ตอนที่ 57 การประลองเริ่มต้นขึ้น
ตอนที่ 57 การประลองเริ่มต้นขึ้น
ยอดเขาขนนก
วันนี้ยอดเขาขนนกดูคึกคักกว่าที่เคย
ศิษย์ภายนอกหลายพันคนมาพร้อมหน้า วันสุดท้ายนี้จ้าวสำนักและสี่ผู้อาวุโสมาด้วยตนเอง ทุกคนต่างตั้งตารอการประลองในวันนี้อย่างใจจดใจจ่อ
หลินมู่มาถึงยอดเขาขนนกและเหมือนเช่นเคย เขาเลือกมุมที่ไม่มีใครอยู่เพื่อยืนรอการประลองอย่างเงียบ ๆ
แต่ไม่เหมือนทุกวัน เพียงหลินมู่ไปยืนที่เดิมก็มีคนกลุ่มใหญ่กรูเข้ามาคำนับและทักทายอย่างอบอุ่น
มุมที่เคยว่างเปล่ากลับแน่นขนัดขึ้นมาในทันที
หลินมู่รู้สึกประหลาดใจ คนเหล่านี้กระตือรือร้นมากเกินไปจนหลินมู่ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร
หากเป็นการต่อสู้หลินมู่ไม่กลัวใคร แต่หากเป็นการเข้าสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนจำนวนมาก หลินมู่ไม่สามารถปรับตัวได้
หลินมู่ยิ้มอย่างฝืน ๆ และกล่าวขอบคุณทุกคน
หลังจากคำนับเสร็จแล้ว ทุกคนยังคงไม่แยกย้ายไปไหนยังคงล้อมรอบหลินมู่พูดคุยกันเสียงดังราวกับหม้อน้ำเดือด
“ศิษย์พี่ ท่านสุดยอดไปเลย!”
“ศิษย์พี่ ความแข็งแกร่งของท่านไร้เทียมทาน แม้แต่เยวี่ยซิงก็ยังไม่อาจเอาชนะท่านได้”
“ศิษย์พี่ ขอคำชี้แนะเคล็ดลับสักหน่อยเถอะ”
“ศิษย์พี่ ท่านต้องคว้าตำแหน่งห้าอันดับแรกให้ได้นะ”
“ศิษย์พี่ ศักดิ์ศรีของพวกเราศิษย์ขั้นต่ำขึ้นอยู่กับท่านแล้ว”
…
เสียงดังอื้ออึง คลื่นเสียงซัดเข้ามาไม่ขาดสาย หึ่ง ๆ อยู่ข้างหูหลินมู่ไม่หยุดหย่อน
หลินมู่รู้สึกวิงเวียน คนมากมายต่างกรูเข้ามาพร้อมกัน พูดจาไม่หยุดปากน้ำลายกระเด็นใส่ยิ่งกว่าวิชาลูกบอลน้ำเสียอีก
หลินมู่แทบจะรับมือไม่ไหวอยากจะเผ่นหนีไปเสียให้ได้
แต่คนรอบข้างเบียดเสียดกันแน่น แทบจะไม่มีที่ให้ขยับหลินมู่ไม่สามารถหลุดรอดไปได้เลย
ในตอนนั้น ศิษย์ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสามคนหนึ่งพยายามเบียดเข้ามาหาหลินมู่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ศิษย์พี่ การประลองครั้งนี้ท่านต้องชนะให้ได้นะ” เขาดูตื่นเต้นมาก จับแขนหลินมู่แน่น พร้อมกับพูดเสียงแหบพร่าว่า “ข้าพนันกับเพื่อนไว้ว่าท่านจะต้องได้เป็นหนึ่งในห้าอันดับแรก ข้าลงทุนหินวิญญาณระดับต่ำสามก้อนนี่มันรายได้สามเดือนของข้าเลยนะ ท่านต้องพยายามให้เต็มที่นะ”
หลินมู่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย ค่อย ๆ ดึงแขนออกจากการเกาะกุมของชายคนนั้นแล้วตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”
ชายคนนั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “หินวิญญาณของข้าฝากไว้กับท่านแล้ว” เห็นได้ชัดว่าเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวหลินมู่
ทันใดนั้นหลัวเฉินก็เหาะเหินเดินอากาศมายืนอย่างสง่าผ่าเผยอยู่บนท้องฟ้า แล้วประกาศเสียงดังว่า “ศิษย์ทั้งสิบห้าคนที่เข้าร่วมการประลองทั้งหมด ให้มาที่วิหารขนนกเดี๋ยวนี้”
เมื่อหลินมู่ได้ยินก็รู้สึกดีใจในที่สุดก็จะได้หลุดพ้น การรับมือกับศิษย์เหล่านี้เหนื่อยยิ่งกว่าการประลองเสียอีกหลินมู่รีบร่ายวิชาควบคุมลมแล้วลอยไปทางวิหารขนนกท่ามกลางสายตาอาลัยอาวรณ์ของเหล่าศิษย์
ศิษย์ทั้งสิบห้าคนมาถึงหน้าวิหารขนนกแล้วมายืนเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดานตรงบันไดหน้าวิหาร
ทุกคนเรียงแถวจากซ้ายไปขวาตามลำดับความแข็งแกร่ง หรือระยะเวลาที่เข้าสำนักหลินมู่ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาที่เข้าสำนักหรือขอบเขตยุทธ์ก็ตาม ล้วนอยู่ในอันดับท้าย ๆ ในบรรดาสิบห้าคนนี้ ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ทางขวาสุดหลัวอวิ๋นยืนอยู่ทางซ้ายของเขา ส่วนเซียงอี้และเยวี่ยซิงยืนอยู่ทางซ้ายสุด คนที่เหลือยืนอยู่ตรงกลางตามลำดับของขอบเขตยุทธ์
โลกแห่งการฝึกตนนั้นมีลำดับชั้นที่เข้มงวด แม้แต่ตำแหน่งที่ยืนก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง
ทันทีที่ทุกคนยืนเข้าที่ เสียงดนตรีจากสรวงสวรรค์ก็ดังมาแต่ไกล เสียงขลุ่ยที่ไพเราะและนุ่มนวลทำให้ผู้คนเคลิบเคลิ้ม
จ้าวสำนักซื่อเว่ยฮั่นและสี่ผู้อาวุโสเหยียบเมฆามงคลลอยมาอย่างเชื่องช้า
เมฆามงคลค่อย ๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ ในชั่วพริบตาก็มาถึงเหนือวิหาร แล้วค่อย ๆ ลอยลงมาจากท้องฟ้า
จ้าวสำนักและสี่ผู้อาวุโสยังไม่ทันได้ลงถึงพื้น ศิษย์หลายพันคนที่อยู่ด้านล่างก็คุกเข่าลงพร้อมกัน
“เคารพท่านจ้าวสำนัก!”
เสียงดังกึกก้องราวกับระฆัง ก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
จ้าวสำนักและสี่ผู้อาวุโสค่อย ๆ ลงมาจากฟ้ามายืนอยู่หน้าวิหาร โดยมีซื่อเว่ยฮั่นยืนอยู่ตรงกลาง
ซื่อเว่ยฮั่นพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมกับรอยยิ้มบางแล้วพูดเบา ๆ ว่า “พวกเจ้าลุกขึ้นได้”
แม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่คนหลายพันคนที่อยู่ด้านล่างกลับได้ยินอย่างชัดเจนราวกับเสียงกระซิบข้างหู
“การประลองใหญ่ภายในสำนักครั้งนี้ ได้ดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ได้คัดเลือกผู้เข้ารอบสิบห้าคนสุดท้ายออกมาแล้ว” เมื่อทุกคนลุกขึ้นยืนซื่อเว่ยฮั่นกล่าวต่อว่า “วันนี้เป็นวันประลองตัดสิน จะคัดเลือกผู้ชนะห้าอันดับแรกออกมา กติกาการประลองพวกเจ้าคงรู้แล้ว ส่วนรางวัลข้าก็ได้บอกพวกเจ้าไปแล้ว”
ซื่อเว่ยฮั่นกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า “ข้าจะไม่พูดพร่ำทำเพลง การประลองเริ่มต้นเดี๋ยวนี้”
ในตอนนั้นผู้อาวุโสคนหนึ่งซึ่งไม่ค่อยปรากฏตัวก็เดินออกมา นั่นคือผู้อาวุโสฮุ่ยเหวิน
ผู้อาวุโสฮุ่ยเหวินมีสีหน้าสงบนิ่งลอยขึ้นไปเหนือลานประลองแล้วโบกมือไปมา แสงสีเหลืองดินก็วาบขึ้น เวทีสูงห้าแห่งก็ผุดขึ้นกลางลานประลองราวกับมีเวทมนตร์
แต่ละเวทีมีขนาดสิบจ้างกว้าง สิบจ้างยาว และสูงประมาณสามจ้าง ทั้งหมดสร้างขึ้นจากหินสีเขียวแข็งแกร่ง
ผู้อาวุโสฮุ่ยเหวินสามารถสร้างเวทีทั้งห้าขึ้นมาได้เพียงโบกมือ ทำให้ทุกคนต่างประหลาดใจในความสามารถด้านเวทมนตร์ธาตุดินของเขา
นี่คือเวทีประลองทั้งห้าสำหรับวันนี้
ต่อไปก็ถึงช่วงสำคัญของวันนี้
จ้าวสำนักและสี่ผู้อาวุโสจะเลือกศิษย์ออกมาหนึ่งคนเพื่อขึ้นไปประจำเวที
แม้ว่าคนที่ขึ้นไปประจำเวทีก่อนจะไม่ได้เปรียบอะไรมากนัก แต่ในสายตาของทุกคน นี่ถือเป็นการได้รับการยอมรับจากจ้าวสำนักและสี่ผู้อาวุโส
ศิษย์ทั้งสิบห้าคนจ้องมองจ้าวสำนักและสี่ผู้อาวุโสด้วยสายตาที่ร้อนแรง
จ้าวสำนักซื่อเว่ยฮั่นเป็นคนแรกที่ลุกขึ้น เขาลอยไปยังเวทีแรกแล้วเอ่ยชื่อแรกออกมาว่า “เซียงอี้!”
ด้านล่างดังขึ้นด้วยเสียงเชียร์เซียงอี้เป็นผู้ที่มีโอกาสคว้าแชมป์มากที่สุด การที่จ้าวสำนักเลือกเขาขึ้นไปประจำเวทีด้วยตัวเอง ถือเป็นการยอมรับในความสามารถของเขา
เซียงอี้ยิ้มรับ แล้วร่ายวิชาควบคุมลมลอยขึ้นไปบนเวที
เทพธิดาฮั่นปิงตามมาติด ๆ ลอยอยู่กลางอากาศ แล้วเอ่ยปากเสียงหวานว่า “หลัวอวิ๋น!”
หลัวอวิ๋นผู้เป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบร้อยปีของสำนัก การที่เขาได้รับเลือกจากเทพธิดาฮั่นปิงนั้นไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย
สายตาของจ้าวสำนักและผู้อาวุโสล้วนเฉียบคมเป็นอย่างยิ่ง โดยทั่วไปแล้วคนที่ได้รับเลือกจากจ้าวสำนักและผู้อาวุโสมักจะได้เป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกในท้ายที่สุด
แน่นอนว่าก็มีข้อยกเว้นอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย
ผู้อาวุโสฮุ่ยเหวินลอยอยู่กลางอากาศเช่นกัน แล้วประกาศเสียงดังว่า “เว่ยเชิ่ง!”
เขาก็เป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่น เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบ
ผู้อาวุโสแต่ละคนจะดูแลหนึ่งเวที ศิษย์ที่สามารถยืนหยัดอยู่บนเวทีได้จนถึงที่สุดก็จะได้เป็นหนึ่งในห้าอันดับแรก
จ้าวสำนักซื่อเว่ยฮั่นเคยกล่าวไว้ว่าศิษย์ผู้ใดที่ได้เป็นหนึ่งในห้าอันดับแรกจะได้รับโอกาสในการทะลวงสู่ขอบเขตสร้างรากฐาน
หลังจากเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐานแล้ว คนเหล่านี้จะสามารถขอฝากตัวเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสหรือจ้าวสำนักได้ รับการชี้นำโดยตรงจากจ้าวสำนักและผู้อาวุโส
หากได้รับเลือกจากผู้อาวุโสหรือจ้าวสำนักในตอนนี้ก็มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นศิษย์ของคนผู้นั้นในอนาคต นี่ทำให้ทั้งสามคนที่ได้รับเลือกต่างรู้สึกยินดี
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องได้เป็นหนึ่งในห้าอันดับแรก มิเช่นนั้นแม้จะได้รับเลือกก็ไม่มีประโยชน์อันใด
หลินมู่ไม่ได้คาดหวังอะไรกับตัวเอง
หากผู้อาวุโสไม่ได้ตาบอด ก็สามารถมองเห็นได้ง่าย ๆ ว่าขอบเขตยุทธ์ของเขาต่ำที่สุดในบรรดาสิบห้าคนจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ได้รับเลือกให้ขึ้นไปบนเวที
หลินมู่ก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร เขาฝากความหวังไว้กับโอกาสในการท้าประลองสองครั้งนั้น หากสามารถเอาชนะศิษย์ที่อยู่บนเวทีได้ เขาก็จะสามารถขึ้นไปแทนที่ได้
เหล่าผู้อาวุโสยังคงเลือกศิษย์ที่จะขึ้นไปประจำเวทีต่อไป
ผู้อาวุโสเหลียงเจิ้งก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศเช่นกัน แล้วประกาศอย่างหนักแน่นว่า “เฟยซิน!”
เขาก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบเช่นกัน
ในบรรดาสิบห้าคนนี้ มีผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบอยู่แปดคน ขั้นเก้าอยู่หกคน และมีเพียงหลินมู่คนเดียวที่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปด
ในบรรดาคนที่ได้รับเลือกสี่คนแรกนี้ นอกจากหลัวอวิ๋นแล้ว ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังไม่เคยพ่ายแพ้เลยตลอดการประลองครั้งนี้
สายตาของจ้าวสำนักและสี่ผู้อาวุโสช่างเฉียบคมจริง ๆ!
แววตาของเยวี่ยซิงเป็นประกาย เขาเหลือบมองหลินมู่อย่างรวดเร็ว หากเขาไม่แพ้หลินมู่เขาก็คงมีโอกาสได้ขึ้นไปยืนบนเวทีเช่นกัน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเขาก็หม่นลง
ในตอนนั้นผู้อาวุโสลั่วเหยียนผู้ซึ่งมีอายุมากที่สุดในสำนักก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศเช่นกัน กวาดสายตามองศิษย์ที่เหลืออีกสิบเอ็ดคน แล้วหรี่ตาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หลินมู่!”
ด้านล่างต่างส่งเสียงฮือฮาด้วยความตกตะลึง ทุกคนต่างไม่อยากจะเชื่อว่าหลินมู่ผู้อยู่ในขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปดจะได้รับเลือกจากผู้อาวุโสลั่วเหยียน
มันเหลือเชื่อจริง ๆ
สีหน้าของศิษย์ที่เหลืออีกสิบคนต่างเปลี่ยนไปทันที บางคนอิจฉา บางคนริษยา
ในบรรดาคนเหล่านี้ สีหน้าของเยวี่ยซิงดูแย่ที่สุด
หลินมู่เองก็รู้สึกประหลาดใจมาก เขาคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าอาวุโสลั่วเหยียนจะเลือกตน
หลินมู่รีบร่ายวิชาควบคุมลมแล้วลอยไปยังเวทีสุดท้าย