บทที่ 108 เจ้าไม่ตายดีแน่!
ปัง!
ลู่เหยียนถูกซัดลอยละลิ่วออกไปกระแทกเข้าที่ผนังเสียงดังลั่น ครั้นเปิดปากหมายจะโอดครวญก็ต้องกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
เมื่อเห็นฉากกะทันหันนี้ หลัวเฉิงถึงกับหรี่ตาลงเล็กน้อย
แม้นลู่เหยียนจะมีความแข็งแกร่งมิทัดเทียมเขา แต่ก็อยู่ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสอง เช่นนั้นแล้วยังถูกฝ่ามือซัดกระเด็นออกไปด้วยการเคลื่อนไหวเดียว!
ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยใบหน้าไม่แยแสพร้อมน้ำเสียงเย็นชา “สำมะหาอะไรกับตระกูลลู่เล็กๆ แห่งเมืองซวนเฟิง ต่อให้เป็นเจ้าเมืองซวนเฟิงมาที่นี่ด้วยตนเอง เขาก็ไม่กล้ากระทำการเหิมเกริมเช่นนี้ ข้าจะกล่าวอีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ห้ามใช้กำลังในศาลาหลิงอวิ๋น”
“กลับกันเถอะ”
ฉินหยวนเฟิงเหลือบมองหลัวเฉิงด้วยแววตาเย็นชา เขาเรียกคนรับใช้ไปพยุงร่างของลู่เหยียนให้ลุกขึ้น แล้วกำลังจะกลับออกไป
เมื่อพวกเขาเริ่มก้าวเท้า ลู่เหยียนก็จ้องเขม็งยังหลัวเฉิงด้วยแววตาโกรธแค้น “ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้าไม่ตายดีแน่! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครมาจากไหน ข้าจะตามหาเจ้าให้พบแล้วฆ่าให้ตายด้วยมือข้าเอง!”
หลัวเฉิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำขู่ที่ลู่เหยียนคนมาเมื่อครู่
ทว่า มีสิ่งหนึ่งที่ฉินหยวนเฟิงกล่าวถูก ยุทธภพแห่งนี้มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่ได้รับความเคารพ!
จึงไม่สำคัญว่าเขาจะกล่าวสิ่งใด เพราะในท้ายที่สุดแล้วมันขึ้นอยู่กับความสามารถเจ้าของวลีนั้น
หากเขารู้สึกหวาดหวั่นกับน้ำคำเพียงแค่นี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องรอนแรมไปยังสำนักซวนหยวนด้วยซ้ำ ควรกลับไปยังเมืองฉีซานจะดีกว่า
เมื่อเห็นอากับกิริยาของหลัวเฉิงยังคงสงบนิ่ง ผู้คนโดยรอบที่เฝ้ามองเหตุการณ์เมื่อครู่ ก็ต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจ
“เด็กหนุ่มคนนี้นับว่ามีความกล้าหาญอยู่มาก เขามิได้หวาดหวั่นต่อฉินหยวนเฟิงและลู่เหยียนเลยแม้แต่น้อย”
“เพราะที่นี่คือศาลาหลินอวิ๋น กฎของที่นี่ระบุไว้ชัดเจนว่าห้ามใช้กำลังทำร้ายผู้ใด ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ต้องกังวลสิ่งใดกระมัง”
“ฮ่าฮ่า เขาคงลืมสิ่งใดไปอย่าง ว่าศาลาหลิงอวิ๋นไม่สามารถปกป้องชีวิตเขาไปได้ตลอด”
เสี่ยวซวงได้ยินทุกคำสนทนา นางช้อนตามองหลัวเฉิงด้วยความกังวลใจยิ่ง ก่อนกล่าวแนะนำว่า
“คุณชายเจ้าคะ ขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือข้าเมื่อครู่ คุณชายโปรดอยู่ต่ออีกสักหน่อยเถิด ไว้ค่อยเดินทางเมื่อปลอดภัยแล้ว”
ชายวัยกลางคนผู้มีท่าทางละเอียดก่อนก้าวเข้ามาพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ไว้ข้าจะให้คนไปส่งระหว่างเดินทางออกจากที่นี่ อย่างไรก็ตาม ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับคุณชายแล้ว แต่ข้าไม่คิดว่าลู่เหยียนจะรามือโดยง่าย ดังนั้นท่านต้องระวังตัวให้มาก”
ในเมื่อหลัวเฉิงถือป้ายหยกหลิงเซียวไว้ในมือ เขาจะต้องเป็นคนสำคัญของศาลาหลินอวิ๋นเป็นแน่ ดังนั้น ระหว่างเขาอยู่ที่นี่ต้องไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้นกับเขา
อย่างไรก็ตาม ศาลาหลิงอวิ๋นไม่สามารถคุ้มครองเขาได้ตลอดไป ต่อจากนี้เขาต้องพึ่งพาความสามารถตนเองเท่านั้น
“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณผู้อาวุโส”
หลัวเฉิงพยักหน้า
กระบี่ทลายสวรรค์มีมูลค่าล้านสามแสนตำลึง แต่ด้วยส่วนลดจากป้ายหยกหลิงเซียวมันจึงเหลือเพียงล้านสี่หมื่นตำลึง
ในเวลานี้ หลัวเฉิงใช้เงินไปมากกว่าสามล้านตำลึง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเงินไหลออกจากตัวราวกับสายน้ำ
หลังจากจ่ายเงินจนครบแล้ว หลัวเฉิงก็ได้รับกระบี่ทลายสวรรค์ไว้ในครอบครอง
ตอนที่เขาคว้ากระบี่มาไว้ในมือ เขาก็รู้สึกถึงความหนักอึ้งของมันทันที
“น้ำหนักยอดเยี่ยม!”
หลัวเฉิงตระหนักอยู่ในใจว่า การที่จะใช้กระบี่เล่มนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว ความแข็งแกร่งของผู้ใช้จะต้องมีมากถึงสองหมื่นจิน
เพราะสุดท้ายแล้ว การถือกระบี่ได้กับการใช้งานกระบี่ได้อย่างอิสระนั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โชคดีที่เขาใกล้จะทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามแล้ว ทั้งยังมีพลังปราณแท้มังกร ดังนั้น ความแข็งแกร่งระดับสองหมื่นจินนั้น จึงไม่เป็นปัญหากับเขาแต่อย่างใด
ด้วยการสะบัดนิ้ว กระบี่ก็ถูกชักออกจากฝักในทันที
แสงกระบี่เรืองรองสาดส่องออกมา พร้อมด้วยดาวสองดวงจรัสแสงจางๆ ระยิบระยับ
“ช่างเป็นกระบี่ที่วิเศษนัก!”
หลัวเฉิงชมชอบในกระบี่เล่มนี้อย่างมาก
ด้วยกระบี่เล่มนี้ เขาสามารถเพิ่มพลังโจมตีได้ถึงสามส่วน ซึ่งนับว่าไม่ธรรมดาทีเดียว
ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสี่ ก็หาใช่ปัญหาสำหรับเขาแม้แต่น้อย
หลังจากดำเนินการซื้อขายเสร็จสิ้น หลัวเฉิงก็ออกจากศาลาหลิงอวิ๋นโดยไร้ซึ่งความกังวลใด
ชายวัยกลางคนผู้ดูแลศาลา ได้สั่งให้ชายชราปกป้องหลัวเฉิงไปจนถึงโรงเตี๊ยมที่เขาพักอยู่
“บัดซบที่สุด! ศาลาหลิงอวิ๋น เจ้าบ้านั่นส่งคนมาคุ้มกันมันจริงๆ ด้วย!”
บนชั้นสองของโรงเตี๊ยมด้านหน้าศาลาหลินอวิ๋น ลู่เหยียนซึ่งมีใบหน้าซ้ายบวมปูด จ้องหลัวเฉิงที่กำลังเดินผ่านไปทางด้านล่าง ดวงตาเขาลุกวาวราวเปลวเพลิงอันร้อนระอุ
“ลู่เหยียน เจ้าควรระวังวาจาตนเอาไว้หน่อยก็ดี ศาลาหลิงอวิ๋นนั้นมิใช่กองกำลังธรรมดา ไม่ต้องกล่าวถึงตระกูลลู่ของเจ้าเลย ต่อให้เป็นทั่วทั้งอาณาจักรต้าเยว่ก็หาได้อยู่ในสายตาพวกเขาไม่”
องค์หญิงฮัวกล่าวแนะนำ แต่ดวงตาอันงดงามของนางทอดมองยังแผ่นหลังของหลัวเฉิง ประหนึ่งว่านางกำลังนึกถึงบางสิ่ง
“เราจะปล่อยให้ไอ้เด็กนี่หลุดมือไปเช่นนี้งั้นหรือ?”
ลู่เหยียนกล่าวด้วยสุ้มเสียงไม่พอใจ ก่อนฟาดถ้วยชาในมือลงพื้นจนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น คนรับใช้จึงกล่าวว่า “นายน้อย ท่านต้องการให้ข้าไปสืบดูหรือไม่ ว่าเขาพักอยู่แห่งใด?”