ตอนที่ 23 มารเฮยเย่ผู้หยิ่งยโส
ตอนที่ 23 มารเฮยเย่ผู้หยิ่งยโส
จู่ๆ ร่างที่น่าสังเวชก็ปรากฏตัวขึ้นห่างจากที่ตั้งของสำนักดาราไม่ไหล คนผู้นี้คือ ผู้อาวุโสเจ็ดที่อี้ซิงส่งไปยังตระกูลลู่เพื่อทำภารกิจสำคัญ
ในขณะนี้ท่าทีของเขาดูเศร้าหมองมาก ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่ง และออร่าของเขาก็ผันผวนอย่างรุนแรง
“เจ้าสำนัก ท่านอยู่ที่ไหนกัน ข้ากลับมาแล้ว!” ผู้อาวุโสเจ็ดรีบตรงมาหาผู้คุมกฎ แล้วพูดอย่างเร่งรีบ
ความแข็งแกร่งของตระกูลลู่นั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เขาจำเป็นต้องแจ้งข่าวนี้ให้เจ้าสำนักทราบโดยเร็วที่สุด
“เจ้าสำนักตายแล้ว” ผู้คุมกฎถอนหายใจเบาๆ แล้วมองดูผู้อาวุโสเจ็ดด้วยความสงสาร
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ผู้อาวุโสเจ็ดตกตะลึงเล็กน้อย เขายังคงสับสนอยู่
“มีคนกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในสำนักเรา และสังหารเจ้าสำนัก” ผู้คุมกฎจ้องไปที่ผู้อาวุโสเจ็ดอย่างไม่ละสายตา แล้วพูดขึ้นช้าๆ
"เจ้ากำลังพูดเรื่องบ้าอะไรกัน??!!!"
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสเจ็ดก็เบิกตากว้าง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ และเขายังสงสัยว่าหูของเขามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า
“ข้ารู้ว่ามันยากสำหรับเจ้าที่จะยอมรับข่าวนี้ ท้ายที่สุดแล้ว เจ้าได้รับการสนับสนุนจากเจ้าสำนัก แต่ตอนนี้เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะยกโทษให้ข้า และยอมรับการเปลี่ยนแปลง” ผู้คุมกฎดูเหมือนจะแก่ขึ้นกว่าเดิมหลายปี เขาก็ตบไหล่ของผู้อาวุโสเจ็ดแล้วหันหลังกลับ และจากไป
ผู้อาวุโสเจ็ดดูเหมือนจะตกตะลึงอยู่ตรงนั้นอย่างสมบูรณ์ เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างว่างเปล่า ไม่เคลื่อนไหวเหมือนรูปปั้นประติมากรรม
…
ในอีกด้านหนึ่ง ทุกคนในตระกูลลู่ไม่ได้กลับไปที่ตระกูลในทันที แต่พวกเขาหาที่ซ่อนตัวเพื่อพักฟื้น
ในขณะนี้ จู่ๆ ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็หน้าเปลี่ยนสี จากนั้นก็อ้าปาก และถ่มน้ำลายออกมาเป็นเลือดจำนวนมาก ใบหน้าของเขาซีดลงมาก และพลังชีวิตในร่างกายของเขาก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
“น้องหก!” เมื่อผู้อาวุโสหนึ่งเห็นสิ่งนี้ เขาก็รีบไปช่วยผู้อาวุโสคนนั้น
“พี่ใหญ่ ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของข้า ข้าแค่ต้องการนอนสักพักหนึ่ง” ชายชรายิ้มให้ผู้อาวุโสใหญ่ จากนั้นเขาก็หลับตาลงพร้อมกับชีวิตที่หลุดลอยไป
เขาเหมือนตะเกียงหมดน้ำมันแล้ว หากเขาไม่กลัวว่าการตายของตนในสำนักดาราจะนำปัญหามาสู่ตระกูลลู่ เขาก็คงจะไม่สามารถอดทนได้ถึงตอนนี้
ตอนนี้พวกเขาหนีออกจากสำนักดาราได้แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆ อีก และไม่สามารถระงับอาการบาดเจ็บในร่างกายของตนได้อีกต่อไป ดังนั้น เขาจึงเสียชีวิตลงที่นี่
นอกจากผู้อาวุโสหกแล้ว ศิษย์ระดับแก่นทองคำอีกสองคนก็หลับใหลอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลด้วย
ตอนแกร ทุกคนยังคงตื่นเต้นมาก ท้ายที่สุด พวกเขาเพิ่งสร้างความยุ่งยากครั้งใหญ่ให้กับสำนักดารา และยังทำให้เจ้าสำนักของอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บจนเสียชีวิต
แต่ความสุขนี้ได้หายไปจนหมด เพราะราคาที่พวกเขาจ่ายในครั้งนี้สูงเกินไป
ผู้อาวุโสขอบเขตวิญญาณแรกเริ่มเสียชีวิตในการต่อสู้ ศิษย์อัจฉริยะที่เป็นต้นกล้าที่ดีสองคนได้เสียชีวิต ส่วนคนอื่นๆ ก็เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ และเต็มไปด้วยบาดแผล โดยเฉพาะผู้อาวุโสสาม เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่าใคร และภายในระยะเวลาอันสั้น ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะลดทอนลงมาก
หลังจากที่ทุกคนพักฟื้นสักระยะหนึ่ง พวกเขาก็นำศพของหลายๆ คนแล้วรีบตรงกลับไปที่ตระกูลลู่ โดยไม่หยุดพัก
ระหว่างทาง บรรยากาศค่อนข้างเงียบ แม้แต่ผู้อาวุโสสองก็แทบไม่ได้พูดอะไรเลย และทั้งร่างของเขาก็จมอยู่กับความเศร้าโศก
เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนก็กลับมาถึงตระกูลลู่
“ฉีเหิง เจ้าอยู่ที่ไหนกัน วันนี้ข้ามีเรื่องที่ต้องสะสางกับเจ้า!” ผู้อาวุโสสองบุกเข้าไปในห้องลับด้วยท่าทีฉุนเฉียว เขาจ้องมองไปที่ฉีเหิง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
ทั้งหมดเป็นเพราะข่าวปลอมที่ชายคนนี้ให้มา ไม่เช่นนั้นตระกูลลู่คงไม่ได้รับความสูญเสียอย่างหนัก!
“ผู้อาวุโสสอง ทำไมเจ้าถึงกลับที่นี่ล่ะ? เจ้าไม่ได้ไปที่สำนักดาราหรอกเหรอ?” ฉีเหิงไอสองครั้ง และใบหน้าของเขาซีดเซียว
“ทำไมเจ้าถึงได้รับบาดเจ็บ? เกิดอะไรขึ้น?” ผู้อาวุโสสองสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสถานการณ์ของฉีเหิง และเขาก็รีบถามออกมา
“มีผู้เชี่ยวชาญหลอมวิญญาณแอบเข้ามาในตระกูลลู่เมื่อคืนนี้” ฉีเหิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เจ้าได้ต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญคนนั้นงั้นรึ? เจ้าได้รับบาดเจ็บจากเขาหรือเปล่า? อาการบาดเจ็บเป็นยังไงบ้าง?” ผู้อาวุโสสองถามด้วยความเป็นกังวลอย่างยิ่ง เมื่อมองแวบแรกอาการของฉีเหิงดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก .
ฉีเหิงดูอับอายใจเล็กน้อย และเขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
เขาได้ต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญหลอมวิญญาณคนนั้นก็จริง แต่อาการบาดเจ็บไม่ได้เกิดจากศัตรู แต่เกิดจากร่างกายของเขาที่แก่ชรา และอ่อนแอเกินไปจะใช้วิชาที่ทรงพลัง
“ผู้อาวุโสสอง เจ้าไม่ต้องกังวลไป ตอนนี้ข้าสบายดี แต่ว่าที่มาของผู้เชี่ยวชาญคนนั้นยังคงเป็นปริศนา หลังจากต่อสู้กับข้าแล้วเขาก็หนีไปไหนก็ไม่รู้ ตอนนี้เขาอาจจะยังซ่อนตัวอยู่ในตระกูลลู่!” ฉีเหิงพูดเบาๆ เขาไอสองครั้งแล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าจะไปหานายน้อยก่อน และขอให้เขาทำการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด หากชายคนนั้นยังคงอยู่ที่นี้ ข้าจะไม่มีวันปล่อยเขาไป!” หลังจากที่ผู้อาวุโสสองพูดจบ เขาก็รีบหันหลังกลับ และจากไป โดยลืมจุดประสงค์เดิมของการมาพบฉีเหิงไปซะสนิท
ลู่ซวนยังคงพักฟื้น และพยายามรักษาอาการบาดเจ็บ จนกระทั่งกลางคืนเขาก็ฟื้นพลังบางส่วนกลับคืนมาได้ จากนั้น เขาได้พบกับผู้อาวุโสสอง และยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อรู้ว่ามีคนบุกเข้าไปในห้องลับในขณะที่พวกเขาออกไปข้างนอก
นั่นคือ สถานที่ๆ ร่างของบรรพบุรุษอยู่ หากเกิดอะไรขึ้นกับบรรพบุรุษเพราะเหตุนี้ ลู่ซวนจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองได้เลย!
ดวงจันทร์ขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน และราตรีก็มาเยือนอย่างเงียบๆ ชายหนุ่มผมยุ่งเหยิงคนหนึ่งเดินมาที่ประตูห้องลับแล้วเคาะสองครั้ง
ประตูห้องลับเปิดออกอย่างช้าๆ และใบหน้าชราของฉีเหิงก็ปรากฏขึ้นจากข้างในประตู
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” ฉีเหิงขมวดคิ้วสองครั้งหลังจากเห็นคนที่มา
“อะไร? เจ้ามีปัญหากับการที่ข้ามาที่นี่งั้นรึ” ชายหนุ่มไพล่มือไว้ด้านหลัง ยกคางขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดด้วยสีหน้าหยิ่งยโส
“นี่เจ้ากลับมาบ้าอีกแล้วเหรอ?”
ฉีเหิงลูบหน้าผากอย่างไร้คำพูด เขาไม่สนใจที่จะโต้เถียงกับคนป่วยทางจิต ดังนั้นเขาจึงปิดประตูห้องลับ หันกลับไปเพื่อกลับเข้าไปในห้อง
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าเป็นบ้าอะไร ถ้าไม่ธุระอะไรก็รีบไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ ข้าต้องการพักผ่อน และไม่มีเวลาฟังเรื่องไร้สาระของเจ้า!” ฉีเหิงพูดอย่างเดือดดาล
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูยังคงดังอยู่
“ฮึ่มได้ เจ้าต้องการมีปัญหากับข้าใช่ไหม” ฉีเหิงตะโกน เขารีบเดินไปที่ประตู และเปิดมันออกอย่างแรง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
“ผู้อาวุโสฉี ข้ามาที่นี่เพื่อซ่อมกำแพง…” ศิษย์คนหนึ่งโผล่ออกมา และพูดอย่างระมัดระวัง โดยไม่เข้าใจว่าทำไมฉีเหิงจึงโกรธถึงขนาดนี้
เขาแค่มาซ่อมกำแพง เขาไม่ได้มาทำร้ายใคร?
เมื่อฉีเหิงต่อสู้กับผู้อาวุโสเจ็ดในวันนั้น กำแพงหลายแห่งก็พังทลายลง
“เข้ามา…” ฉีเหิงตอบด้วยตาแดงก่ำ ไม่รู้ด้วยความอายหรือความโกรธ เขาถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วพูดเสียงดัง
ศิษย์พยักหน้าตอบรับ แล้วเดินเข้าไปในห้อง
ข้างหลังเขา มารเฮยเย่ก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่รู้ว่าอยู่ตั้งแต่เมื่อใด เขาไพล่มือไปที่ด้านหลัง และต้องการจะเดินเข้าไปอย่างเย่อหยิ่ง
“เดี๋ยว เหตุใดเจ้าจึงยังอยู่ที่นี่? แล้วข้ายังไม่อนุญาตให้เจ้าเข้ามาเลย ออกไปจากที่นี่ซะ!” ดวงตาของฉีเหิงเปล่งประกายคมกริบราวกับดาบ เมื่อเขาเห็นมารเฮยเย่ เขาก็ตระโกนด้วยความโกรธ
“อ๊า?” ขณะที่ศิษย์คนนั้นกำลังจะวางเครื่องมือในมือลง และเริ่มซ่อมแซมกำแพง เขาก็ได้ยินเสียงคำรามของฉีเหิงซึ่งทำให้เขาสั่นไปทั้งตัว