ตอนที่ 24 ฉีเหิงปะทะมารเฮยเย่
ตอนที่ 24 ฉีเหิงปะทะมารเฮยเย่
“ซ่อมกำแพงต่อไป ข้าไม่ได้หมายถึงเจ้า” ฉีเหิงจ้องมองไปที่ศิษย์คนนั้น แล้วพูดออกมาดังๆ
“เอ่อ…ขอรับ” ศิษย์พยักหน้าอย่างระมัดระวังด้วยสีหน้าหวาดกลัว และเริ่มมุ่งความสนใจไปที่การซ่อมแซมกำแพงตรงหน้าที่เสียหาย
ดูเหมือนว่ามารเฮยเย่จะไม่ได้ยินคำพูดขอ ฉีเหิงเลย เขายังคงต้องการเข้าไปในห้องลับอย่างเย่อหยิ่ง และดูไร้ความยำเกรง
“เจ้าหนู เจ้าควรออกไปจากที่นี่ก่อนที่ข้าจะโกรธ” ฉีเหิงไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกโกรธมากเมื่อเห็นชายคนนี้
อาจเป็นเพราะชายคนนี้แกล้งทำเป็นเก่ง หรืออาจเป็นเพราะในฐานะหมอ เขาไม่สามารถรักษาอาการป่วยทางจิตได้ เขาจึงโกรธเล็กน้อย
“ตาเฒ่า เมื่อวานเจ้าไม่ได้บอกว่าต้องการสั่งสอนข้างั้นเหรอ? วันนี้ข้ามาเยือนถึงที่นี่แล้ว เจ้ากล้าลงมือหรือไม่?” มารเฮยเย่ไพล่มือไว้ที่ด้านหลัง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดอย่างเย่อหยิ่ง
ท่าทางของเขา การท้าทายในคำพูดนั้น ชัดเจนถึงขีดสุด
“ฮึ่ม ข้าแค่กลัวว่าถ้าตบเจ้าจนตาย ผู้นำตระกูลจะตำหนิข้าเอา” ฉีเหิงคิดว่าชายตรงหน้ามีอาการป่วยทางจิตอย่างแน่นอน และเขาไม่ต้องการทะเลาะกับคนป่วย ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอีกฝ่ายจะไสหัวไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
“ฮ่าๆๆ เจ้ากลัวเหรอ?” มารเฮยเย่ยิ้มเยาะ และเขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส
ใครก็ตามที่ถูกเยาะเย้ยเช่นนี้ไม่มีทางทนได้ แม้ว่าฉีเหิงจะเป็นคนใจเย็น แต่เขาไม่สามารถยอมรับความอัปยศอดสู และปล่อยให้อีกฝ่ายเหยียบหน้าเขาได้
“เจ้าเด็กสารเลว ดูเหมือนข้าจะต้องตบสั่งสอนเจ้าซะหน่อย!” ฉีเหิงตะคอกอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยความแข็งแกร่งที่เทียบเท่าผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำ และฟาดฝ่ามือไปหามารเฮยเย่
เด็กคนนี้ดูเหมือนอยู่ในขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงเท่านั้น ฐานพลังยุทธ์นี้อ่อนแออย่างน่าสมเพช ฝ่ามือนี้ของเขาจะทำให้อีกฝ่ายต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน
แต่มารเฮยเย่ไม่ได้หลบ แต่มีการดูถูกเหยียดหยามในดวงตาของเขา เขาเลือกที่จะต้านทานการโจมตีด้วยร่างกาย โดยไม่มีเจตนาที่จะหลบเลี่ยงแม้แต่น้อย
ปัง!
ฝ่ามือของฉีเหิงปะทะเข้ากับร่างของมารเฮยเย่อย่างรุนแรงที่หน้าท้องส่วนล่าง
แต่คาดไม่ถึงว่า มารเฮยเย่จะยังคงยืนอยู่ที่นั่นอย่างสงบ ราวกับว่าการโจมตีเมื่อกี้ไม่ต่างอะไรไปกับการจั๊กจี้ และไม่สามารถก่อให้เกิดอันตรายใดๆ กับตัวเขาได้เลย
“หืม?” เมื่อฉีเหิงเห็นสิ่งนี้ คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย และแววตาของเขาดูประหลาดใจ
ชายคนนี้มีร่างกายที่แข็งแกร่งมาก!
“ตาเฒ่า เจ้ามีแรงเพียงเท่านี้เหรอ เจ้าไม่ได้กินข้าวมาหรือยังไงกัน?” มารเฮยเย่แสร้งทำเป็นตบฝุ่นบนหน้าอกของตน แล้วพูดท้าทาย
ใบหน้าของฉีเหิงมืดมน เดิมทีเขาต้องการให้ชายคนนี้ได้รับบทเรียน ท้ายที่สุดแล้ว อีกฝ่ายถือเป็นศิษย์ของตระกูลลู่ ในฐานะผู้อาวุโสของตระกูล เขาต้องสั่งสอนศิษย์ให้เข้าที่เข้าทาง
จากนั้น ฉีเหิงก็ระเบิดด้วยความแข็งแกร่งของขอบเขตวิญญาณแรกเริ่มขั้นกลาง เขาชี้นิ้วออกไป ดาบปราณก็บินออกมาจากปลายนิ้วของเขา และมุ่งตรงไปยังมารเฮยเย่!
ด้วยวิชาดาบของฉีเหิง แม้ว่าเขาจะแสดงให้เห็นเพียงความแข็งแกร่งของขอบเขตวิญญาณแรกเริ่มขั้นกลาง แต่ดาบเล่มนี้ก็สามารถต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญวิญญาณแรกเริ่มขั้นสูงสุดได้
“หึ ข้าเข้าใจดีว่าคนหนุ่มสาวมักจะเย่อหยิ่ง แต่เจ้าต้องรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า!” ฉีเหิงพูดด้วยรอยยิ้ม เมื่อการโจมตีกำลังจะไปถึงตัวมารเฮยเย่ เขาก็สลายดาบปราณ
ด้วยพลังที่เขาเพิ่งปลดปล่อยออกมา เด็กคนนี้จะต้องตกใจกลัว และไม่กล้าทำเรื่องบ้าๆ ต่อหน้าเขาอีก
"..." มุมปากของมารเฮยเย่กระตุกเล็กน้อย และเขาก็รู้สึกพูดไม่ออกในใจ
“หรือในหัวของตาเฒ่าคนนี้จะมีอะไรผิดปกติ?” มารเฮยเย่พึมพำกับตัวเอง
เสียงของเขาไม่ได้เบาเลย ดังนั้นฉีเหิงจึงได้ยินอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้ใบหน้าของเขาดูน่าเกลียดยิ่งขึ้น
“นี่คือห้องโถงบรรพบุรุษ ดังนั้น จึงไม่เหมาะสำหรับการต่อสู้ ออกไปสู้กันข้างนอก” ฉีเหิงตะคอกอย่างเย็นชา เดินออกจากห้องลับ มุ่งหน้าไปยังลานด้านนอก
มารเฮยเย่พยักหน้า เขารู้สึกว่าคำพูดของฉีเหิงนั้นสมเหตุสมผล ดังนั้นเขาจึงเดินตามไป
ศิษย์ที่กำลังซ่อมแซมกำแพงก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันของทั้งสอง เขามองผ่านกำแพงที่มีรู และมองออกไปข้างนอกอย่างระมัดระวัง
“ศิษย์พี่คนนั้นกับผู้อาวุโสฉีมีความแค้นใจอะไรกันหรือเปล่า? ทำไมพวกเขาถึงต้องทะเลาะกัน? ข้าควรจะไปรายงานผู้นำตระกูลตอนนี้เลยดีไหม?” ศิษย์คนนั้นสับสนมาก ในขณะนั้น เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรดี ดังนั้นเขาจึงทำได้แต่นิ่งเฉยมองดูเหตุการณ์ที่อยู่ไม่ไกล
มารเฮยเย่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขารู้สึกว่าวันนี้เขาเสียเวลามากเกินไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงก้าวไปข้างหน้าสองก้าว
“ข้าจะต่อให้เจ้าสามกระบวนท่า ข้าจะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่ารังแกคนแก่” มารเฮยเย่มองฉีเหิงอย่างเย็นชา แล้วพูดออกมาดังๆ
ฉีเหิงโกรธจนหน้าแดงก่ำ เขาไม่คิดจะพูดเรื่องไร้สาระกับอีกฝ่ายอีกต่อไป ดาบปราณพุ่งทะยานออกมาจากร่างกายของเขา และมุ่งตรงไปที่มารเฮยเย่
ชายคนนี้ยั่วยุเขาซ้ำแล้วซ้ำแล้ว อีกฝ่ายคิดว่าเขาเป็นลูกพลับนิ่มจริงๆ งั้นเหรอ?
ดาบปราณตัดผ่านท้องฟ้า ส่องแสงสว่างเจิดจ้า
เมื่อดาบปราณอันน่าอัศจรรย์นี้อยู่ห่างจากมารเฮยเย่สามฟุต มันก็หายไปอย่างน่าประหลาดใจ ราวกับว่ามันถูกกลืนหายไปในยามค่ำคืน โดยไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวายแม้แต่น้อย
“เด็กคนนี้มีกลอุบายแปลกๆ! ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขากล้าท้าทายข้า!” หลังจากเห็นสิ่งนี้ ฉีเหิงก็หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
จากนั้นดาบยาวก็ปรากฏขึ้นในมือของฉีเหิง เปล่งแสงเย็น ส่อประกายคมกริบ
“ขอข้าดูหน่อยสิว่าเจ้ามีความสามารถมากแค่ไหนกัน?” ฉีเหิงก้าวไปข้างหน้า และทะยานออกไป ดาบยาวในมือของเขาเปล่งประกายด้วยแสงเย็น และเขาก็ฟันตรงไปที่มารเฮยเย่
มารเฮยเย่เหยียดสองนิ้วออกอย่างใจเย็น และคว้าจับดาบยาวของฉีเหิงได้อย่างง่ายดาย
“เจตจำนงดาบนั้นดี แต่ความแข็งแกร่งนั้นอ่อนแอเกินไป” มารเฮยเย่ส่ายหัวช้าๆ เขาดูลึกลับ แต่สิ่งที่เขาพูดทำให้ฉีเหิงโกรธมาก
ฉีเหิงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาดาบกลับมา แต่สองนิ้วของมารเฮยเย่นั้นแข็งราวกับเสายักษ์สองต้น ไม่ว่าฉีเหิงจะพยายามอย่างหนักมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถดึงดาบออกมาได้เลย
“เป็นไปได้ยังไง!” ดวงตาของฉีเหิงเบิกกว้างเล็กน้อย ความแข็งแกร่งของชายคนนี้จะน่าสะพรึงกลัวถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?
แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญหลอมวิญญาณก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจากดาบของเขา!
แต่ตอนนี้ เขากลับไม่ได้ทำอะไรชายหนุ่มตรงหน้าได้ อีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งมากแค่ไหนกัน? เป็นไปได้ไหมว่าได้ไปถึงขอบเขตศักดิ์สิทธิ์แล้ว?
“กระบวนท่าสุดท้าย” มารเฮยเย่ถอนนิ้วออก ไพล่มือไว้ที่ด้านหลังอีกครั้ง แล้วพูดอย่างใจเย็น
ฉีเหิงรู้ว่าถ้าตนไม่ใช่พลังเต็มที่ เขาคงไม่สามารถทำอะไรกับชายคนนี้ ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ หลับตาลง และพูดขึ้นว่า
“หมื่นดาบหวนคืน!”