Chapter 1305 ต้าเจิ้งออกราชโองการรับคน.
"อย่าลืมว่ามีสุรารสดี ที่เจ้าควรไปดื่ม มันคือ สุราที่อยู่ในห้องเก็บใต้ดิน ที่เจ้าจะได้ดื่มเมื่อครั้งเจ้ากลับไป จะสามารถดื่มมันได้เท่าไหร่ก็ได้!"จงซานที่ส่ายหน้าไปมา.
"กลับไปนะรึ?"ตี้เสวียนชาที่ฝืนยิ้ม ส่ายหน้าไปมา ไม่ได้เอ่ยอะไร ขณะที่ยกสุราขึ้นดื่มอีกครั้ง.
จงซานที่เข้าใจดีในเวลานี้ ตี้เสวียนชาไม่ต้องการกลับไป ในทางตรงข้าม ถึงตี้เสวียนชากลับไปต้าเจิ้งในเวลานี้ จงซานก็ไม่ต้อนรับ เพราะว่าตี้เสวียนชายังไม่กลับคืนมาสมบูรณ์.
ทั้งสองที่กลายเป็นเงียบลง.
จงซานที่สูดหายใจลึก ยกสุราขึ้นดื่มเช่นกัน "ต้าเจิ้งนั้น มีที่ให้ตี้เสวียนชาตลอดกาล ถึงตอนนี้เจ้ามีสองเจตจำนง ข้าก็ไม่สามารถไล่เจ้าไปได้! ได้แต่รอ อย่างน้อยเจ้าควรจะไปดูเซียนเซียนบ้าง ไม่เช่นนั้นข้ากลัวว่าอีกไม่นานเจ้าจะลืมเซียนเซียน!"
ตี้เสวียนชาที่ยกสุราขึ้นดื่มด้วยท่าทางเศร้า ๆ .
แม้นว่าไหสุราจะมีขนาดเล็ก ทว่ามันกับบรรจุสุราไว้อย่างมากมาย ที่ด้านในเป็นเหมือนกับช่องมิติขนาดใหญ่ ดังนั้นมันจึงไม่หมดง่าย ๆ .
ทั้งสองที่ยังคงนั่งอยู่ในซุ้มไม้ ยกสุราขึ้นดื่มเป็นระยะ ตี้เสวียนชาที่ยกสุราขึ้นดื่มพร้อมกับเต็มไปด้วยความเศร้า จงซานเองก็ดื่มเป็นเพื่อนของเขาเช่นกัน.
ตี้เสวียนชาที่ดื่มสุรา ใบหน้าของเขาที่อึมครึมซับซ้อน ก่อนที่จะหันหน้าไปมองจงซาน.
"หือ?"จงซานที่เผยท่าทางสงสัย.
"ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ทำร้ายข้า! อย่างไรก็ตาม ขอเพียงเซียนเซียนปลอดภัย ข้าสามารถบอกกล่าวต่อบางอย่างต่อเจ้าได้."ตี้เสวียนชาที่ขมวดคิ้วไปมา.
"ทำร้ายเจ้ารึ? พวกเรารู้จักกันมานานหลายปี แน่นอนเจ้าย่อมรู้จักนิสัยของข้าดี ขอเพียงตี้เสวียนชายังมีเวลาเพียงหนึ่งวัน ข้าก็ไม่เคยคิดร้ายต่อเจ้า!"
ในเวลาเดียวกัน ตี้เสวียนชาย่อมเข้าใจความหมายของจงซาน มันเป็นเรื่องที่ยากที่เขาจะทำร้ายตัวเอง.
ตี้เซียนเซียนที่ได้รับบาดเจ็บ ทำให้สามารถฟื้นคืนเจตจำนงของตี้เสวียนชากลับมาได้มากกว่าเดิม ตี้เสวียนชาที่พยายามกำราบเจตจำนงของตี้ซือเทียน เขาเองก็ต้องการเอ่ยความลับของตัวเองออกไป เพื่อที่จะป้องกันเอาไว้ เพื่อปกป้องเซียนเซียนอีกแรงนั่นเอง.
"หากจำเป็น ข้าก็ไม่ต้องการเอ่ยสิ่งใดเกี่ยวกับตี้ซือเทียน ทว่ามันเกี่ยวข้องกับบรรพชนหมาป่าคืนกลับ เจ้าควรรู้ว่าเหตุใดตี้ซือเทียนถึงได้มีความคิดเซียนเซียน?"ตี้เสวียนชาเอ่ยออกมาอย่างเคร่งขรึม.
"ทำไม?"จงซานที่กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม.
"ได้ยินมาว่าเจ้าสังหารเซียนเทียนจงเผ่าเต่าทมิฬ หากกล่าวตามตรงเจ้าน่าจะเข้าใจ!ข้าเป็นบรรพชนหมาป่า ตี้ซือเทียนเองก็เป็นบรรพชนหมาป่า ทว่าไม่ใช่สายโลหิตรุ่นแรก ตี้ซือเทียนนั้นได้ใช้พลังของดวงวิญญาณพัฒนากายเนื้อ เพื่อยกระดับสายโลหิตให้สูงขึ้นด้วยพลังวิญญาณ ความจริงเขามีสายโลหิตขั้นที่สองเท่านั้น!"ตี้เสวียนชาที่ส่ายหน้าไปมา.
สายโลหิตรุ่นที่สองรึ? ทันใดนั้นจงซานก็เข้าใจได้ในทันที สายโลหิตรุ่นที่สอง? ตี้เสวียนชาก็มีสายโลหิตรุ่นที่สองเช่นกัน? ทว่าเซียนเซียนมีระดับสายโลหิตที่สูงกว่าเขา อธิบายได้ว่าเซียนเซียนนั้นมีสายโลหิตรุ่นที่หนึ่ง!
สายโลหิตรุ่นที่หนึ่ง สายโลหิตรุ่นที่สอง?
แม้นว่าจะห่างกันเพียงแค่หนึ่งรุ่น ทว่าจงซานก็รู้ดี หนึ่งรุ่นที่ต่างกันนั้นแตกต่างกันราวกับสวรรค์และปฐพี อย่างน้อยบรรพชนมังกรที่กลายเป็นหนึ่งผู้ก่อตั้งก็สามารถสั่งการมังกรได้ทั่วหล้า.
บรรพชนมังกรที่มีสายโลหิตที่แข็งแกร่ง ไม่ว่ามังกรอยู่ที่ใหนก็สามารถสัมผัสได้.
ส่วนเผ่าหมาป่าเองก็เช่นกัน แม้นว่าเซียนเซียนยังไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ ทว่าสายโลหิตที่นางมี ก็เรียกว่าสายโลหิตชั้นสูง รอเพียงแค่โอกาสมาถึง เซียนเซียนก็สามารถสั่งการหมาป่าทั่วหล้าได้เช่นกัน.
แน่นอน สายโลหิตรุ่นที่หนึ่งนั้น นับว่าเป็นความลับสำหรับคนอื่น.
ไม่สงสัยเลยว่าตี้ซือเทียนต้องการเซียนเซียน ดูเหมือนเหตุผลนั้นจะไม่ต่างจากเซียนเทียนจง ที่มีทักษะเทวะหลอมรวม ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดเซียนเซียนไม่สามารถปล่อยให้ตกอยู่ในมือของตี้ซือเทียนได้.
การที่ตี้เสวียนชาเอ่ย ทว่าแน่นอนว่าจงซานย่อมเข้าใจถึงความหมายนั่นดี.
"โปรดวางใจ! ข้าจะต้องดูแลเซียนเซียนอย่างดี!"จงซานที่กล่าวยืนยัน.
"อืม!"ตี้เสวียนชาที่ยกสุราขมขึ้นดื่มอีกครั้ง.
"สาเหตุที่เซียนเซียนได้รับบาดเจ็บเพราะว่ามีโจรร้ายอยู่เบื้องหลังอย่างงั้นรึ?"ตี้เสวียนชาเอ่ย.
"เจ้าสังหารยูไลไปแล้ว ยังไม่พอใจอีกรึ?"จงซานที่เอ่ยออกมาเล็กน้อย.
"ยูไล? ยังไม่พอ ข้าจะต้องแสดงให้ทุกคนได้เห็น จะได้ไม่มีใครกล้าทำร้ายเซียนเซียนอีก!"ตี้เสวียนชาที่กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม จิตสังหารที่แผ่ออกมารอบ ๆ .
จงซานที่จ้องมองตี้เสวียนชา เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า "หนึ่งปีที่แล้ว หากจะกล่าวล่ะก็ โจรร้ายที่อยู่เบื้องหลังมีสองคน เป็นปราชญ์เทพลู่หยาและราชันย์เทพตะวันออกไท่อี้!"
"เป็นพวกเขาอย่างงั้นรึ?"ตี้เสวียนชาที่ขมวดคิ้วไปมา.
"ใช่ เป็นพวกเขา ลู่หยาที่ดำเนินการครั้งนี้ ไท่อี้ย่อมรู้เห็น! ข้าเองก็สามารถบอกได้ว่าไท่อี้ผู้นี้นับเป็นหนึ่งคนที่เต็มไปด้วยแผนการ!"จงซานที่สูดหายใจลึกด้วยความเย็นชา.
"ไท่อี้? เคยเป็นบุคคลอับดับหนึ่งในโลกหล้าในยุคหนึ่ง คนนั้นนะรึ?"ตี้เสวียนชาที่ขมวดคิ้วไปมา.
"ใช่ ก่อนยุคของหงจวิน ถูกเรียกว่ายุคไท่อี้."จงซานพยักหน้ารับ.
"ข้าจะสู้กับไท่อี้ เจ้าสู้กับลู่หยา ย่อมไม่มีปัญหา พวกเขาต้องได้รับการชดใช้!"
"กึก!"
ตี้เสวียนชาที่วางถ้วยสุราบนโต๊ะศิลาเสียงดัง แววตาที่เต็มไปด้วยเจตจำนงแห่งการต่อสู้! ดูเหมือนว่าเขาต้องการที่จะไปหาคนทั้งสองในทันทีเลย.
"อาการของเซียนเซียนคงที่แล้ว ข้าจะไปตามที่เจ้าต้องการ!"จงซานพยักหน้า.
"ตกลง!"ตี้เสวียนชาที่ระงับความโกรธของตัวเองเอาไว้.
พวกเขาทั้งคู่ที่พูดคุยกันอีกชั่วขณะ ก่อนที่จะเก็บซุ้มนั่งกลับไป ก่อนที่จะบินตรงไปยังห้องโถงก่อนหน้านี้ รอคอยการรักษาของเซียนเซียน.
ที่หน้าประตูของห้องโถงนั้น เหล่าเสนาธิการต้าเจิ้งที่รออยู่ จงซานที่จ้องมองไปยังเซิ่งกงเป้า ขณะที่เซิ่งกงเป้าพยักหน้ารับเบา ๆ .
เซิ่งกงเป้าที่โค้งคำนับ ก่อนที่จะถอยออกไป.
ตี้เสวียนชาที่เห็นการกระทำของจงซาน ทำให้เขาครุ่นคิดเล็กน้อย หากแต่ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องใส่ใจนัก เรื่องที่เขาต้องทำนั้นมีเพียงแค่สองอย่างเท่านั้น คือหนึ่งรักษาเซียนเซียน อีกหนึ่งก็คือต่อสู้กับไท่อี้!
เซิ่งกงเป้าถอยออกไป พร้อมกับนำจินเผิง เต้าเหรินถูกและโหยวหลานไปด้วย.
"เซียนเซิงเซิ่ง ให้พวกเราทำอะไรอย่างงั้นรึ?"จินเผิงที่ขมวดคิ้วไปมา.
จินเผิงที่เป็นคนชื่นชอบการต่อสู้ เพียงแค่ได้เห็นได้ยินก็ทำให้เลือดในกายร้อนแล้ว ขณะที่เขาได้ยินเกี่ยวกับความร้ายกาจของตี้เสวียนชาจากโหยวหลาน คิดถึงตัวเองถูกยูไลสะกดข่ม หากแต่ต่อหน้าตี้เสวียนชา ยูไลกับไม่แม้แต่ต่อต้านได้เลย.
จากการคาดเดาของเขายูไลนั้นน่าจะมีระดับเซียนบรรพชนขั้นที่เก้า หรือเข้าใกล้ขั้นที่สิบแล้ว เมื่อเขาเข้าร่วมพิธีใต้หว่านฝูผาน เป็นไปได้ว่าเขาจะก้าวไปถึงขั้นที่สิบ กลายเป็นหนึ่งตัวตนที่แข็งแกร่ง ทว่าเขากลับไม่มีพลังที่จะต่อสู้ตี้เสวียนชากลับได้เลย.
กับเรื่องที่เขาได้ยิน คราแรกนั้นจินเผิงไม่ยากเชื่อแม้แต่น้อย ทว่าขณะที่โหยวหลานนำหยกบันทึกออกมา จินเผิงก็สามารถบอกได้ในที่สุด เมื่อเห็นการต่อสู้ของตี้เสวียนชา โลหิตในกายก็พลุ่งพล่านเช่นกัน เพียงคำพูดไม่กี่คำสามารถข่มขู่ปราชญ์เทพได้ ต้าเจิ้งมีอสุรกายมากมายจริง ๆ .
ตี้เสวียนชาที่เป็นดังเทพแห่งความดุร้าย ดูน่าสนใจเป็นอย่างมาก.
"ใช่ เซียนเซิงเซิ่ง มีเรื่องอะไรอย่างงั้นรึ?"เต้าเหรินถูที่ขมวดคิ้วและกล่าวออกมา.
"เริ่ม เตรียมการ!"เซิ่งกงเป้าเอ่ย.
"อะไร....?เตรียมการอย่างงั้นรึ?"ใบหน้าของจินเผิงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมท่านที.
"รับทราบ!"เต้าเหรินถู โหยวหลานที่กล่าวตอบรับอย่างเคร่งขรึม.
สามวันหลังจากที่ตี้เสวียนชาสังหารทำลายวิหารใต้เหล่ยหยิน ในดินแดนเหล่ยหยิน ราชโองการรับคนของต้าเจิ้งก็ถูกประกาศออกมา ทุกเมือง ทุกนิกาย ต่างก็ได้รับราชโองการ.
ราชโองการ ประกาศไปทั่วดินแดนเหล่ยยินสร้างความสนใจต่อผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วน.
"ราชโองการรับคนเข้าร่วมศาลเทพต้าเจิ้ง รับสมัครยอดฝีมือทั่วหล้า เข้าร่วมศาลเทพต้าเจิ้ง?"
"ต้าเจิ้ง? เป็นต้าเจิ้งจริง ๆ ?"
"มีลายมือของจงซาน ไม่ผิดแน่ บางทีคงไม่ใช่แค่เพียงดินแดนเหล่ยหยิน ประกาศนี้คงประกาศไปทั่วทุกพื้นที่ ไม่ได้มีเพียงแค่ที่นี่แน่นอน!"
"ใต้สวรรค์แห่งนี้ ทวีปตะวันออก ทวีปทิศใต้ ทวีปตะวันตก ทวีปทิศเหนือ ทุกแห่งล้วนเข้าสู่ยุคแห่งความวุ่นวายแล้ว ทวีปกลางเองก็ไม่มีทางที่จะไม่ถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วย การจะอยู่รอดในยุคแห่งความวุ่นวาย ทางที่ดีต้องเลือกเข้าร่วมสักแห่ง!"
"แต่ว่า เจ้าจะเลือกต้าเจิ้งอย่างงั้นรึ?"
"เจ้าจะไปรู้อะไร? ต้าเจิ้งเวลานี้เหลือเพียงสังหารปราชญ์เทพก่อตั้งศาลสวรรค์เท่านั้น เจ้าก็เห็นตี้เสวียนชา ไม่ใช่ว่าจงซานเป็นคนสั่งเขาเคลื่อนไหวรึ?"
"จงซานสั่งตี้เสวียนชาอย่างงั้นรึ?"
"ไร้สาระ เจ้าโง่ เจ้าไม่เห็นสภาพวิหารใต้เหล่ยหยินรึ? ไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็เห็นทุกอย่างแล้วไม่ใช่รึ?"
..........................................
........................
......
ราชโองการประกาศรับคนของต้าเจิ้ง ได้ถูกส่งออกไปทั่วทุกดินแดน.
เซิ่งกงเป้าที่มีหน้าที่รับผิดชอบรับคน โดยมีหวนจีรับผิดชอบทดสอบจิตใจ ส่วนจินเผิงและเต้าเหรินถูรับผิดชอบทดสอบฝีมือ.
การรับคนของต้าเจิ้งนี้ราวกับไฟลามทุ่งสร้างความสนใจต่อผู้ฝึกตนมากมาย.
แม้นว่าจะมีคนที่มั่นใจยินดีเข้าร่วมต้าเจิ้งทันที มีไม่มากนักในระยะเริ่มแรก ทว่าเซิ่งกงเป้าไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย เพราะว่างานชุมนุมใต้หว่านฝูผานใกล้เข้ามาแล้ว ในทวีปกลางนี้ ย่อมมียอดฝีมือมารวมกันมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้นว่าจะไม่สามารถดึงดูดได้ทั้งหมด ก็ย่อมสามารถเก็บเกี่ยวได้มากมาย นอกจากนี้ นี่เพียงแค่เริ่มเท่านั้น เมื่องานชุมนุมใต้หว่านฝูผานผ่านไป ถึงจะรับรู้ บอกได้ถึงความสนใจที่แท้จริง.
ที่พักของเทียนโจวจื่อ.
"ปราชญ์เทพจู่ ดูเหมือนว่า ต้าเจิ้งจะประกาศรับคน! นอกจากนี้ยังได้ยินมาว่ามีเซียนบรรพชนมากมายที่ถูกเซิ่งกงเป้ากล่อมให้เข้าร่วมไปหลายคนแล้ว."เซียนบรรพชนคนหนึ่งที่ขมวดคิ้วไปมา.
ภายใต้ใบหน้าที่เลือนลางขมวดแน่น.
"จงซาน?ถึงกับฉวยโอกาสกับชื่อเสียงที่ได้รับ รับคนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างงั้นรึ?"เทียนโจวจื่อที่กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม.
"ใช่ ก่อนหน้านี้จงซานจัดการพวกเรา ก็สร้างชื่อเสียงไม่น้อย และยิ่งตี้เสวียนชาปรากฎตัวขึ้นอีก พวกเขายิ่งมีชื่อเสียงมากกว่าเดิม ไม่คิดเลยว่ากลายเป็นพวกเราที่สร้างโอกาสให้กับพวกเขา!"เซียนบรรพชนคนหนึ่งเอ่ย.
"เมื่อจบพิธีใต้หว่านฝูผาน จงซานคงจะเก็บเกี่ยวได้เป็นอย่างมาก กับการเก็บเกี่ยวยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ ที่จริงคนอื่น ๆ คงยากที่จะทำตามได้!"เซียนบรรพชนที่เผยท่าทางไม่ค่อยดีนัก.
"ปราชญ์เทพจู่ ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ท่านเคยต่อสู้กับตี้เสวียนชาครั้งนี้ ตี้เสวียนชาอยู่ในระดับใด?"เซียนบรรพชนคนหนึ่งสอบถาม.
เทียนโจวจื่อเคยต่อสู้ครั้งนี้ แน่นอนว่าเกิดขึ้นเมื่อครั้งเขาไล่ล่าจงซานไปจนถึงแดนเทวะซือเทียน และได้ประมือกับตี้เสวียนชา.
เทียนโจจื่อจ้องมองเหล่าเซียนบรรพชนที่มองมา พลางเอ่ยตอบ "ก่อนหน้านี้ข้าและตี้เสวียนชาเพียงแค่หยั่งเชิงกันเท่านั้นไม่ได้ลงมือเต็มที่ แน่นอนว่าข้ายังเทียบเขาไม่ได้ ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ด้อยกว่าปราชญ์เทพหรือแข็งแกร่งกว่า ทว่าข้าที่เป็นปราชญ์เทพ หากต่อสู้แลกชีวิต ผลจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ ตอนนี้พวกเจ้าเตรียมตัวให้ดี เรื่องของจงซานและตี้เสวียนชา อย่าเพิ่งเอามาใส่ใจ!"
"ครับ!"เหล่าเซียนบรรพชนพยักหน้ารับ เห็นเทียนโจวจื่อไม่ต้องการเอ่ยถึง พวกเขาก็ไม่ถามต่อไปเช่นกัน.
อีกฝั่งหนึ่ง ภายในหุบเขาของไท่อี้.
ลู่หยาที่เป็นคนรวบรวมข้อมูลมารายงานไท่อี้.
"ต้าเจิ้งออกราชโองการรับคน? คาดไม่ถึงเลยว่าจงซานจะลงมือก่อนพวกเราก้าวหนึ่ง!"ไทอี้ที่ขมวดคิ้วแน่น.
"ท่านพ่อ จงซานต้องการทำลายแผนของพวกเราอย่างงั้นรึ?"ลู่หยาที่กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม.
"โปรดวางใจ 1-2 ปีนี้สำหรับต้าเจิ้ง แม้นว่าจะนับว่ามีชื่อเสียงไม่น้อย ทว่ามันยังไม่พอ ที่นี่ไม่ใช่ภาคเหนือถิ่นของเขา ถึงเขาจะแสดงพลังออกมาสองครั้ง ทว่าก็ยังไม่พอที่จะให้คนอื่นถวายชีวิตให้กับเขา มันเริ่มเกินไปสำหรับพวกเขา ไม่ต้องกังวล เมื่องานชุมนุมใต้หว่านฝูผานเริ่มขึ้น พวกเราจะลงมือทันที!"ไท่อี้กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม.
"ครับ!"ลู่หยาพยักหน้ารับ.
ภายในหุบเขาของจงซาน.
เกี่ยวกับการรับคนของต้าเจิ้งนั้น จงซานมอบเป็นหน้าที่ของเซิ่งกงเป้า ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ส่วนตี้เสวียนชานั้นอยู่คอยคุ้มครองตี้เซียนเซียน.
หนึ่งเดือนหลังจากนั้น ตี้เซียนเซียนอาการคงตัว ทว่ายังไม่ฟื้น.
"อีกครึ่งเดือน เซียนเซียนก็จะฟื้น!"เป่าเอ๋อกล่าว.
ตี้เสวียนชาที่จ้องมองเซียนเซียนที่เหมือนกับนอนหลับและส่งเสียงหายใจเบา ๆ ภายในใจของเขาที่รู้สึกผ่อนคลาย.
"ไป พวกเราควรจะไปคิดบัญชีกับไท่อี้และลู่หยา!"ตี้เสวียนชาที่หันหน้าจ้องมองมายังจงซาน.