บทที่ 107 ไม่ต้องพล่ามให้มากความ
ควับ!
เมื่อคนรับใช้ชุดเขียวง้างมือขึ้นกำลังจะตบหน้าเสี่ยวซวง จู่ๆ มือหนึ่งก็เอื้อมมาคว้าหยุดมือของคนรับใช้ผู้นั้นไว้
หลัวเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ก็แค่สุนัขตัวหนึ่ง ไฉนกล้าเห่าหอนต่อหน้าข้า”
ระหว่างที่กล่าว หลัวเฉิงก็ใช้กำลังที่มือบีบแขนขวาของคนรับใช้ผู้นั้น
“อ๊า! อ้า! อ้า! มือของข้า! ปล่อยมือของข้า! อ่าห์....”
คนรับใช้ชุดเขียวร่ำร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เขาก็ถึงกับทรุดเขาลงกุมแขนข้างที่ถูกบีบ
ด้วยกำลังวังชาของหลัวเฉิงที่มากถึงหมื่นหกพันจิน ต่อให้คนรับใช้ผู้นั้นอยู่ในช่วงกลางของขั้นหลอมกายา กระดูกของเขาก็จะสามารถถูกบดขยี้ได้อย่างง่ายดาย
“เจ้าหนู เจ้ามันช่างรนหาที่ตาย!”
ลู่เหยียนตะคอกน้ำเสียงแข็งกร้าว แล้วจ้องหลัวเฉิงด้วยดวงตารูปสามเหลี่ยมคู่หนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย
ฉินหยวนเฟิงซึ่งเป็นบุรุษในอาภรณ์น้ำเงินหรี่ตาเล็กน้อย “เจ้าเป็นใคร ไฉนจึงกล้าลงมือกับพวกเรา”
หลัวเฉิงปล่อยคนรับใช้แล้วกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าซื้อกระบี่ทลายสวรรค์เล่มนี้แล้ว ข้าแค่สั่งสอนเจ้าคนรับใช้ไม่รู้ความให้รู้จักเคารพผู้อื่นเสียบ้างก็เท่านั้นเอง”
“เคารพผู้อื่นงั้นหรือ? ฮ่าๆ ในยุทธภพนี้ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะได้รับความเคารพ เจ้าคิดว่าเราควรเคารพให้กับมดปลวกที่คลานอยู่บนพื้นกระนั้นหรือ?”
ฉินหยวนเฟิงยิ้มเยาะขณะเหลือบมองหลัวเฉิงแล้วกล่าวว่า “เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ หากเจ้ามอบกระบี่ทลายสวรรค์เล่มนั้นมา ข้าจะถือว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
เขาเพียงแค่อยากได้กระบี่ทลายสวรรค์เล่นนี้เท่านั้น หนำซ้ำกระบี่เล่มนี้จะมิอาจสำแดงพลังได้เต็มที่หากผู้ใช้มันเป็นคนไร้ค่า
นอกจากนี้ ในเมื่ออีกฝ่ายล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาแล้ว แต่กลับกล้าที่จะกระทำการอุกอาจเช่นนี้ แสดงว่าเบื้องหลังของชายผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดาเป็นแน่
หลัวเฉิงกล่าวน้ำเสียงเฉยเมย “ไยข้าต้องมอบกระบี่เล่มนี้ให้เจ้าด้วย”
ใบหน้าของฉินหยวนเฟิงเข้มขึ้นในทันที “เช่นนั้นหมายความว่า เจ้าจะไม่รับข้อเสนอของข้างั้นหรือ?”
“หยวนเฟิง! ไม่ต้องพล่ามกับมันให้มากความ เจ้ากล้าดียังไงมาทำร้ายคนของข้า!”
ลู่เหยียนไม่รอช้าอีกต่อไป เขาแผดร้องด้วยความเกรี้ยวกราด แล้วพุ่งหมัดเข้าหาหลัวเฉิงทันที
เมื่อเห็นฉากนี้ ผู้คนโดยรอบก็ต่างสูดหายใจเข้าลึกๆ
ลู่เหยียนอยู่ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสอง หมัดนี้ย่อมรุนแรงมากเป็นธรรมดา หากว่าโดนเข้าไปไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตเป็นแน่
หลายคนถึงกับคิดว่าหลัวเฉิงนั้นงี่เง่าเกินไป
เพียงแค่กระบี่เล่มเดียว หากพวกนั้นต้องการมันก็แค่มอบให้แต่โดยดี มันก็คล้ายดั่งการจ่ายเงินไปเพื่อต่อลมหายใจของตนเอง!
ผู้คนโดยรอบต่างก็รู้สึกเวทนาหลัวเฉิง
ทันใดนั้น ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างฉับพลัน
หลัวเฉิงรับหมัดของลู่เหยียนด้วยฝ่ามือเดียว จากนั้นตัดมือตบหน้าลู่เหยียนดังฉาด
ส่งร่างนั้นลอยละลิ่วออกไปกระแทกพื้นอย่างรุนแรง บนใบหน้าด้านซ้ายของลู่เหยียนปรากฏรอยฝ่ามือประทับห้านิ้วอย่างชัดเจน
ฉากที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้พานให้ผู้คนโดยรอบตกตะลึง
“ไอ้เด็กสารเลว ข้าจะสับร่างเจ้าเป็นชิ้นๆ!”
ลู่เหยียนรู้สึกอับอายเคล้าเดือดดาลจนเส้นเลือดใต้ผิวหนังในลำคอของเขาปูดโปน แววตาที่จับจ้องหลัวเฉิงในยามนี้เต็มไปด้วยจิตสังหารอันรุนแรง!
โห่ว!
ขณะที่เขากล่าว หมียักษ์ที่ในกายมีดาวจรัสสี่ดวงก็ปรากฏตัวขึ้นมาเบื้องหลังของลู่เหยียน เขาโคจรพลังยุทธ์ไปทั่วร่างเตรียมจะเข้าโจมตีอย่างสุดกำลัง
ขณะนั้นเอง
“หยุด!”
เสียงแผดตะโกนดังราวฟ้าคำรณก็สะท้านทั่วทั้งโถง พานให้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างตกตะลึงงัน เพราะเสียงนั้นแสบสะท้านเข้าไปยังแก้วหูจนแทบแตก
เสียงนั่นสนั่นมาจากชายวัยกลางคนท่าทางละเอียดอ่อนที่หลัวเฉิงพบก่อนหน้านี้ ทว่าแรงกดดันที่มาพร้อมกับเขานั้นหนักอึ้งประหนึ่งขุนเขา แต่สีหน้านั้นไร้ซึ่งความโกรธ
“ห้ามใช้กำลังในศาลาหลิงอวิ๋นเด็ดขาด หากยังไม่หยุดตอนนี้ ก็อย่าได้กล่าวหาว่าข้าไร้ปรานี!”
หลังสิ้นเสียง ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็จ้องไปทางหลัวเฉิงด้วยสายตาดุจเดียวกับสายฟ้า แล้วค่อยๆกวาดไปทางลู่เหยียนและคนอื่นๆ ในโถงอย่างแช่มช้า
ยามนี้ ใบหน้าด้านซ้ายของลู่เหยียนปูดบวม แล้วเขาก็ตะคอกด้วยความโกรธ
“นามข้าคือลู่เหยียน นายน้อยของตระกูลลู่แห่งเมืองซวนเฟิง! ชายผู้นี้กล้าตบหน้าข้า นั่นก็เท่ากับว่าเขาตบหน้าตระกูลลู่เช่นเดียวกัน ความผิดร้ายแรงเยี่ยงนี้มิอาจให้อภัยได้! ผู้อาวุโสโปรดให้ความเป็นธรรมแก่ข้า”
ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างเนิบนาบ “ความแค้นของเจ้า ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า”
“ฮึ่ม เช่นนั้นข้าจะไปทวงความยุติธรรมกับเขาด้วยตัวเอง!”
ลู่เหยียนสูดหายใจอย่างเย็นชา เนื่องจากเขาประสบกับความอับอายครั้งใหญ่ ไฉนจะทนนิ่งเฉยอยู่ได้เล่า ขณะวิญญาณยุทธ์ยังไม่คืนเข้าร่าง เขาก็เบนกายสืบเท้าเข้าหาหลัวเฉิงทันที
“อวดดีนัก!”
ชายวัยกลางตวาดอย่างเกรี้ยวกราด ดวงตาของเขาทอประกายสว่างวาบ และปราณแท้ก็ระเบิดจากร่างเขาทันใด