Chapter 1343 แผนการที่รุกล้ำไปถึงภพหยิน.
เช้าวันถัดมา ภายในคฤหาสน์หลิวอู๋ซ่าง.
ตำหนักหลัก ของคฤหาสน์อู๋ซ่าง!
ภายในตำหนักอู๋ซ่างในเวลานี้มีคนสิบคน คนสองกลุ่มที่มาประจันหน้ากัน ทว่าไม่ได้มาต่อสู้กัน.
ฝั่งหนึ่งคือไท่จื่อจงเสวียน และด้านหลังจงเสวียนมีผู้ฝึกตนระดับเซียนโบราณห้าคน ที่คอยคุ้มกันจงเสวียน.
อีกฝั่งหนึ่งหลิวอู๋ซ่างที่เป็นผู้นำ ด้านหลังมีคนสามคน เป็นจินอี้เหว่ยระดับสูงที่คอยคุ้มกันเขา.
"คิดว่าเจ้าควรจะรู้ เจ้าไม่ใช่ไท่จื่อ เซิ่งหวังเก็บเจ้าไว้เพื่อประโยชน์บางอย่าง หลังจากนี้ เซิ่งหวังย่อมมอบความดีความชอบคืนให้กับเจ้า ตอนนี้ ข้าจะช่วยเจ้าฟื้นฟูความทรงจำ!"หลิวอู๋ซ่างที่กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม.
"อืม ดี ดี!"จงเสวียนที่กล่าวตอบรับ.
เห็นเสียงที่ดูแข็ง ๆ ของจงเสวียน หลิวอู๋ซ่างตัวปลอมที่เผยยิ้มออกมาเล็กน้อย เป็นดวงวิญญาณดวงใหม่จริง ๆ !
"เกี่ยวกับประวัติของเจ้า ข้าจะเป็นคนบอกกล่าวต่อเจ้าเอง เจ้าจะได้ฟื้นคืนความทรงจำ!"หลิวอู๋ซ่างกล่าว.
จากนั้น องค์รักษ์ทั้งสี่ที่อยู่ด้านหลัง ที่รับผิดชอบในการอ่านข้อมูลต่าง ๆ โดยใช้เวลามากกว่าสองชั่วยาม.
จงเสวียนที่ขมวดคิ้วไปมา ราวกับว่ากำลังนึกอะไรบางอย่าง.
"นึกอะไรได้อย่างงั้นรึ?"หลิวอู๋ซ่างที่สอบถามออกไป.
"ไม่ ไม่มีเลย!"จงเสวียนที่ส่ายหน้าไปมา.
"โอ้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องอะไรที่จำได้ แผ่นริ้วหยกทั้งสี่ ข้าจะมอบให้องค์รักษ์ทั้งสี่คนของเจ้า เป็นเพราะว่าเจ้าไม่สามารถฟื้นคืนความทรงจำได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้สัมผัสเทวะได้ เพื่อป้องกันความผิดพลาด ดังนั้นจึงมอบให้พวกเขาทั้งสี่เป็นคนเก็บเอาไว้ก่อน จากนี้ทุก ๆ สิบวันให้พวกเขาอ่านให้เจ้าฟัง จากนั้นข้าจะนำเจ้าไปยังสถานที่เมื่อครั้งเจ้ายังมีชีวิต!"หลิวอู๋ซ่างกล่าว.
"ได้ ได้!"ใบหน้าของจงเสวียนที่ยังคงงงงวย.
หลิวอู๋ซ่างที่มอบแผ่นริ้วหยกให้กับองค์รักษ์ของจงเสวียน.
"วันนี้พอเพียงเท่านี้!"หลิวอู๋ซ่างกล่าว.
ในเวลาเดียวกันนั้น คำพูดดังกล่าวที่เหมือนกับเป็นสัญญาณบางอย่าง ที่ประตูด้านหน้าปรากฎร่าง ๆ หนึ่ง แสงจากอัญมณีที่หน้าผากของเทียนเสิ่นจื่อก็ส่องประกายแสงสว่างจ้า ดวงตาของเขาที่หดเกร็ง จากนั้นก็ปรากฎแสงที่อาบไล้กลายเป็นม่านที่ปกคลุมทั่วห้องโถง.
แสงสีทองที่เจิดจรัส จนทำให้ทุกคนตกอยู่ในความมืด พริบตาที่แสงสว่างจ้านั้น.
"วูซซซซ!"
ภายในห้องโถง จงเสวียน จินอี้เหว่ย องค์รักษ์ของจงเสวียนที่หยุดนิ่ง ไม่สามารถขยับ.
นอกจากนี้ไม่ใช่แค่ไม่สามารถขยับได้ การรับรู้ทุกอย่างของพวกเขาที่ถูกผนึกให้หยุดนิ่งไปด้วยในทันที.
คนที่ขยับได้ เวลานี้มีเพียงหลิวอู๋ซ่างเท่านั้น.
หลิวอู๋ซ่างที่ยืนขึ้น ที่มุมปากเผยรอยยิ้มเหยียดหยันดูแคลน จากนั้นแขนของเขาที่ยื่นออกไปทันที!
"เปลี่ยน ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!”
พริบตานั้น ร่างของหลิวอู๋ซ่างก็เปล่งประกายแสงสีเหลือง สีเหลืองที่เรืองแสง ก่อนที่จะกลายเป็นลำแสงพุ่งตรงไปยังร่างของจงเสวียนทันที.
"ครืนนน ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~!”
ลำแสงสีเหลืองที่พุ่งกระแทกร่างจงเสวียน จากนั้นก็เชื่อมต่อไปทั่วร่าง แลกเปลี่ยนร่างทั้งสองไป.
ร่างกายทั้งสองที่สั่นเล็กน้อย ผ่านไปสามลมหายใจ.
"ฟู่ ~~~ ~~~~~~~~~~~~~~~~!”
แสงสีเหลืองที่ส่องสว่างได้รวมเข้ากับร่างของจงเสวียนโดยสมบูรณ์.
"วูซซซซซ ~~~~~~~~~~~!”
ถัดจากนั้นเทียนเสิ่นจื่อที่หายไปจากด้านหน้าประตู เพียงแค่อึดใจเท่านั้น ไม่มีใครรับรู้ด้วยซ้ำว่าเกิดสิ่งใดขึ้น.
"ฟิ้ว!"
ภายในตำหนักอู๋ซ่าง ทุกคนที่กลับมาเคลื่อนไหวได้.
พริบตาเดียวที่เหมือนกับหลุมจากสมาธิ ทุกคนที่งงงวย แม้นว่าจะรู้สึกสงสัยขึ้น ทว่ากับได้ยินเสียงของจงเสวียน.
"ขอลา ขอบคุณเซียนเซิงหลิว!"ใบหน้าของจงเสวียนที่ยังคงสงบ.
เสียงของจงเสวียนที่ดังขึ้น ดึงสมาธิทุกคนกลับมา ความงงงวยที่เกิดขึ้นสลายหายไป.
การหลุดสมาธิ ความจริงเหตุการณ์เช่นนี้นาน ๆ จะเกิดขึ้นกับทุกคนเช่นกัน ยกตัวอย่างขณะที่อ่านตำราอยู่ มีคนเข้ามาเรียก หรือขณะที่ครุ่นคิดอะไรบางอย่างก็ถูกใครขัดจังหวะ เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น จึงไม่ได้ทำให้เกิดความสงสัยอะไรมากนัก อีกทั้งเมื่อครู่นี้ก็ไม่ได้มีเหตุอะไรที่ผิดปรกติแต่อย่างใด.
ตอนนี้ทุกคนในตำหนักอู๋ซ่างแม้นว่าจะรู้สึกงงงวยไปชั่วขณะ ทว่าก็ไม่ได้รู้สึกผิดปรกติแต่อย่างใด คิดเพียงว่าแค่หลุดสมาธิแค่ชั่วครู่เท่านั้น ซึ่งไม่มีทางรู้ว่าหลิวอู๋ซ่างและจงเสวียนได้สลับร่างวิญญาณต่อกันไปเรียบร้อยแล้ว.
"ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ!"หลิวอู๋ซ่างที่พยักหน้ารับ.
จากนั้น ห้าองค์รักษ์ของจงเสวียน ก็นำจงเสวียนออกจากตำหนักอู๋ซ่างไป.
จงเสวียนที่ก้าวนำออกไป ขณะที่เขาก้าวออกไปนั้น ท่าทางของเขาที่ดูแข็งกร้าว ขณะที่ใบหน้าเผยยิ้มด้วยความพึงพอใจ ถึงจะมีคนเห็น แต่จะมีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมาอย่างงั้นรึ? กลิ่นอายและท่าทางของเขาที่ดูแปลกไป.
อย่างไรก็ตามมันเกิดขึ้นพริบตาเดียว เขาที่เก็บท่าทางกลิ่นอายกลับมาอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น.
ขณะที่จงเสวียนนำห้าองค์รักษ์จากไป.
ในตำหนักอู๋ซ่าง หลิวอู๋ซ่างที่ไม่ได้ออกไปส่ง ต้องไม่ลืมว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่ใช่ไท่จื่อแท้จริง.
หลิวอู๋ซ่างที่ท่าทางค่อนข้างเกร็ง ๆ ราวกับว่าไม่สามารถขยับได้ ทว่าเขาที่กำหมัดแน่น.
"พวกเจ้าออกไปก่อน!"หลิวอู๋ซ่างที่กล่าวออกมาเบา ๆ .
"ใต้เท้า?"จินอี้เหว่ยทั้งสามที่เผยท่าทางงงงวย.
"ข้าต้องการสมาธิ ห้ามใครเข้ามารบกวนข้า หากไม่มีคำสั่ง ห้ามใครด้านนอกเข้ามา!"หลิวอู๋ซ่างที่กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม.
"ครับ!"จินอี้เหว่ยทั้งสามที่ตอบรับ.
"ครืนนน!”
คนทั้งสามที่ถอนตัวจากไป ประตูตำหนักที่ปิดแน่น.
"วูซซซซ!"
เงาร่าง ๆ หนึ่งที่ปรากฎขึ้นในห้องทันที.
เป็นเทียนเสิ่นจื่อที่ปรากฎก่อนหน้านี้นั่นเอง.
เทียนเสิ่นจื่อที่จับจ้องมองไปยังหลิวอู๋ซ่าง แววตาของหลิวอู๋ซ่างที่เผยท่าทางตื่นตระหนกตกใจในทันที.
"ถึงกับกำหมัดแน่นเลยรึ? อย่างไรก็ตามด้วยทักษะเชิดหุ่นของข้า เจ้าไม่มีทางขยับได้!"เทียนเสิ่นจื่อที่ส่ายหน้าไปมา.
"เจ้า สามารถควบคุมการพูดข้าได้ด้วยรึ? ข้าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? เมื่อกี้นี้หมายความว่าอย่างไร?"หลิวอู๋ซ่างที่กล่าวออกมาด้วยความตกใจ.
"ด้วยปัญญาของเจ้าเวลานี้ ถึงอธิบายออกไปเจ้าก็ไม่มีทางเข้าใจ จงโอนอ่อนไปตามสถานะการณ์ ข้าใช้ทักษะเชิดหุ่นเพียงชั่วคาวเท่านั้น โปรดให้ความร่วมมือ ไม่เช่นนั้น ข้าคงไม่สนใจที่จะทำลายเจ้าโง่เช่นเจ้า ทำลายทั้งร่างกายและวิญญาณ!"เทียนเสิ่นจื่อกล่าวออกมาด้วยเสียงเย็นชา.
"ได้ ได้ ข้าจะทำตาม!"หลิวอู๋ซ่างที่กล่าวตอบรับ.
"อืม จากนี้จงปิดด่านอยู่เพียงคนเดียวที่นี่ จนกว่าจะเลยวันมะรืนค่อยออกมา!"เทียนเสิ่นจื่อกล่าว.
"ได้ เจ้าจะไม่สังหารข้าใช่ไหม?"ใบหน้าของหลิวอู๋ซ่างที่กล่าวออกมาด้วยความหวาดกลัว.
"กับเชาว์ปัญญาของดวงวิญญาณที่เพิ่งเกิดใหม่? แม้นว่าจะยังมีเชาว์ปัญญาไม่มากนัก ทว่ากับรู้จักกลัวความตายอย่างงั้นรึ? โปรดวางใจ ขอเพียงเจ้าไม่ขัดคำสั่ง ข้าก็จะไม่สังหารเจ้า!"เทียนเสิ่นจื่อ กล่าว.
"ข้าจะทำ ข้าจะไม่ขัดคำสั่ง!"หลิวอู๋ซ่างที่กล่าวออกมาด้วยความหวั่นเกรง.
"อืม!"เทียนเสิ่นจื่อพยักหน้ารับ.
จากนั้นเทียนเสิ่นจื่อที่หายไปจากห้องโถง.
หลิวอู๋ซ่างที่แสดงท่าทางหวาดกลัวหลบไปอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง ที่เผยท่าทางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เขาที่หดตัวหลับอยู่ราว ๆ สองชั่วยามเต็ม ก่อนที่หลิวอู๋ซ่างจะลุกขึ้นช้า ๆ ใบหน้าของหลิวอู๋ซ่างที่กลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม.
เขาที่ยืนขึ้น จ้องมองร่างกายของตัวเอง แววตาที่แผ่จิตสังหารออกมา ความดุร้ายเย็นชาที่ส่องประกายอยู่ในนั้น.
หลิวอู๋ซ่างที่สูดหายใจลึก ก่อนที่จะเผยท่าทางเหยียดหยัน "ธรรมะสูงหนึ่งคืบ มารร้ายสูงหนึ่งศอก ช่างน่าเศร้า ช่างน่าเศร้าใจจริง ๆ !"
หลิวอู๋ซ่างที่ค่อย ๆ นั่งลงบัลลังก์ของห้องโถงดังกล่าวช้า ๆ .
ขณะที่เขานั่งอยู่บนบัลลังก์ หลิวอู๋ซ่างที่กวาดตามองโต๊ะของตัวเอง ก่อนที่จะกล่าวกับตัวเองด้วยความตื่นเต้น "กลัวความตายอย่างงั้นรึ? ชิ! หากกลัวความตายข้าคงไม่ฆ่าตัวตายในวันนั้น! ความรู้สึกที่กลับมาได้นี้ มันดีจริง ๆ !"
แม้นว่าจะพูดกับตัวเอง ทว่าหลิวอู๋ซ่างก็สร้างม่านป้องกันรอบ ๆ ร่างของตัวเองเอาไว้ เสียงดังกล่าวที่มีเพียงแค่เขาได้ยิน.
"วิชาเชิดหุ่น? หากว่าดวงวิญญาณของข้าแตกสลายไปหมด วิชาเชิดหุ่นของเจ้าก็คงจะใช้การได้ หากแต่คิดจะใช้มันมาข่มขู่ข้ารึ? หลอกข้าอย่างงั้นรึ? ชิ!"แววตาของหลิวอู๋ซ่างที่เป็นประกาย.
-------------------------------------------------------------------
ภพหยิน เมืองซ่าง!
คุกสวรรค์ภพหยินต้าเจิ้ง.
คุกสวรรค์ภพหยินนั้นมีขนาดใหญ่มาก มีเขตแดนต่าง ๆ แยกออกจากกัน เป็นพื้นที่มีขนาดใหญ่มาก เขตแดนเหนือของคุกสวรรค์สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างสะอาด เพราะว่าที่นี่จะใช้คุมขังเหล่าบุคคลสำคัญของต้าเจิ้ง.
ภายในคุกนั้นจะมีผู้คุ้มกัน คอยเข้าไปตรวจสอบด้านในเป็นระยะ ๆ .
"ใต้เท้า ภายในห้องในสุดนั้นเป็นใครกัน? เหมือนว่าข้าเคยเห็น......!"ผู้คุมคนหนึ่งที่เผยท่าทางไม่อยากเชื่อ.
“!”
"เป็นเจี้ยนฝูเทียนเจียนอาวุโสเทียนจริง ๆ รึ? เขาถูกจับได้อย่างไร?"
"ข้าไม่รู้ ทว่าตามหลักฐานที่มีนั้น เขาได้สร้างคดีที่ใหญ่โตไม่เบา!"
"!ใต้เท้า ข้าขอเข้าไปดูได้หรือไม่ ข้าอยากเห็นขุนนางใหญ่ที่ถูกจับ."
"เจ้าหนู คิดว่าเป็นเรื่องสนุกรึไงกัน!"
..................
......
ภายในคุกสวรรค์แดนเหนือ อาวุโสเทียนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ ขณะที่เขาจ้องมองไปยังร่างของเขาที่ดูปรกติทั่วไป ไม่มีร่องรอยเป็นทุกข์เป็นร้อนแต่อย่างใด.
"วูซซซซ!"
ในเวลาเดียวกันนั้น ร่างของอาวุโสเทียนที่สั่นไหวไปมา ร่างของเขาที่มีแสงสีเหลืองอาบไล้ อาวุโสเทียนที่เผยท่าทางตื่นตระหนก.
“!”
อาวุโสเทียนที่สั่นไหวด้วยความเจ็บปวด.
"ข้าเข้าใจแล้ว บรรพชนรุ่นหนึ่ง ท่านคืนชีพ รากเทวะของท่านก็คืนชีพ ร่างเทวะของท่านถูกลบเชาว์ปัญญาออกไปแล้ว และยังสามารถนำมาสร้างร่างที่สองได้อย่างงั้นรึ? เหมือนกับเซิ่งหวัง? ในภพหยางคนหนึ่ง ในภพหยินก็มีอีกคนหนึ่ง นับเป็นแผนการที่ร้ายกาจลึกล้ำจริง ๆ"อาวุโสเทียนที่เจ็บปวดเอ่ยออกมา.
ในเวลาเดียวกัน ใบหน้าของอาวุโสเทียนที่เปลี่ยนไปในทันที ท่าทางเองก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน "เพื่อไม่ให้ใครพบกับเจ้า และให้รับรู้ ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ หากไม่เพราะว่าจงซานเร่งเร้า บางทีเจ้าอาจจะยังคงมีชีวิตอยู่อีกหลายวัน!"
ใบหน้าของร่างอาวุโสเทียนเดิมทีเปลี่ยนเป็นเจ็บปวด "ไม่ ข้าต้องแจ้งเซิ่งหวัง เซิ่งหวัง~~~~~~~~~~~!”
อาวุโสเทียนที่ร้องออกมาด้วยความตกใจ กลายเป็นเสียงที่ดังลั่นเพื่อที่จะแจ้งไปยังผู้คุมที่อยู่ไกลออกไป
"วูซซซซ!"
ร่างของอาวุโสเทียน ที่ถูกร่างรากเทวะบรรพชนรุ่นหนึ่งกลืนกินและหายไป.
"ถูกผนึกพลังยังกล้าขัดขืน! ไม่รู้ควรจะเรียกว่าอย่างไร!"อาวุโสเทียนที่กล่าวกับร่างตัวเอง น้ำเสียงที่เผยท่าทางดูแคลน.
"หืม มีอะไร?"ผู้คุมกันที่เร่งรีบเข้ามาหาอาวุโสเทียนในทันที.
อาวุโสเทียนที่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จ้องมองไปยังผู้คุม "ไม่มีสิ่งใด ดูเหมือนว่าข้าต้องการพบเซิ่งหวัง เพราะสำนึกผิดแล้ว!"
"!"ผู้คุมที่เผยท่าทางงงงวย.
"เซียวหวาง เกิดปัญหาแล้ว?"เสียงที่ดังจากด้านหลังไกลออกไป.
"เอาล่ะ ข้าจัดการเอง!"เซียวหวาง ผู้คุมกันจ้องมองไปยังพื้นที่ไกลออกไป.
ในเวลานั้น ร่างอาวุโสเทียนด้านในที่ลุกขึ้น จ้องมองไปยังผู้คุมคนดังกล่าว ก่อนที่จะยื่นมือสองข้างออกไป!
"เปลี่ยน~~~~~~~~~~~~~~~~~~!”ร่างของอาวุโสเทียนที่ตะโกนออกมาเสียงดัง.
*************
道高一尺,魔高一丈(Dào gāo yī chǐ mó gāo yī zhàng)
ธรรมะสูงหนึ่งคืบ มารร้ายสูงหนึ่งศอก
“ธรรมะสูงหนึ่งคืบ มารร้ายสูงหนึ่งศอก” เดิมเป็นพุทธพจน์ ในที่นี้หมายถึงลำดับขั้นของการตรัสรู้ มารร้ายที่ว่าหมายถึง อวิชชา ตัณหา อุปาทาน คำพูดประโยคคนนี้ใช้สำหรับตักเตือนผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายให้ตั้งสติคอยระมัดระวังกิเลสจากภายนอกที่จะเข้ามารบกวนการปฏิบัติธรรม ปัจจุบันเราใช้คำนี้เป็นสุภาษิตเปรียบเทียบว่าฝ่ายอธรรมมีอำนาจเหนือกว่าฝ่ายธรรมะ และมีความหมายแคบว่า เมื่อสองฝ่ายเกิดการต่อสู้กัน ไม่ว่าฝ่ายใดจะมีฝีมือยอดเยี่ยมกว่า อีกฝ่ายก็มักจะหาวิธีมาล้มคว่ำคู่ต่อสู้จนได้