Chapter 359 สืบสวน.
สืบสวน.
จงซานที่ยืนอยู่ด้านหน้าตำหนักของกงจูเฉียนโหยวพลางสูดหายใจลึก.
สถานที่แห่งนี้มีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงยุติธรรมเฝ้าอยู่ ทุกคนถือกระบี่ กระจายอยู่รอบ ๆ พื้นที่ดังกล่าว.
"ใครกัน?"ชายในชุดดำเจ้าหน้าที่กระทรงยุติธรรมที่เอยออกมาในทันที.
"ข้ารับพระบัญชาจากเหนือหัว ให้มาสืบเรื่องกงจูเฉียนโหยวโดยเฉพาะ กระบี่อาญาสิทธิ์อยู่นี่แล้ว!"จงซานที่เอยออกมา.
จื่อเห่าที่เผยกระบี่อาญาศิษย์ในทันที.
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ขมวดคิ้วไปมา จากนั้นได้ใช้สัมผัสเทวะตรวจสอบกระบี่อาญาสิทธิ์.
"อ๊ากกก ๆ "
ชายคนดังกล่าวที่ร้องโอดโอยเจ็บปวดทรมานออกมาในทันที.
"ใต้เท้า!"เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาที่ล้อมกรอบเตรียมเข้าจับกุมในทันที.
"หยุด!!!"เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวที่กุมหน้าผากของตัวเองเอาไว้.
"หืม?"เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่แสดงท่าทางสงสัย.
"ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่น ๆ ปี."เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวที่ตั้งสติพร้อมกับกล่าวออกมาด้วยความเคารพ.
เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม ที่ตั้งสติได้ต่างก็ตะโกนออกมาพร้อม ๆ กัน "ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่น ๆ ปี."
จงซานที่ไม่ได้ใส่ใจพวกเขา ก่อนที่จะพาจื่อเห่าเข้าไปในตำหนักกงจูเฉียนโหยว.
ทันทีที่เข้ามาในตำหนัก จงซานที่สูดหายใจลึก.
ตำหนักกงจูเฉียนโหยวที่เต็มไปด้วยความหดหู่ แม้แต่เหล่าข้ารับใช้ยังไม่มี ดูเงียบเหงาวังเวงเป็นอย่างมาก.
ด้วยสัมผัสเทวะของอาต้าและอาเอ้อที่ตรวจสอบสถานที่พร้อมกับรอคอยอยู่.
"กงจู เซี่ยนเซิงมา กงจู...."อาต้าที่กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น.
"กงจู เป็นเซียนเซิงจริง ๆ !"อาเอ้อที่กล่าวออกมาด้วยความดีใจ.
"ตึบ ตึบ ตึบ...."ได้ยินเพียงแค่เสียงฝีเท้า กงจูเฉียนโหยวที่วิ่งออกมายังทางออก แววตาที่เต็มไปด้วยความหวังและความตื่นเต้น.
จงซานที่นำจื่อเห่าเข้ามาด้านใน.
"ข้ารู้เซียนเซิงจะต้องมาอย่างแน่นอน."อาต้าที่กล่าวออกมาด้วยความดีใจ กำหมัดด้วยความตื่นเต้น.
อาต้าเองก็มองไปยังจงซานด้วยความตื่นเต้นด้วยเช่นกัน.
ส่วนกงจูเฉียนโหยวนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใด นางที่เผยยิ้มออกมาเล็กน้อย ทว่าเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความวางใจ.
"กงจู ข้ากลับมาแล้ว!"จงซานที่จ้องมองไปยังกงจูเฉียนโหยว.
"ข้ารู้ว่าท่านต้องมา!"บนใบหน้าของกงจูเฉียนโหยวยิ้มออกมาด้วยความพึงใจ.
อาต้า อาเอ้อและจื่อเห่าย่อมเข้าใจได้ดี พวกเขาที่ออกมาด้านนอกห้องโถง คุ้มกันด้านนอกเอาไว้.
เห็นใบหน้าของกงจูเฉียนโหยวที่ซีดขาว ร่างกายที่ผอมแห้ง ดูมืดมน ความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นสั่นไหวโดยไม่ได้ตั้งใจ ในเวลานี้ จงซานพบแล้วว่า ความเป็นจริงแล้วเขาเองก็มีความรู้สึกที่มากมายให้กับนางเช่นกัน เขาที่พยายามผลักให้นางออกห่าง ทว่าในเวลานี้ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรแล้ว จวบจนถึงตอนนี้ จงซานสามารถยืนยันความรู้สึกของตัวเองที่มีได้อย่างแน่นอน.
เขาจำเป็นต้องซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเอง ว่าตัวเขานั้นก็มีนางอยู่ในใจด้วยเช่นกัน.
ในเมื่อรับรู้หัวใจของตัวเองแล้ว จงซานจึงไม่หลบเลี่ยงนางอีกต่อไป.
จงซานที่ยื่นมือออกไปช้า ๆ ลูบใบหน้าของนางอย่างนุ่มนวล กล่าวออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา "เจ้าผอมไปมากนะ!"
มือของจงซานที่ยืดออกไปนั้น กงจูเฉียนโหยวไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย แม้แต่ความรู้สึกนี้ มันคือสิ่งที่นางรอคอยมานานแสนนาง รอยยิ้มที่ซาบซึ้งเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นดีใจ กับคำพูดของจงซาน "เจ้าผอมไปมากนะ" ในเวลานี้ น้ำตาของนางที่พรั่งพรูหลั่งไหลออกมาเป็นสาย.
"พรึบ!!"
กงจูเฉียนโหยวที่โผร่างเข้าหาจงซาน เข้าสู่อ้อมกอดของเขา น้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด.
จงซานที่แสดงความรักต่อนาง นางเองก็เต็มไปด้วยความรักที่มีต่อเขามากมาย ความรู้สึกที่มากล้นนี้ไม่ใช่แค่วันนี้ ทว่าเป็นเวลาก่อนหน้าที่สะสมอยู่ในใจของนาง.
ยิ่งต้องรักษาระยะห่าง ความโหยหาก็ยิ่งมากมายเป็นทุน หัวใจที่คะนึงหานี้ มันได้สุกงอมไปเรียบร้อยแล้ว.
นับตั้งแต่หยิงหนิงตายไป นางก็ถูกคุมขัง ดูเหมือนว่าญาติพี่น้องตระกูลกู่ ทุกคนที่ตัดสัมพันธ์ในทันที ทุกคนก่อนหน้าที่ที่เคยสนิทชิดเชื้อ ทันใดนั้นได้กลายเป็นคนไม่รู้จักไป เหนือหัวที่โกรธเกรี้ยวไม่สนใจนาง แม้แต่บิดาของนาง ยังหลีกหนีไม่ขอยุ่งเกี่ยว.
เหล่าคนที่เคยสนับสนุนเปลี่ยนเป็นไม่แยแส ราวกับว่าโลกทั้งใบได้กลับข้างไปแล้ว ไม่มีใครยินดีที่จะช่วยนางแม้แต่น้อย ราวกับว่านางได้ไปยืนอยู่ในป่าทึบเพียงคนเดียว ยืนนิ่งอยู่ด้วยความกลัว เงียบเหงาอย่างที่สุด ความโศกเศร้า ความเสียใจที่อัดแน่นอยู่ภายในหัวใจ ในเวลานั้น มีเพียงแค่จงซาน มีเพียงจงซานที่นางเชื่อใจได้แน่นอน เทียบกับเหล่าญาติพี่น้องตระกูลกู่แล้วยังเทียบไม่ได้กับจงซาน ภายในใจที่คิดถึงปรารถนาที่จะให้จงซานมาปรากฏต่อหน้านาง นางที่ได้แต่เฝ้าปรารถนา และแล้วความปรารถนาของนางก็เป็นผล นางที่กำลังอยู่ในอ้อมกอดของเขา นางที่ไม่คิดอะไรอีกต่อไปอีกแล้ว ไม่ว่าด้านนอกจะมีลมมีฝนรุนแรงแค่ใหน ณ ตอนนี้ กงจูเฉียนโหยวรับรู้แล้ว่าจงซานคือคนที่นางรักที่สุด นางไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าจะถูกพัดพาด้วยสายน้ำหลากที่รุนแรงแค่ใหน.
จงซานที่มาปรากฏตรงนี้ ราวกับเป็นความฝัน กงจูเฉียนโหยวที่กอดจงซานแน่นราวกับว่าเขาจะจางหายไป.
ไม่มีคำพูดใดมีเพียงแค่อ้อมกอดของเขาที่รัดแน่นแต่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น.
กงจูเฉียนโหยวในเวลานี้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาในทันที ใบหน้าของนางที่เปื้อนยิ้มด้วยความพอใจ แม้ในอดีตนางจะเป็นหญิงสาวแกร่ง ทว่ามันหายไปหมดไม่มีเหลือ ตอนนี้เป็นได้แค่เพียงผู้หญิงตัวน้อยในอ้อมกอดของจงซาน เป็นผู้หญิงตัวน้อยที่ต้องการคนปกป้อง ไม่คิดเลยว่าภายในอ้อมกอดของเขา ต่อให้มีลมพายุที่รุนแรงขนาดใหน นางก็ไม่หวาดกลัว รู้สึกได้ถึงความสุข ความอบอุ่นที่ราวกับอยู่ในสรวงสวรรค์.
ภายในใจของจงซานเองก็รู้สึกอบอุ่นเช่นเดียวกัน จ้องมองไปยังกงจูเฉียนโหยวในอ้อมกอด มือของเขาที่โอบกอดนาง พร้อมกับสัมผัสเบา ๆ ที่ผมยาวของนาง ปลอบนางด้วยความนุ่มนวล ทว่าในเวลานี้ เขาพบว่านางได้เผลอหลับไปแล้ว คาดไม่ถึงเลยว่าจะหลับไปภายใต้อ้อมกอดของจงซาน.
เป็นถึงผู้ฝึกตนจักรพรรดิแท้ผู้เคร่งขรึม ร้องไห้และก็ร้องให้จน ผลอยหลับไปอย่างงั้นรึ?
จงซานที่เผยยิ้มด้วยความรักและอาทร อุ้มนางเข้าไปยังห้องด้านใน ก่อนที่จะวางนางบนเตียงหยกอย่างนุ่มนวล พร้อมกับนำผ้าห่มคลุมร่างให้กับนาง.
จ้องมองกงจูเฉียนโหยวที่นอนหลับด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับลูบผมของนางไปมา.
ด้วยความกดดันและปัญหาที่โถมกระหน่ำมายังร่างของนาง ทำให้นางอยู่ในสภาวะตึงเครียด จนทำให้ร่างกายผอมแห้ง จิตใจที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ปมที่ผูกมัดกันแน่นไปหมด จิตใจที่สูญเสียความเยือกเย็น ภายในเต็มไปด้วยความมืดมิด จวบจนเมื่อนางได้พบกับจงซาน สิ่งที่นางแบกไว้จึงสามารถวางมันลงได้ ทำให้นางผ่อนคลาย จนรู้สึกหมดแรงและหลับไปเอง.
กงจูเฉียนโหยวที่เหนื่อยล้า และได้พักผ่อนไปหนึ่งวัน.
ขณะที่กงจูเฉียนโหยวตื่นขึ้น ก็พบว่าจงซานยังคงอยู่ข้าง ๆ นาง กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง มือของเขาที่ยังกุมมือของนางไม่ยอมปล่อย.
ความอบอุ่นที่แผ่ซานออกมาจากมือของจงซาน ทำให้ใบหน้าของกงจูเฉียนโหยวใบหน้าแดงระเรื่อ ร่างกายที่ขยับ ทำให้จงซานรู้สึกตัว.
"ตื่นแล้วรึ?"จงซานกล่าว.
"อืม!"กงจูเฉียนโหยวที่พยักหน้าด้วยท่าทางเขินอาย.
นี่นับเป็นครั้งแรกที่เห็นท่าทางเช่นนี้ของกงจูเฉียนโหยว ในอดีตนางที่สุขุมใจเย็น ไม่คิดเลยว่าความสุขุมนั้นได้หายไปจากใบหน้าของนางแล้ว.
"เอาล่ะ หนึ่งเดือน ยิ่งนับวันเวลาก็ยิ่งไหลผ่าน พวกเรามาพูดเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกันเถอะ!"จงซานที่สูดหายใจลึก.
"หนึ่งเดือน?"กงจูเฉียนโหยวสอบถาม.
"ใช่แล้ว ฝ่าบาทให้เวลาข้าหนึ่งเดือน สืบเรื่องของเจ้าให้กระจ่าง.
"จะเป็นไปได้อย่างไร เหล่าขุนนางไม่มีใครกล้ากล่าวอะไรในเวลานี้ ก่อนหน้านี้ ฝ่าบาทที่เคยเอ็นดูข้า กลับโกรธเกรี้ยว แม้แต่ห้ามไม่ให้ใครเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก."กงจูเฉียนโหยวกล่าว.
"เฮ้เฮ้ ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ในความเห็นของข้า ในท้องพระโรงนั้น คนที่เป็นห่วงเจ้าที่สุด ก็คือฝ่าบาท!"จงซานที่สูดหายใจลึก.
"ฝ่าบาทนะรึ?"กงจูเฉียนโหยวที่แสดงท่าทางสงสัย.
"ถูกแล้ว เรื่องนี้ซับซ้อนมาก หลักฐานมัดตัวเจ้าแน่น ไม่มีใครสามารถลบล้างคดีของเจ้าได้ หากว่ายังสืบต่อก็จะยิ่งรัดตัวเจ้าเข้าไปอีก เรื่องนี้ยิ่งมีคนรู้มาก จะยิ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้า ฝ่าบาทนั้นต้องการปกป้องเจ้า จึงได้ทำเช่นนั้น หลังจากที่ข้าได้ขอเรื่องนี้กับฝ่าบาท ฝ่าบาทจึงรับปากในทันที และนอกจากนี้ยังมอบกระบี่อาญาสิทธิ์ให้แก่ข้าเพื่อสืบสวนเรื่องนี้ให้ชัดแจ้ง."จงซานกล่าว.
"แล้วเจ้าทำอย่างไรถึงสามารถปิดปากเหล่าขุนนางเหล่านั้นให้เงียบเสียงไปได้ล่ะ?"กงจูสอบถาม.
"ก็เป็นแค่เมฆลอย ๆ "จงซานที่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
[**มาจากประโยคนี้ 什么都是浮云[shénme dōushì fúyún] ใช้เพื่อระบายอารมณ์ คลายเครียด ประมาณว่าไม่ต้องซีเรียสอะไรมากนัก ปล่อย ๆ ไปมั่งไม่ต้องเอาจริงเอาจังกับชีวิตอะไรมากนักจนทำให้เป็นทุกข์]
"เมฆลอย ๆ อะไรกัน?"กงจูเฉียนโหยวกล่าว.
"ใช้คุณงามความดีของข้าเป็นหลักประกัน!"จงซานกล่าว.
กงจูเฉียนโหยวที่ไม่กล่าวสิ่งใดแต่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง ไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใด ทำได้แค่กล่าว"อืม"จ้องมองสายตาที่หนักแน่นของจงซาน ทำให้นางหัวใจสั่นไหวเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก ราวกับว่ามันทำให้นางลุ่มหลงจนไม่สามารถถอนตัวขึ้นได้.
"เช่นนั้นเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจำเป็นต้องได้รับรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อใช้ในการค้นหาหลักฐาน มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง เล่ามาอย่าให้ได้ตกหล่นไป!"จงซานกล่าว.
"ในวันนั้น....."
จงซานที่กำลังตั้งใจฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น.
ตำหนักจวินจู่หยิงหนิง ได้จัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นที่ตำหนัก เชิญเหล่าแขกเหลือที่สำคัญมามากมาย รวมทั้งกงจูเฉียนโหยว ฉีเทียนโห่วและหม่าจูหรี.
"ยินดีกับจวินจูด้วย ที่อาวุโสเทียนเทียนรับเจ้าเป็นศิษย์."หม่าจูหรีที่ยกแก้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม.
"ท่านลุงอย่าล้อข้าสิ ยังไม่ได้รับอย่างเป็นทางการเลย!"หยิงหนิงที่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับยกสุราขึ้นดื่ม.
"ไม่ช้าก็เร็ว อาวุโสเทียนกล่าวแล้ว ต้องรักษาสัญญา เมื่อเป็นศิษย์ของอาวุโสเทียนแล้ว ฝ่าบาทจะต้องเลือนตำแหน่งเจ้าเป็นกงจูหลังจากนั้นแน่นอน ต่อไปพวกเราจะต้องเรียกเจ้าว่ากงจูหยิงหนิงแล้ว."หม่าจูหรีที่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม.
"กงจูเฉียนโหยว อาวุโสเทียน ที่เลือกหยิงหนิงเป็นศิษย์ หวังว่าเจ้าจะไม่อิจฉา!"ฉีเทียนโห่วที่อยู่ใกล้ ๆ จ้องมองไปยังกงจูเฉียนโหยว.
กับคำพูดที่อหังการของฉีเทียนโห่วที่จ้องมองออกไปทำให้ทุกคนนิ่งงันเลยทีเดียว.
"ข้ามาวันนี้ มายินดีกับหยิงหนิงด้วยความจริงใจ ยินดีด้วย!"กงจูเฉียนโหยวที่กล่าวออกมาด้วยความใจกว้าง พร้อมกับยกแก้มขึ้นดื่มให้กับหยิงหนิง.
"ขอบคุณพี่เฉียนโหยว!"หยิงหนิงที่ดีใจเป็นอย่างมากพร้อมกับยกแก้วขึ้นดื่มด้วยเช่นกัน.
งานเลี้ยงที่เป็นไปด้วยความสนุกสนาน ทุก ๆ คนต่างก็พูดคุยกันอย่างสนุก ในระช่วงระหว่างกลางงานเลี้ยงนั้น หยิงหนิงที่เข้าไปลากกงจูเฉียนโหยวออกมาในทันที.
"พี่เฉียนโหยว มากับข้าเร็วเข้า."หยิงหนิงกล่าว.
เฉียนโหยวที่ไม่ได้คิดอะไรนัก วางแก้วลงก่อนที่จะตามหยิงหนิงออกมา ซึ่งสถานที่หยิงหนิงลากนางมานั้น เป็นลานด้านหลัง ซึ่งสถานแห่งนี้ไม่มีใครอยู่เลย.
"พาข้าออกมาทำไมรึ?"กงจูเฉียนโหยวที่แสดงท่าทางสงสัย.
"ข้าได้ยินมาว่าพี่เฉียนโหยว มีร่างสถิตธาตุวายุอย่างงั้นรึ? จริงใช่ไหม?"หยิงหนิงที่ชำเลืองมองตาโต.
"เจ้าไปได้ยินมาจากใหน ใครเป็นคนบอกเจ้ากัน?"กงจูเฉียนโหยวที่ขมวดคิ้วไปมา สอบถามออกไปในทันที.
"มีใครบางคนบอกข้ามา พี่เฉียนโหยว อย่าเพิ่งถามเลย ข้าได้ยินมาว่าร่างสถิตทั้งเก้านั้นลึกลับมาก พี่หญิงช่วยแสดงให้ข้าดูได้หรือไม่?"ใบหน้าของหยิงหนิงที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง.
"แสดงรึ? อย่างไร?"กงจูเฉียนโหยวที่ขมวดคิ้วไปมา.
"ด้วยสิ่งนี้ไงล่ะ."หยิงหนิงที่กล่าวออกมาในทันที ก่อนที่จะเดินไปยังมุม ๆ หนึ่ง พร้อมกับนำกล่อง ๆ หนึ่งออกมา พร้อมกับหยิบคันศรยาวสีเขียวมรกตซึ่งมีลวดลายอักขระมากมาย.
"คันศรเทพวายุรึ?"กงจูเฉียนโหยวที่กล่าวออกมาด้วยท่าทางประหลาดใจ.