บทที่ 111 แค่ขยะชิ้นหนึ่ง
เรือสำเภาทั้งสามลำ ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงจุดเล็กๆ เท่านั้น เพียงไม่นานมันก็ล่องมาใกล้ในทันที
เรือสำเภาลำนี้มีความสูงถึงหลายสิบฉื่อและยาวกว่าร้อยฉื่อ
ทุกครั้งที่ปีกเรือกระพือ ตัวเรือจะเหมือนลูกเกาทัณฑ์ที่หลุดจากสายธนูโผบินทะยานผ่านผิวน้ำ
เรือสำเภาทั้งสามลำ ล้วนมีธงขนาดใหญ่ปักอยู่บนหัวเรือ ปักด้วยคำว่าสำนักหมอกหยก สำนักเมฆาอัสนีและสำนักซวนหยวนตามลำดับ
เรือสำเภาของสำนักเมฆาอัสนี เข้าเทียบท่าเป็นลำแรก
ชายวัยกลางคนผู้สง่างามคนหนึ่งเดินมาที่หัวเรืออย่างแช่มช้า แล้วเหลือบมองผู้คนจำนวนมากบนชายฝั่ง ก่อนกล่าวเสียงดัง
“ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมสำนักเมฆาอัสนี ต้องมีอายุต่ำกว่าสิบหกปี และได้อยู่ในขั้นสุดท้ายของขั้นหลอมกายาแล้ว จงขึ้นเรือลำนี้ทันที!”
เสียงเขามิได้แผดดังนัก แต่กลับเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งและกังวานยิ่ง
ขณะที่เสียงนั้นชะงักขาดหาย ม่านแสงผืนหนึ่งก็ปรากฏที่สะพานขึ้นเรือ
บรรดาหนุ่มสาวที่ต้องการเข้าฝึกฝนกับสำนักเมฆาอัสนี ก็เริ่มเดินผ่านม่านแสงเข้าไปทีละคน
คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนผ่านม่านแสงและขึ้นเรือสำเภาได้สำเร็จ
แต่ก็ยังมีบางคนถูกม่านแสงสกัดกั้นทำให้มิอาจข้ามขึ้นเรือสำเภาไปได้
คนเหล่านี้ที่ไม่อาจผ่านม่านแสงได้นั้นพวกเขาล้วนมีอายุมากกว่าสิบหกปี หรือไม่ก็ระดับพลังยุทธ์ยังไม่ถึงขั้นสุดท้ายของขั้นหลอมกายา ด้วยเงื่อนไขคัดกรองของม่านแสงพวกเขาจึงไม่อาจข้ามผ่านได้
ในเวลานี้ ข้างชายวัยกลางคนผู้สง่างามก็ปรากฏหลายร่างเดินเข้ามายืนเคียง
ดวงตาของหลัวเฉิงหรี่ลงพร้อมด้วยประกายแสงเยือกเย็นในแววตาทันที
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ทางด้านซ้ายของชายวัยกลางคนผู้สง่างามนั้น มิใช่ใครอื่นแต่เป็นซุนซวนหวู่ ศิษย์สิบอันดับแรกของสำนักเมฆาอัสนีฝ่ายนอก!
ซุนซวนหวู่เองก็ดันบังเอิญหันกลับมาแล้วสังเกตเห็นหลัวเฉิง ทันใด มุมปากก็ยกขึ้นยิ้มอย่างเหยียดหยาม
“ศิษย์พี่ซุน มีอะไรงั้นหรือ?”
ศิษย์อีกคนของสำนักเมฆาอัสนีที่ยืนอยู่ข้างๆ สังเกตเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยถามอย่างสงสัย
“ไม่มีอะไรสำคัญ ข้าแค่เห็นขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น”
ซุนซวนหวู่ส่ายศีรษะแล้วถอนสายตาออกไปทันที
คนไร้ค่าที่ปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะนั่น ไม่ควรค่าให้เขาสนใจ ยิ่งไปกว่านี้ คนไร้ค่าเช่นนั้นไม่มีคุณสมบัติมากพอจะมองเขาเสียด้วยซ้ำ!
หลังจากนั้นไม่นานนัก เรือสำเภาอีกสองลำก็เข้าเทียบท่า
“ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมสำนักหมอกหยก ซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบหกปีและทะลวงเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของขั้นหลอมกายาแล้ว ให้รีบขึ้นเรือลำนี้ทันที!”
หญิงสาวผู้งดงามปรากฏตัวบนหัวเรือของเรือสำเภาสำนักหมอกหยก น้ำเสียงของนางใสกระจ่างราวไข่มุกร่วงลงบนจานหยก
“ผู้ที่ตั้งใจจะเข้าร่วมกับสำนักซวนหยวนของเรา จงมาขึ้นเรือลำนี้!”
ชายชราในชุดสีดำ ผมขาวและมีเครา ปรากฏตัวบนหัวเรือของเรือสำเภาสำนักซวนหยวน
ทันใดนั้น ผู้คนนับหมื่นบนท่าเรือก็หลั่งไหลกลายเป็นดั่งกระแสน้ำสามสายแยกย้ายกันขึ้นเรือแต่ละลำ
แน่นอนว่า หลัวเฉิงผ่านม่านแสงและเลือกขึ้นเรือสำเภาของสำนักซวนหยวน
หลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือแล้ว ร่างของชายชราอาภรณ์ดำ ก็ลอยขึ้นไปเหนือห้วงนภากาศ ก่อนแผดเสียงกล่าวดัง
“เรือสำเภาจะออกเดินทางภายในหนึ่งก้านธูป ห้ามส่งเสียงดังหรือทะเลาะวิวาทเป็นการส่วนตัวตลอดช่วงเวลานี้ หากผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่ง ก็จงเตรียมตัวยอมรับต่อผลที่จะตามมา!”
“บนเรือนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้เจ้าอย่างครบครัน พวกเจ้าสามารถพักผ่อนให้เต็มที่เพื่อเตรียมตัวรอการทดสอบเข้าสำนักในวันพรุ่งนี้”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนก็ต่างแยกย้ายไปยังห้องที่อยู่ในเรือสำเภา
ระหว่างนั้นเอง หลัวเฉิงก็รู้สึกถึงแววตาที่จ้องมายังเขาอย่างเยือกเย็น จึงเอียงศีรษะหันกลับไปมอง
ไม่ไกลนัก ฉินหยวนเฟิงและลู่เหยียนก็ยืนอยู่ด้วยกัน โดยมีองค์องค์หญิงฮัวอยู่ข้างๆ
ลู่เหยียนไม่รอช้า รีบเดินเข้ามาแล้วเหยียดยิ้มเย็นชากล่าวว่า “เจ้าหนู ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเลือกเข้าร่วมกับสำนักซวนหยวนเช่นกัน ดูเหมือนว่าข้ากับเจ้าจะถูกสวรรค์ลิขิตเอาไว้แล้ว!”
หลัวเฉิงไม่อยากเสียเวลาโต้วาจาไร้สาระ จึงหันหลังแล้วเดินจากไปในทันที
อย่างไรก็ตาม กดบนเรือระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามวิวาทกัน แต่ถึงแม้จะมิอาจเลี่ยงได้ เขาก็หาได้กลัวไม่
เมื่อเห็นท่าทีของหลัวเฉิง ใบหน้าของลู่เหยียนก็มืดลงทันที เขากำหมัดแน่นแล้วตะคอกต่ำในลำคอ “ไอ้ขยะบัดซบนั่นกล้าเมินข้ารึ! ช่างน่าแค้นใจนัก!”
ฉินหยวนเฟิงเหลือบมองหลัวเฉิงแล้วกล่าวน้ำเสียงสงบ "ไปกันเถอะ ลงไปพักผ่อนก่อนเถอะ"
“ฮึ่ม ปล่อยให้เขาเย่อหยิ่งไปอีกวันหรือสองวัน!”
มีคนเข้าไปในห้องโดยสารสามคน
เมื่อถึงเวลาตามกำหนด เรือสำเภาแต่ละลำก็พุ่งออกสู่แม่น้ำหลัวเอี้ยนอันกว้างใหญ่ทันที เรือสำเภายามนี้โลดแล่นราววิหคกระพือปีก
หลัวเฉิงยืนอยู่บนดาดฟ้า แต่ไม่รู้สึกถึงกระแสลมแม้แต่น้อย ทั้งที่เรือสำเภาแล่นด้วยความเร็วสูงเช่นนี้
ที่หัวเรือ มีม่านแสงสีฟ้าขนาดใหญ่ห่อหุ้มตัวเรือทั้งหมด และต้านทานการกระแทกของกระแสลม
ไม่เช่นนั้น ด้วยความเร็วที่มากปานนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเขตแดนลึกลับ ก็จะถูกลมอัดกระแทกปลิวไปในทันที
“มูลค่าของเรือลำนี้เพียงอย่างเดียว น่าจะมากกว่ารายได้สามตระกูลหลักในเมืองฉีซานรวมกันตลอดทั้งปีเสียอีก”