะจำได้ แต่คนที่มีค่าความเข้าใจที่สูงอาจดูเพียงครั้งเดียวก็จดจำได้ทั้งหมดแล้ว หรืออาจจะสามารถเข้าใจและนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วเลยด้วยซ้ำ
ส่วนจิตวิญญาณนั้น ตอนนี้เจียงฮ่าวยังไม่รู้แน่ชัดว่ามันมีบทบาทอย่างไร?
"ลุงพาน แล้วข้าจะสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์บ้างได้ไหม?"
เจียงฮ่าวถาม
"นายน้อยสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์ได้แน่นอน แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้"
"แม้ว่าการฝึกฝนวิทยายุทธ์จะต้องเริ่มตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่ควรเริ่มเร็วเกินไป อย่างน้อยก็ต้องอายุประมาณหกขวบถึงจะเริ่มฝึกฝนได้ มิฉะนั้นจะเป็นการทำร้ายร่างกายทางอ้อม"
"หกขวบรึ?"
เจียงฮ่าวขมวดคิ้ว
ตอนนี้เขาเพิ่งอายุแค่หนึ่งขวบกว่าเท่านั้น
นั่นหมายความว่าเขายังต้องรอเวลาไปอีกเกือบห้าปี!
"ลุงพาน ถ้าหากข้าอายุหกขวบข้าก็สามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์กับท่านได้ใช่ไหม?"
เจียงฮ่าวถามอีกครั้ง
"ฮ่าๆๆๆ นายน้อย ทักษะด้านการต่อสู้ของข้ามันธรรมดาสามัญ อย่างข้าจะไปสอนนายน้อยได้อย่างไร? นั่นจะทำให้นายน้อยเสียเวลาเปล่าๆ"
"เมื่อนายน้อยถึงวัยที่เหมาะสมในการฝึกฝนวิทยายุทธ์ นายท่านคงจะทุ่มเงินเพื่อจ้างอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาสอนนายน้อยอย่างแน่นอน"
"แต่ถึงกระนั้น ต่อให้เป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากแค่ไหนก็เทียบไม่ได้กับสำนักหวงเทียน"
ดวงตาของเจียงฮ่าวเป็นประกาย
แน่นอนว่าเขารู้จักสำนักหวงเทียน
"แล้วข้าจะเข้าสำนักหวงเทียนได้อย่างไรหรือ?"
"เรื่องนั้นคงยากมาก เพราะสำนักหวงเทียนไม่ได้เปิดรับศิษย์อย่างเปิดเผยแต่ต้องอาศัยการแนะนำเท่านั้น ซึ่งจอมยุทธ์ที่มีสิทธิ์แนะนำส่วนใหญ่ก็มาจากจวนเจ้าเมืองหรืออดีตศิษย์ของสำนักหวงเทียนทั้งสิ้น"
"ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติม นายน้อยจะเข้าใจเองเมื่อโตขึ้น"
เจียงฮ่าวพยักหน้า
"ขอบคุณมากนะลุงพาน"
เจียงฮ่าวกล่าวลา จากนั้นจึงให้ตู้เจวียนและสี่เชว่พาเขากลับไปที่ห้อง
"ตู้เจวียน สี่เชว่ พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก"
"ค่ะ นายน้อย"
เจียงฮ่าวนั่งทบทวนคำพูดของหลิวพาน
"การฝึกฝนวิทยายุทธ์จะขาดรากฐานและความเข้าใจไม่ได้ แต่ความเข้าใจนั้นก็มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ ในขณะที่รากฐานนั้นแตกต่างออกไป ซึ่งข้อกำหนดแรกของการฝึกฝนวิทยายุทธ์คือรากฐาน หากมีรากฐานที่แข็งแกร่งก็ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะและจะได้รับความสนใจอย่างแน่นอน"
"ดังนั้น ในช่วงอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้จนถึงอายุหกขวบ ข้าจะไม่สนใจด้านจิตวิญญาณชั่วคราว แต่จะเน้นไปที่การเพิ่มรากฐานเป็นหลักและเพิ่มความเข้าใจเป็นรองเพื่อพยายามพัฒนาทั้งสองด้านนี้ให้ได้มากที่สุด"
"รากฐานจะเป็นตัวกำหนดขีดจำกัดของจอมยุทธ์ ดังนั้นข้าจะใช้เวลาสิบเดือนของแต่ละปีในการทำสมาธิกับดวงอาทิตย์เพื่อเพิ่มรากฐาน ส่วนเวลาที่เหลือสองเดือนจะทำสมาธิกับพระจันทร์เพื่อเพิ่มความเข้าใจ"
เจียงฮ่าววางแผนการเพิ่มพรสวรรค์ของเขาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
แต่แค่นี้ยังไม่พอ!
เขาจะต้องหาวิธีเข้าสำนักหวงเทียนให้ได้ด้วยเช่นกัน
แม้จะไม่รู้ว่าจะได้สิทธิ์เข้าสำนักหวงเทียนมาได้อย่างไร แต่ประสบการณ์จากชาติที่แล้วได้บอกเขาว่าบางครั้งชื่อเสียงก็สำคัญมาก
เมื่อมีชื่อเสียง ก็จะได้รับความสนใจจากผู้คนรอบข้าง
แม้ว่าเจียงฮ่าวจะยังไม่สามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์ได้ก่อนอายุหกขวบ แต่ก็มีหลายวิธีในการสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง
ซึ่งหนึ่งในวิธีนั้นก็เหมาะกับเจียงฮ่าวมาก
นั่นก็คือ "การลอกเลียนแบบ"
แม้ว่าโลกนี้จะถูกปกครองด้วยวิทยายุทธ์ แต่บทกวีและกาพย์กลอนก็ยังมีอิทธิพลอยู่
เจียงฮ่าวนั้นเคยใช้ชีวิตอยู่ในยุคแห่งการสื่อสารที่ไร้พรหมแดนมาก่อน
ดังนั้นบทกวีที่มีชื่อเสียงโด่งดังจึงล้วนอยู่ในความทรงจำของเขา
แค่ "คัดลอก" มาเล็กน้อย ก็เพียงพอที่จะทำให้ชื่อเสียงของเขาแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้างได้แล้ว
...
หลังจากนั้น เวลาได้ผ่านไปห้าปีอย่างรวดเร็ว
ในฤดูร้อนอันร้อนระอุ ประตูจวนเจียงกลับมีผู้คนมารวมตัวกันมากมาย
แต่ส่วนใหญ่นั้นเป็นนักปราชญ์และบัณฑิต
นักปราชญ์และบัณฑิตเหล่านี้กำลังยืนรออย่างใจจดใจจ่ออยู่หน้าจวนเจียงภายใต้แสงแดดที่แผดเผา
พ่อค้าต่างถิ่นที่เห็นภาพนี้ต่างก็ประหลาดใจ จึงสอบถามชาวบ้านในท้องที่ว่า "จวนเจียงนี่เป็นสถานที่แบบไหนรึ? ทำไมถึงได้มีบัณฑิตมารวมตัวกันรออยู่หน้าจวนมากมายขนาดนี้ได้?"
ชาวบ้านมองไปที่พ่อค้าต่างถิ่นแล้วตอบอย่างภาคภูมิใจว่า "ท่านเป็นคนต่างถิ่นสินะ? พวกเขากำลังรอผลงานกวีบทล่าสุดของนายน้อยแห่งจวนเจียงอยู่น่ะ"
"บทกวี? นายน้อยแห่งจวนเจียงรึ? เดี๋ยวก่อน! หรือว่าเจ้าหมายถึงเด็กอัจฉริยะแห่งเมืองชาง ที่มีชื่อเสียงว่ารู้หนังสือตั้งแต่อายุหนึ่งขวบและแต่งกลอนได้ตั้งแต่อายุสามขวบจนบทกวีของเขาโด่งดังไปทั่วร้อยเมือง เจียงฮ่าว คนนั้นงั้นรึ?!"
"ใช่แล้วล่ะ ดูเหมือนว่าท่านเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงของนายน้อยเจียงฮ่าวมาด้วยสินะ?"
พ่อค้าต่างถิ่นคนนั้นรู้สึกประหลาดใจมาก
เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของเด็กอัจฉริยะเจียงฮ่าวในเมืองอื่น แต่เขาไม่เคยเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงเพราะมันฟังดูน่าเหลือเชื่อเกินไป
เด็กอายุเพียงไม่กี่ขวบที่สามารถแต่งกลอนได้ ถึงแม้ว่าจะหายากแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีตัวตนอยู่
แต่บทกวีที่ได้รับการยกย่องและสืบทอดต่อๆกันมาทุกบทนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากจริงๆ
"แล้วพวกเราจะสามารถไปขอซื้อบทกวีจากจวนเจียงได้ไหม?"
"บทกวีของนายน้อยเจียงมีราคาหนึ่งร้อยตำลึงทอง! นอกจากนี้ยังต้องแล้วแต่โชคด้วย เพราะในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ไม่มีใครสามารถซื้อบทกวีจากจวนเจียงได้เลย"
"หนึ่งร้อยตำลึงทองเชียวรึ? แต่สำหรับเด็กอัจฉริยะเช่นนี้ก็คุ้มค่าที่จะลองไปเสี่ยงโชคดูสักหน่อยล่ะนะ"
พ่อค้าต่างถิ่นคนนั้นเดินไปทางจวนเจียงทันที
ในขณะเดียวกัน ภายในจวนเจียง
สาวใช้ตู้เจวียนกำลังรายงานเจียงฮ่าวว่า "นายน้อยคะ เมื่อครู่มีพ่อค้าต่างถิ่นยินดีจ่ายสองร้อยตำลึงทองเพื่อขอซื้อบทกวีบทใหม่ของนายน้อยค่ะ"
"ข้าไม่สน"
เจียงฮ่าวผายมือปฏิเสธโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เขานั้นไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน
นอกจากนี้ จวนเจียงเองก็ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินเช่นกัน
เมื่อหลายปีก่อน เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง เจียงฮ่าวถึงกับใช้วิธีการบางอย่างเพื่อเพิ่ม "มูลค่า" บทกวีของตัวเองให้สูงถึงหนึ่งร้อยตำลึงทอง
การที่บทกวีหนึ่งบทมีราคาหนึ่งร้อยตำลึงทองนั้นถือว่าแพงมากๆในยุคนี้
แต่ยิ่งราคาแพงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคนอยากได้มากขึ้นเท่านั้น
"ว่าแต่มีจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งมาที่จวนเจียงบ้างไหม?"
เจียงฮ่าวถาม
"ไม่มีเลยค่ะนายน้อย แต่ช่วงนี้นายท่านได้รับองครักษ์เพิ่มเข้ามาอีกหลายคนค่ะ..."
เจียงฮ่าวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าองครักษ์เหล่านั้นมีฝีมือระดับไหน
ฝีมือของพวกเขาอยู่ในระดับที่สามารถพูดได้ว่าต่ำต้อยอย่างเต็มปาก!
หากเขาต้องการฝึกฝนวิทยายุทธ์ องครักษ์เหล่านั้นคงไม่เหมาะสมที่จะมาสอนเขาอย่างแน่นอน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชื่อเสียงของเด็กอัจฉริยะเจียงฮ่าวได้แพร่กระจายออกไปไกลและเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่น่าเสียดายที่แม้ชื่อเสียงจะโด่งดังเพียงใด ก็ยังไม่สามารถดึงดูดความสนใจของสำนักหวงเทียนได้
ในเมื่อดึงดูดความสนใจของสำนักหวงเทียนไม่ได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงการรับเจียงฮ่าวเข้าสำนักหวงเทียนเลย
เขาเองก็รอมาหลายปีแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีจอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งคนใดที่อยากรับเขาเป็นศิษย์
รากฐาน : 6.8
ความเข้าใจ : 2.5
จิตวิญญาณ : 1.72
ปัจจุบัน เจียงฮ่าวอายุมากกว่าหกขวบแล้ว ซึ่งหลังจากเวลาผ่านไปห้าปีพรสวรรค์ด้านรากฐานของเขาก็เกือบจะถึง 7 แล้ว ส่วนด้านความเข้าใจก็เกิน 2.5 ซึ่งมีเพียงจิตวิญญาณเท่านั้นที่ไม่เพิ่มขึ้น
หากดูจากพรสวรรค์นี้เพียงอย่างเดียว รากฐานของเขาสูงเกือบเจ็ดเท่าของคนธรรมดาไปแล้ว!
ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่งเช่นนี้ หากเริ่มฝึกฝนวิทยายุทธ์ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร?
น่าเสียดายที่เจียงฮ่าวเองก็ไม่รู้ว่ารากฐานที่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาเกือบเจ็ดเท่านั้นจะทำให้เขาฝึกฝนวิทยายุทธ์ได้เร็วแค่ไหน
เพราะเขาต้องคอยทำตามคำเตือนของหลิวพานอย่างเคร่งครัดโดยที่ไม่ฝึกฝนวิทยายุทธ์ก่อนอายุหกขวบ
แต่ตอนนี้เขาก็อายุมากกว่าหกขวบแล้วและสามารถเริ่มฝึกฝนวิทยายุทธ์ได้แล้ว
แต่การฝึกฝนวิทยายุทธ์จะต้องมีคนชี้แนะ ถ้าจะให้ดีที่สุดก็ต้องได้เป็นศิษย์ของอาจารย์ที่มีชื่อเสียง
ช่วงนี้ เจียงฮ่าวก็ได้ขอให้พ่อของเขาช่วยหาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังให้แล้วเช่นกัน
แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เรื่องที่เขาขอพ่อไปนั้นไปถึงไหนแล้ว…
"นายน้อยคะ! นายท่านเรียกให้ท่านไปเข้าพบโดยท่านบอกว่ามีข่าวเรื่องการว่าจ้างอาจารย์จะบอกกับนายน้อยค่ะ!"
ทันใดนั้น สี่เชว่ก็วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ
"มีข่าวเข้ามาแล้วงั้นรึ? ถ้าเช่นนั้นก็รีบไปกันเถอะ!"
เจียงฮ่าวใจร้อนมากและรีบให้สี่เชว่นำทางเขาไปพบเจียงต้าไห่ทันที