บทที่ 10 เข้าสู่ป่าเขาเพื่อเข้าใจรูปลักษณ์ของพยัคฆ์
บทที่ 10 เข้าสู่ป่าเขาเพื่อเข้าใจรูปลักษณ์ของพยัคฆ์
ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองชาง มีป่าเขาที่ทอดยาวไม่สิ้นสุดเรียกว่าเขาเฟยอิง นักล่าหลายคนต่างพึ่งพาการเข้าไปล่าสัตว์ในเขาเฟยอิงเพื่อดำรงชีวิตมานับพันปี
จ้าวเฮยถ่าพาเจียงฮ่าวควบม้ามาถึงเขาเฟยอิงแล้วเข้าไปข้างในภูเขา
“ท่านอาจารย์ ในเขาเฟยอิงมีเสือโคร่งอยู่ด้วยงั้นหรือขอรับ?” เจียงฮ่าวถาม ตอนนี้เขารู้ถึงจุดประสงค์ที่จ้าวเฮยถ่าพาเขามาที่นี่แล้ว ถึงแม้ว่าในหัวของเขาจะมีความทรงจำเกี่ยวกับเสือโคร่งอยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นเพียงภาพสั้นๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเจียงฮ่าวยังไม่เคยเห็นเสือโคร่งตัวเป็นๆมาก่อน
“ในภูเขาเฟยอิงมีเสือโคร่งจำนวนมากที่อยู่ในส่วนลึกของป่า ถ้าโชคดพวกเราก็คงจะได้พบกับพวกมันในไม่ช้า” จ้าวเฮยถ่าพูดอย่างสงบ น้ำเสียงของเขาไม่ได้แสดงความกลัวต่อราชาแห่งสัตว์ป่าเลยแม้แต่น้อย
นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ว่าเสือโคร่งจะแข็งแกร่งแค่ไหนมันก็เป็นเพียงสัตว์ป่า จ้าวเฮยถ่าเป็นถึงนักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตพลังแปลงสภาพ ดังนั้นเขาจะไปกลัวสัตว์ป่าธรรมดาได้อย่างไร?
นักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตพลังภายในเมื่อปลดปล่อยพลังภายในออกมาจะมีพลังมหาศาลได้มากถึงหลายพันชั่ง ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงพลังของนักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตพลังแปลงสภาพ
เจียงฮ่าวรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะนี่คือการออกตามหาเสือครั้งแรก ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคาดหวัง
ทั้งสองคนเดินวนอยู่ในป่าเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง
“โฮกก...”
หลังจากนั้น ในที่สุดทั้งสองคนก็พบกับเสือโคร่งตัวหนึ่ง เสือโคร่งตัวนี้ดูสง่างามและแข็งแกร่ง ทุกการย่างก้าวของราวกับว่าจะมีลมที่พัดตามมาด้วย
มีคนกล่าวว่า เมฆมาพร้อมกับมังกร สายลมมาพร้อมกับเสือ ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องโกหก
“เจียงฮ่าว เจ้าจงสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของเสือโคร่งตัวนี้ ข้าจะดูว่าเจ้าจะเข้าใจรูปลักษณ์ของมันได้หรือไม่?” จ้าวเฮยถ่าพูดอยู่ข้างๆ
“รูปลักษณ์ของเสือหรือขอรับ?” เจียงฮ่าวจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของเสือโคร่งอย่างตั้งใจ
ความน่าเกรงขามพร้อมกับดวงตาทั้งสองข้างที่แหลมคมมาก ราวกับว่ามันกำลังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารในป่า
เนื่องจากค่าความเข้าใจของเจียงฮ่าวอยู่ที่ 3.5 ซึ่งแม้ว่าจะไม่ถือว่าชั้นเลิศแต่ก็ถือว่าสูงมากแล้ว ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาจึงสามารถฝึกวิชาหมัดพยัคฆ์ให้ไปถึงระดับเชี่ยวชาญเล็กน้อยได้
แต่ตอนนี้เขายังขาดโอกาสอยู่ซึ่งตอนนี้โอกาสก็กำลังอยู่ตรงหน้าแล้ว
เจียงฮ่าวครุ่นคิด ท่วงท่าบางอย่างในวิชาหมัดพยัคฆ์ดูเหมือนจะค่อยๆซ้อนทับกับเสือโคร่งตรงหน้าและหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
แต่มันก็ยังเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป ซึ่งนั่นก็คือ “จิตสังหาร”
“จิตสังหาร” ของเสือโคร่ง
“ท่านอาจารย์ ข้าอยากเห็นว่าเสือโคร่งออกล่าเหยื่ออย่างไรขอรับ?”
“งั้นรึ?” จ้าวเฮยถ่าพยักหน้า
“ฟิ้ว”
จ้าวเฮยถ่าเริ่มเคลื่อนไหวโดยที่เขาพุ่งเข้าไปหาเสือโคร่ง
เสือโคร่งตัวนั้นตกใจ มันไม่ได้พุ่งเข้าจ้าวเฮยถ่าหาอย่างบุ่มบ่ามแต่กลับถอยหลังอย่างรวดเร็วและอ้อมไปด้านข้างของจ้าวเฮยถ่า ก่อนที่จะพุ่งเข้าใส่จากด้านข้างอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าเสือโคร่งจะเป็นนักล่าชั้นยอด แต่มันก็ระมัดระวังตัวมากและเชี่ยวชาญในการโจมตีแบบลอบเร้น
ในวินาทีที่เสือโคร่งพุ่งเข้ามา เจียงฮ่าวจึงนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ใช่แล้ว นี่แหละ!”
เจียงฮ่าวอดไม่ได้ที่จะเริ่มแสดงท่วงท่าของวิชาหมัดพยัคฆ์ซึ่งแต่ละท่วงท่าก็ดูเหมือนเสือโคร่งจริงๆ
เขาเข้าใจรูปลักษณ์ของเสือโคร่งได้สำเร็จแล้ว!
ในขณะเดียวกัน วิชาหมัดพยัคฆ์ของเจียงฮ่าวก็ทะลุจากระดับเชี่ยวชาญไปสู่ระดับเชี่ยวชาญเล็กน้อยได้สำเร็จ ซึ่งด้วยการเข้าใจถึงรูปลักษณ์ของเสือโคร่งมันจึงทำให้วิชาหมัดพยัคฆ์เลื่อนระดับได้ในทันที
อย่างไรก็ตาม เสือโคร่งตัวนั้นยังคงพุ่งเข้าใส่จ้าวเฮยถ่าราวกับว่ามันกำลังจะฆ่าเขาให้ได้
จ้าวเฮยถ่าหันกลับมาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาจึงเริ่มใช้วิชาหมัดพยัคฆ์
“บู้มมม”
เมื่อหมัดของจ้าวเฮยถ่ากระแทกเข้ากับอุ้งเท้าของเสือโคร่ง สิ่งที่เกิดขึ้นคือเสือโคร่งตัวนั้นกระเด็นไปด้านหลังอย่างรุนแรง
สาเหตุเป็นเพราะความแตกต่างของพลังที่มากเกินไป ซึ่งจ้าวเฮยถ่าก็ยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดแต่ใช้พลังไปเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเพียงแค่หมัดเดียว เสือโคร่งตัวนั้นก็จะถูกจ้าวเฮยถ่าฆ่าตายได้ง่ายๆ
“เลื่อนเป็นระดับเชี่ยวชาญเล็กน้อยแล้วงั้นรึ?” จ้าวเฮยถ่าดีใจมาก ไม่เสียแรงที่เขาพาเจียงฮ่าวมาที่เขาเฟยอิงเพื่อตามหาเสือโคร่งด้วยตัวเอง
เมื่อวิชาหมัดพยัคฆ์ไปถึงระดับเชี่ยวชาญเล็กน้อย พลังของหมัดก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วนซึ่งถือว่าน่ากลัวมาก
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ให้ความช่วยเหลือขอรับ!” เจียงฮ่าวยิ้มแล้วพูด
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเจ้าทั้งสิ้น หลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นระดับเชี่ยวชาญขั้นสูงหรือขั้นสมบูรณ์แบบ ข้าก็ไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้อีกแล้ว” จ้าวเฮยถ่ายืนกอดอกด้วยความพึงพอใจ
เจียงฮ่าวมองไปที่เสือโคร่งและพบว่ามันกำลังส่งเสียงกรนต่ำๆแต่ไม่กล้าเคลื่อนไหว
เจียงฮ่าวจึงนึกอะไรขึ้นมาได้ทันที “ท่านอาจารย์ ข้านำเสือโคร่งตัวนี้กลับบ้านได้ไหม? ถ้าหากได้สังเกตเสือโคร่งทุกวัน บางทีข้าอาจจะฝึกวิชาหมัดพยัคฆ์ให้ไปถึงระดับเชี่ยวชาญขั้นสูงหรือขั้นสมบูรณ์แบบได้เร็วขึ้นได้นะขอรับ”
เมื่อจ้าวเฮยถ่าได้ยินดังนั้น เขาจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ที่จริงแล้วข้าเองก็เคยทำแบบนี้มาก่อน ข้าเคยจับเสือโคร่งมาตัวหนึ่งแล้วเฝ้าสังเกตทุกวัน แต่หลังจากที่เข้าสู่ระดับเชี่ยวชาญเล็กน้อยแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรอีก”
“แต่ถ้าหากเจ้าอยากพาเสือโคร่งกลับบ้านเจ้าก็ต้องควบคุมมันด้วยตัวเจ้าเอง แม้เสือโคร่งนั้นยากที่จะฝึกให้เชื่องได้ แต่เสือโคร่งตัวนี้ไม่ใช่สัตว์ป่าธรรมดา เพราะดูเหมือนว่าจะมีสายเลือดของปีศาจเสืออยู่บ้างจากการใช้สติปัญญาของมัน หากเจ้าอยากควบคุมมันให้ได้ เจ้าก็ต้องทำให้มันศิโรราบต่อเจ้าด้วยตัวเจ้าเอง”
“ปีศาจเสือหรือขอรับ?” เจียงฮ่าวตกใจ โลกนี้ไม่เพียงแต่มีนักศิลปะการต่อสู้แต่ยังมีปีศาจอยู่อีกด้วยงั้รหรือ?
“เจียงฮ่าว ในเมื่อเจ้ากำลังจะเข้าสู่สำนักหวงเทียนแล้ว ข้าจะบอกเจ้าให้ได้รู้เอาไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งนั้นมีวิญญาณ แมลงและสัตว์ร้ายต่างๆอาจกลายเป็นปีศาจได้ด้วยโอกาสและเงื่อนไขบางอย่าง และเมื่อกลายเป็นปีศาจแล้ว สติปัญญาของพวกมันก็จะไม่ต่างจากมนุษย์ ซึ่วพวกทำได้แม้กระทั่งฝึกฝนจนสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้”
“แม้แต่ปีศาจที่อ่อนแอที่สุด ก็ยังเทียบเท่ากับนักศิลปะการต่อสู้ ‘ขอบเขตวิถี’ ด้วยซ้ำ”
“ในสำนักหวงเทียน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ชั้นในหรือศิษย์เอก เป้าหมายสูงสุดของพวกเขาก็คือ ‘ขอบเขตวิถี’”
“หากเจ้าฝึกฝนวิทยายุทธแต่ไม่สามารถเข้าสู้ขอบเขตเวิถีได้ สุดท้ายมันก็ว่างเปล่า หลังจากที่เจ้าได้เข้าสำนักหวงเทียนแล้ว เป้าหมายสูงสุดก็คือการเข้าสู่ขอบเขตวิถีเท่านั้น! ในอดีต บรรพบุรุษของข้าก็เพราะมีผู้แข็งแกร่งที่เข้าสู่ขอบเขตวิถีได้ จึงสามารถได้เป็นหนึ่งในผู้มีอำนาจของสำนักหวงเทียน”
ดวงตาของเจียงฮ่าวเริ่มเป็นประกาย ขอบเขตวิถีงั้นหรือ?
ที่แท้เป้าหมายของนักศิลปะการต่อสู้คือการเข้าสู่ขอบเขตวิถี
แต่ปีศาจนั้นเทียบเท่ากับนักศิลปะการต่อสู้ที่อยู่ในขอบเขตวิถีเชียวหรือ?
“ตอนนี้เจ้ายังเป็นแค่นักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตพลังภายใน ยังอยู่ห่างไกลจากการเข้าสู่ขอบเขตวิถีมากนัก ดังนั้นเจ้าจงรู้เอาไว้เป็นความรู้พื้นฐานก็พอแล้ว ส่วนที่เหลือเจ้าค่อยไปศึกษาเองหลังจากที่ได้เข้าสำนักหวงเทียนไปแล้ว”
“เสือโคร่งตัวนี้มีสายเลือดปีศาจเสืออยู่ ดังนั้นมันจึงมีสติปัญญาอยู่บ้าง ส่วนเจ้าจะกำราบมันได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง”
จ้าวเฮยถ่าพูดอย่างชัดเจนว่าเสือโคร่งตัวนี้มีสติปัญญาและไม่ใช่สัตว์ป่าธรรมดา แต่การจะกำราบเสือโคร่งตัวนี้ได้เขาจะให้เจียงฮ่าวคิดหาวิธีเอาเอง
แต่เจียงฮ่าวมีอายุเพียงเจ็ดขวบ แล้วเด็กอายุเจ็ดขวบจะกำราบเสือที่ดุร้ายตัวนี้ได้อย่างไร?
“ขอรับท่านอาจารย์ ศิษย์จะลองดู”
เจียงฮ่าวสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วจ้องมองไปที่เสือโคร่ง ถึงแม้ว่าเขาจะอายุเพียงเจ็ดขวบแต่ก็เป็นถึงนักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตพลังภายในแล้ว
ไม่ว่าจะมีพลังที่สูงส่งหรือวิชาต่อสู้แข็งแกร่งแค่ไหน ก็จะต้องผ่านการต่อสู้ที่แท้จริงก่อนถึงจะเรียกตัวเองว่านักศิลปะการต่อสู้ได้
เจียงฮ่าวเองก็พอจะเข้าใจความหมายของสิ่งที่อาจารย์พูด เพราะนี่คือการให้เขาได้ใช้ฝีมือต่อสู้จริง!
เมื่อเห็นเจียงฮ่าวก้าวออกไปทีละก้าว จ้าวเฮยถ่าจึงพยักหน้าเล็กน้อย ความตั้งใจของเขาก็คือให้เจียงฮ่าวได้ต่อสู้จริง เพราะต่อให้จะเกิดอะไรขึ้น เขาก็พร้อมที่จะเข้าไปช่วยเจียงฮ่าวได้ทุกเมื่อ
“ถึงแม้ว่าเสือโคร่งตัวนี้จะมีสายเลือดปีศาจเสือ แต่สุดท้ายมันก็เป็นแค่สัตว์ป่าที่มีสติปัญญาเล็กน้อย ถึงจะเป็นราชาแห่งสัตว์ป่า แต่ก็ยังสู้กับนักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตพลังภายในไม่ได้ แม้แต่นักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตพลังภายในทั่วไปก็ยังสามารถฆ่าเสือโคร่งตัวนี้ได้ด้วยซ้ำ”
จ้าวเฮยถ่ารู้ว่าพลังภายในที่เจียงฮ่าวสร้างขึ้นนั้นมีพลังเพิ่มขึ้นถึงหนึ่งเท่าตัวซึ่งเหนือกว่านักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตพลังภายในทั่วไป ดังนั้นสิ่งที่เจียงฮ่าวยังขาดอยู่ก็คือประสบการณ์การต่อสู้จริง
พลังฝีมือนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การต่อสู้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน เพราะการต่อสู้ต้องใช้เทคนิค ความกล้าหาญ และประสบการณ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เจียงฮ่าวยังขาดอยู่
การจะเติมเต็มสามสิ่งนั้นให้ได้ในครั้งเดียวมันเป็นไปไม่ได้ แต่การให้เจียงฮ่าวได้สัมผัสประสบการณ์การต่อสู้จริงนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก
เจียงฮ่าวก้าวเข้าใกล้เสือโคร่งทีละก้าว ถึงแม้ว่าเสือโคร่งตัวนี้จะมีสติปัญญาบ้างแต่ก็เทียบไม่ได้กับมนุษย์ เมื่อมันได้เห็นร่างเล็กๆของเจียงฮ่าวเข้ามาใกล้ มันจึงดูเหมือนจะโกรธขึ้นมาและส่งเสียงคำรามเบาๆ
เจียงฮ่าวไม่กล้าประมาท เขากำลังสังเกตเสือโคร่งและเมื่อได้เห็นท่าทางของเสือโคร่งมันก็ยิ่งทำให้เจียงฮ่าวเข้าใจ “รูปลักษณ์ของเสือ” ได้มากยิ่งขึ้น
“ฟิ้ว”
เสือโคร่งกระโจนขึ้นสู่อากาศและพุ่งเข้าใส่เจียงฮ่าวอย่างรวดเร็ว
ในสายตาของเจียงฮ่าว เสือโคร่งขนาดใหญ่ตัวนี้กำลังปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัวราวกับพายุเฮที่พัดถาโถมเข้ามา ซึ่งในพริบตาเดียวมันก็พุ่งมาถึงตรงหน้าเขาแล้ว
ในใจของเจียงฮ่าวอดไม่ได้ที่จะเกิดความกลัวเล็กน้อย แต่เนื่องจากเจียงฮ่าวก็ยังเป็นนักศิลปะการต่อสู้ขอบเขตพลังภายใน ยิ่งไปกว่านั้นเขาเพิ่งจะเข้าใจ “รูปลักษณ์ของเสือ” และวิชาหมัดพยัคฆ์ของเขาก็ไปถึงระดับเชี่ยวชาญเล็กน้อยแล้ว
ดังนั้น เมื่อได้เห็นเสือโคร่งพุ่งเข้ามา ร่างเล็กๆของเจียงฮ่าวจึงหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็เริ่มทำท่าทางเหมือนกับเสือโคร่งและต่อยไปที่เสือโคร่งโดยตรง
“บู้มม”
เมื่อหมัดนี้กระแทกเข้าที่ด้านข้างของเสือโคร่ง เสือโคร่งที่กำลังลอยอยู่ในอากาศได้กระเด็นตกลงมาที่พื้นอย่างรุนแรง
เจียงฮ่าวไม่รอช้า เขาใช้ท่า “พยัคฆ์กระโจน” ในวิชาหมัดพยัคฆ์กระโดดเข้าไปหาแล้วต่อยลงบนหัวเสือโคร่งทันที
หมัดนี้ได้ปลดปล่อยขอบเขตพลังภายในออกมาพร้อมกับพลังเสริมที่น่ากลัวเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวกระแทกเข้าที่หัวของเสือโคร่งอย่างรุนแรง
ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มดังขึ้น เสือโคร่งตัวนั้นเริ่มรู้สึกว่ามันมึนหัวและร่างกายอันใหญ่โตของมันก็ล้มลงกับพื้น
“ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง”
เจียงฮ่าวยังคงโจมตีอย่างต่อเนื่อง หมัดของเขาซัดเข้าใส่ร่างของเสือโคร่งราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ
“พอได้แล้ว ถ้าเจ้ายังทำแบบนั้นต่อไป เสือโคร่งตัวนี้จะต้องถูกเจ้าฆ่าตายเป็นแน่” เมื่อจ้าวเฮยถ่าเห็นดังนั้นเขาก็รีบเตือนเจียงฮ่าวทันที
เมื่อเจียงฮ่าวได้ยินเช่นนั้นจึงหยุดลง เมื่อมองดูเสือโคร่งตรงหน้า ในตอนนี้มันแทบจะขยับไม่ได้แล้ว แม้กระทั่งในปากของมันก็ยังคง “ร้องครวญคราง” อยู่ตลอดเวลา
“เจ้าอยากจะตามข้ากลับไปหรือไม่?” เจียงฮ่าวถามเสือโคร่ง
เสือโคร่งตัวนี้มีสติปัญญาอยู่บ้าง ดังนั้นมันจึงสามารถเข้าใจคำพูดของเจียงฮ่าวได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นเสือโคร่งจึงพยักหน้า และพยายามพยุงร่างกายของมันให้ลุกขึ้นก่อนจะก้มหัวลงคุกเข่าต่อหน้าเจียงฮ่าว แล้วใช้ลิ้นเลียเท้าของเจียงฮ่าวช้าๆ
นี่เป็นการแสดงออกว่ายอมแพ้ของสัตว์ป่า
เมื่อเห็นเช่นนี้ ใบหน้าของเจียงฮ่าวจึงปรากฎรอยยิ้มขึ้น การที่เสือโคร่งยอมแพ้เช่นนี้มันจึงทำให้เขาได้เสือโคร่งมาเป็นสัตว์เลี้ยงแล้วหนึ่งตัว
อันที่จริงเจียงฮ่าวแค่ออกแรงเบาๆเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าว่า”ต้าหู“ก็แล้วกัน”
หลังจากนั้น ต้าหูก็เอาหัวถูไถไปมาบนใบหน้าของเจียงฮ่าวอย่างสนิทสนม เจียงฮ่าวที่มองร่างกายอันใหญ่โตของต้าหูจึงรู้สึกอยากจะทดลองอะไรบางอย่าง
ดังนั้น เขาจึงกระโดดขึ้นไปบนหลังของต้าหูและขี่มันทันที
เจียงฮ่าวในตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนหลังของต้าหู เขารู้สึกตื่นเต้นมากเพราะคงไม่มีเด็กคนไหนที่ไม่ดีใจที่ได้ขี่หลังเสือ
“เด็กหนอเด็ก…” เมื่อเห็นเจียงฮ่าวกำลังเล่นบนหลังเสือโค่งอย่างสนุกสนาน จ้าวเฮยถ่าจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย
จากนั้น จ้าวเฮยถ่าก็ส่ายหัวแล้วขี่ม้าส่วนเจียงฮ่าวก็ขี่ต้าหูและค่อยๆเดินทางกลับไปยังเมืองชาง