ตอนที่แล้วChapter 184 สำนักยวีเหิง.
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 186 ความแตกต่างระหว่างหมาป่าและหมาบ้าน.

Chapter 185 คนผู้หนึ่ง ที่มีลิ้นทอง.


จงซานที่ขมวดคิ้วไปมากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับเผ่าหมาป่าแล้ว จงซานก็รู้สึกอุ่นใจอยู่เหมือนกัน ต้องไม่ลืมว่า ราชวงศ์กษัตริย์ต้าเจิ้งนั้นมีอาณาจักรคู่บารมีคือหมาป่า กล่าวอีกอย่างหนึ่ง สถานะของเขา เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าหมาป่าอัคคี "โดดเด่นหาที่เปรียบไม่ได้."

สำนักยวีเหิง เปรียบเหมือนกับสำนักพันธมิตรของสำนักไคหยาง กล่าวได้ว่ามีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นเขาเองก็ไม่หวังที่จะให้เกิดสิ่งใดขึ้น กับสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จงซานยังดูลังเลใจอยู่ว่าควรช่วยเหลือดีหรือไม่ หรือรอคอยฟังเหตุผล รอคอยดูท่าที สมควรที่จะเข้าช่วยแก้ปัญหาหรือไม่?.

จากนั้นผ่านไปชั่วขณะ คนสองคนที่หิ้วปีกชายในชุดสีแดงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเข้ามา.

ใบหน้าของชายในชุดสีแดงที่เต็มไปด้วยท่าทางหวาดผวา เต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างหนัก.

"ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านต้องช่วยข้า."ชายชุดสีแดงที่ถูกลากเข้ามาในห้องโถงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวตะโกนเสียงดังต่อหน้าหลิวสุ่ยเฟิง.

"เจ้าลูกทรพี คุกเข่า!"หลิวสุ่ยเฟิงที่ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ ดวงตาแดงซ่าน.

"พรึบ!"ด้วยแรงกดดันวิญญาณที่มองไม่เห็น ชายชุดสีแดงคุกเข่าลงในทันที.

"ท่านพ่อ ท่านพ่อ ข้าเป็นลูกท่านนะ!"ชายในชุดสีแดงที่ยังคงตะโกนโวยวายเสียงดัง.

"เจ้าลูกทรพี ฮึ ข้าถามเจ้า ทำไมไม่กล่าวความจริงทั้งหมดออกมา?ทำไมถึงได้มีหมาป่ามากมายขนาดนี้? ทำไมถึงได้มีจำนวนมากขนาดนี้? เจ้าได้ไปยุแหย่ใครเข้า? เจ้าต้องการที่จะฝังสำนักยวีเหิงตายไปกับเจ้าด้วยรึไง?"หลิวสุ่ยเฟิงที่ตะโกนออกไปเสียงดัง.

"ท่านพ่อ ข้าไม่ได้ ข้าไม่ได้ปิดอะไร ข้าบอกท่านไปหมดแล้ว!"ชายชุดแดงที่ยังคงร้องเสียงหลง.

ทุกคนต่างก็ยืนนิ่งจ้องมองไปยังเขา สายตาที่เย็นชาแผ่ออกมาแม้ว่าจะไม่มีใครพูดก็ตาม สำนักยวีเหิง สำนักใหญ่ที่อาจจะถูกทำลายจนย่อยยับอย่างคาดไม่ถึง ในเวลานี้เขายังไม่พูดความจริงออกมาอีกรึ?

"ชิ เจ้าลูกสารเลว เจ้ายังไม่พูดอีก ดูสิว่าเจ้าจะรับฝ่ามือข้าได้สักกี่น้ำ."หลิวสุ่ยเฟิงที่กล่าวออกมาด้วยความโกรธ.

"ท่านพ่อ ท่านพ่อ ข้าเป็นลูกท่านนะ."ชายชุดสีแดงยังคงตะโกนเสียงสั่น แม้แต่น้ำหูน้ำตาก็หลั่งไหลออกมาด้วยความกลัว.

"ข้าไม่มีบุตรเช่นเจ้า ตอนนี้ความเป็นความตายของสำนักกำลังจะถูกเจ้าทำลายไปแล้ว เจ้ายังไม่คิดจะพูดความจริงอยู่อีกเหรอ?"หลิวสุ่ยเฟิงตะโกนออกไปเสียงดัง.

ชายในชุดสีแดงที่จ้องมองไปยังหลิวสุ่ยเฟิง จ้องมองไปยังคนอื่น ๆ  ท้ายที่สุดก็นั่งตัวตรง ตัวสั่นงันงก อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก "ข้าไม่พูด ไม่งั้นข้าต้องตายแน่ ต้องตายแน่นอน ต้องตายแน่ ๆ ."

เห็นท่าทางของบุตรชาย หลิวสุ่ยเฟิงที่ขมวดคิ้ว ถอนหายใจเบา ๆ  "ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็พูดมาก่อน หากเจ้าไม่พูด เผ่าหมาป่าจะต้องเข้าโจมตีสำนักยวีเหิงแน่ เมื่อพวกเราป้องกันตัวหากสังหารหมาป่าไป ความเกลียดชังนี้จะไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว และจะคงอยู่ตลอดกาล จนทำให้ดึงจื่อเห่าหลางเจียงเข้ามา เมื่อถึงตอนนี้สำนักของพวกเราจะถูกทำลายย่อยยับ เจ้าก็ต้องตายอยู่ดี หากว่าเจ้าพูดออกมาอาจจะยังมีโอกาสรอด ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ต้องแก้ปัญหาก่อน."

"ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านต้องฆ่าข้าแน่ ท่านจะฆ่าข้า เผ่าหมาป่ามันจะต้องบุกเข้ามา พวกมันจะต้องบุกเข้ามา."ชายในชุดสีแดงที่ยังคงตื่นกลัว และคุกเข่าต่อหลิวสุ่ยเฟิง.

"แล้วมันอะไร?พูดมา."หลิวสุ่ยเฟิงที่ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ.

"หมาป่าตัวนั้น ที่ข้าจับมา ที่จริงเป็นลูกของจื่อเห่าหลางเจียง ตอนนี้จื่อเห่าหลางเจียงเก็บตัวฝึกฝนอยู่ ดังนั้นหมาป่าตัวน้อยจึงออกมาเที่ยวเล่นและพวกเราก็เลยจับมันมา ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้ในตอนนั้น หากข้ารู้ ข้าไม่กล้าจับมันแน่."ชายในชุดสีแดงที่กล่าวออกมาเสียงสั่น.

"เจ้ารู้เมื่อไหร่?"หลิวสุ่ยเฟิงกล่าวออกมาด้วยความโกรธ.

"ในวันนั้น ที่ข้าเห็นมันกำลังจะตาย ข้าจึงนำมันออกไปด้านนอก หลังจากนั้นก็มีชายผู้หนึ่งออกมาช่วยมัน ชายคนนั้นกล่าวออกมาว่า เขาติดหนี้บุญคุณของจื่อเห่าหลางเจียง เขาจำหมาป่าตนนี้ได้ ว่านี่คือบุตรของจื่อเห่าหลางเจียง จากนั้นเขาก็นำหมาป่าน้อยไป นอกจากนี้เขายังรู้ด้วยว่าข้าเป็นคนของสำนักยวีเหิง ท่านพ่อ ข้านำภัยพิบัติมาสู่สำนักยวีเหิง ท่านต้องฆ่าข้าแน่!"ชายในชุดสีแดงกล่าวออกมาด้วยความหวาดกลัว.

"หลิวอู๋ซ่าง เจ้า..."หลิวสุ่ยเฟิงที่ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ.

"เดี๋ยว ก่อนหน้าที่จะมีคนมาช่วยหมาป่าตัวน้อย พวกเจ้าทำอะไรกับหมาป่าน้อย?"กงจูเฉียนโหยวที่หรี่ตาจ้องมอง รอคอยฟังคำพูดจากหลิวอู๋ซ่าง มีอะไรอยู่อีกหรือไม่ หรือว่าเขายังปิดบังอะไรเอาไว้อยู่?

"ข้าและข้า..."หลิวอู๋ซ่างที่กล่าวตะกุกตะกัก.

"ยังไม่พูดออกมาอีก!"หลิวสุ่ยเฟิงที่ตะโกนข่มขู่.

"ข้าได้ยินคนบอกว่าเนื้อของหมาป่าอัคคีอร่อย ดังนั้นข้าจึงได้ใช้ไฟของข้าเผามัน และเตรียมที่จะ..."ใบหน้าของหลิวอู๋ซ่างที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว.

ได้ยินคำพูดของหลิวอู๋ซ่างแล้ว ทุกคนถึงกับยืนชะงักงัน นี่เขาคิดที่จะเผาหมาป่าระดับแกนทองขณะที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างงั้นรึ? จงซานที่ส่ายหน้าเบา ๆ  กรรรมสนองกับการกระทำที่เลวร้ายนี้แล้ว.

หลิวอู๋ซ่างที่สั่นด้วยความกลัว เตรียมที่จะถูกบิดาของเขาดุและลงโทษ ทว่าในเวลานั้นเขาที่จ้องมองไปยังหญิงสาวที่อยู่ด้านหลัง.

"อาวุโส เจ้าลูกทรพีดื้อรั้นเอาแต่ใจ เป็นความผิดของข้าเอง สำนักยวีเหิงที่ผ่านมาหลายพันปีไม่มีความผิด แต่เป็นคนที่กระทำผิดเอง ภัยพิบัติในครั้งนี้ข้าจะให้เขารับผิดชอบ"หลิวสุ่ยเฟิงที่เต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเตรียมสละหลิวอู่ซ่างแล้ว.

ส่วนหลิวอู๋ซ่าง ทันทีที่ได้ยินว่าหลิวสุ่ยเฟิงจะสังหารตัวเอง ตอนนี้เขาที่ไม่สามารถพยุงร่างด้วยความหวาดกลัวเอาไว้ได้ นี่คือความกลัวที่เกินกว่าขีดจำกัดที่เขาจะแบกรับได้ มันเป็นเรื่องที่เขาคาดไม่ถึง.

ในเวลานี้ หลิวสุ่ยเฟิงที่บอกว่าจะสละชีวิตของเขา หลิวอู๋ซ่างหวากลัว นั่งไร้จิตวิญญาณ ตัวสั่นไม่หยุดทรุดอยู่ตรงนั้น.

"ท่านประมุข."คนสี่คนที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวออกมาทันที.

"ข้าได้ตัดสินใจแล้วไม่จำเป็นต้องเกลี้ยกล่อมข้า."หลิวสุ่ยเฟิงที่ขมวดคิ้วไปมา.

บุตรทรพี?ถึงแม้ว่าหลิวอู๋ซ่างจะทำเรื่องเหลวไหล แต่เขาก็เป็นบุตรชายของเขาแน่นอน พิฆาตญาติเพื่อคุณธรรม ทว่าภายในใจของเขาไม่ต้องการอย่างแน่นอน แต่ใครใช้ให้เขาเป็นประมุขล่ะ?สำนักยวีเหิงไม่สามารถถูกทำลายภายในมือของเขาได้.

"ย่างสดหมาป่าอย่างงั้นรึ? ถึงแม้ว่าให้เขาตายไป แล้วพวกหมาป่าจะยังปล่อยสำนักยวีเหิงอย่างงั้นรึ?"กงจูเฉียนโหยวที่กล่าวออกมาพร้อมกับขมวดคิ้ว.

"อาวุโส พวกเราควรทำอย่างไรดี?"หลิวสุ่ยเฟิงกล่าวด้วยความกังวล.

กงจูเฉียนโหยวที่ไม่สนใจคนอื่น ๆ  เขาขมวดคิ้วไปมา ก่อนที่จะก้าวออกไปด้านหน้า.

หลิวสุ่ยเฟิงและคนอื่น ๆ ยังคงรอคอยอย่างอดทน จงซานเองก็ยังคงยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ .

"สุ่ยจิง ท่านมีวิธีอะไรหรือไม่?"กู่หลินที่ถามไปยังเซียนเซิงสุ่ยจิงทันที.

"วิธีอย่างงั้นรึ?ไร้ซึ่งวิธี ตอนนี้จื่อเห่าหลางเจียงก็กำลังปิดตัวฝึกฝน เทือกเขาอัคคีรุ่งโรจน์ทุกคนย่อมฟังคำสั่งเพียงบุตรชายของจื่อเหล่าหลางเจียง หรือไม่ก็เผ่าหมาป่าคนสำคัญอื่น ๆ  ทว่าตอนนี้หมาป่ามากมายล้อมรอบสำนักยวีเหิง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคำสั่งของหมาป่าน้อย หมาป่าน้อยต้องการล้างแค้น มันที่กำลังโกรธเกรี้ยวอย่างสาหัส ด้วยการถูกไฟเผาทั้งเป็น จะยังใจเย็นอยู่อีกรึ?มีเพียงแค่จื่อเห่าหลางเจียงมาถึงเท่านั้น ถึงจะสามารถเจรจาต่อรองได้ "เซียนเซิงสุ่ยจิงที่ส่ายหน้าไปมา.

หลิวสุ่ยเฟิงที่ยืนอยู่ด้านหลังก็กล่าวออกมา."ไร้ประโยชน์ ในเมื่อตอนนี้มีบุตรของจื่อเห่าหลางเจียงคอยสังการ ไม่มีหวังเลยที่จะได้พบกับจื่อเห่าหลางเจียง และข้ายังได้ยินมาอีกว่าจื่อเห่าหลางเจียงนั้นประคบประหงมบุตรของเขาเป็นอย่างมาก ดังนั้นหมาป่าทุกตัวในเทือกเขาอัคคีรุ่งโรจน์จึงเอ็นดูเขามาก และหากจื่อเห่าหลางเจียงรู้ว่าหมาป่าน้อยถูกทำร้าย เขาจะต้องบ้าคลั่งยิ่งกว่านี้แน่."

ได้ยินคำพูดเหล่านั้นแล้ว ทุกคนก็เผยสีหน้าเป็นกังวลออกมาด้วยเช่นกัน.

"มีเพียงแค่ใช้กองทัพใหญ่อย่างงั้นรึ?"กู่หลินที่ขมวดคิ้วไปมา.

ในเวลานั้น กงจูที่หยุดคิดและกล่าวออกมา."สำนักยวีเหิงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวจื่อเห่าหลางเจียง ทว่า การที่จะเป็นศัตรูคู่แค้นกับจื่อเห่าหลางเจียงนั้น มันคุ้มค่าแล้วอย่างงั้นรึ?"

"อาวุโส ตราบเท่าที่สามารถแก้ไขเรื่องหมาป่านับหมื่นนี้ได้ ข้ายินดีที่จะลาออกจากประมุขสำนัก."หลิวสุ่ยเฟิงที่กล่าวออกมาในทันที.

กงจูเฉียนโหยวที่ขมวดคิ้วไปมา จ้องมองไปยังหลิวสุ่ยเฟิง"ลาออกจากประมุขสำนัก? แล้วมันทำให้หมาป่านับหมื่นถอยกลับไปรึไง สิ่งที่เจ้าต้องทำคือสั่งสอนบุตรชายให้ดี."

"ครับ."หลิวสุ่ยเฟิงพยักหน้ารับ.

กงจูเฉียนโหยวที่คิดไปมา จ้องมองไปยังจงซาน เห็นจงซานจิตใจเด็ดเดี่ยวไม่วอกแวก กับท่าทางเช่นนี้ ดูเหมือนว่ามีวิธีอยู่แต่ไม่พูด.

"จงซาน เจ้าเป็นคนของสำนักไคหยาง สำนักพันธมิตรยวีเหิงเวลานี้ ประสบความลำบาก เจ้าควรที่จะช่วย มีอะไรจะพูดหรือไม่?"กงจูเฉียนโหยวที่กล่าวออกมาในทันที.

"อย่างเขาจะมีวิธีอย่างงั้นรึ?"กู่หลินที่กล่าวเย้ยหยัน.

ทว่าเซียนเซิงสุ่ยจิงก็มองไปยังจงซานเช่นกัน ราวกับว่าต้องการรู้ว่าจงซานจะทำอย่างไร.

อาต้าและอาเอ้อที่จ้องมองไปยังจงซานด้วยท่าทางเป็นกังวล.

จงซานที่จ้องมองมายังกงจูเฉียนโหยวที่จ้องมองมายังตัวเอง ท่าทางที่ยังคงสงบนิ่ง พร้อมกับสูดหายใจยาว จ้องมองไปยังหลิวอู๋ซ่างที่กำลังนั่งสั่นอยู่บนพื้น."สำนักยวีเหิงได้รับภัยพิบัติ การกระทำของหลิวอู๋ซ่างยากที่จะอภัยได้ แม้ว่าเขาตายหมื่นครั้ง ก็ยากที่จะช่วยสำนักยวีเหิงได้ ทว่าทุก ๆ อย่างย่อมมีทางออก แม้ว่าสถานการณ์จะวิกฤติก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะแก้ไขไม่ได้."

"อย่างไรรึ?"กงจูเฉียนโหยวที่จ้องมองไปยังจงซานด้วยความประหลาดใจ.

เกี่ยวกับสถานการณ์ในเวลานี้แทบจะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว แม้แต่เซียนเซิงสุ่ยจิงยังไม่สามารถหาวิธีที่จะทำให้หมาป่านับหมื่นถอยไปโดยเร็ว แม้ว่านางจะรู้ว่าจงซานจะมีเชาว์ปัญญาที่ล้ำเลิศ ทว่าเรื่องนี้ไม่สามารถที่จะใช้เพียงแค่เชาว์ปัญญาแก้ไขได้ไม่ใช่รึ? ทว่ากับน้ำเสียงของจงซาน? มีวิธีอยู่อย่างงั้นรึ?

"ฉิ ๆ  ๆ  เฉียนโหยว ลูกน้องของเจ้าจะพูดจาใหญ่โตเกินไปแล้ว."ใบหน้าของกู่หลินที่แสดงท่าทางเย้ยหยัน.

เซียนเซิงสุ่ยจิงเองก็จ้องมองมายังจงซานด้วยความประหลาดใจ แววตาของเขาที่รู้สึกอัศจรรย์ใจและคาดหวังไปด้วยเช่นกัน.

อาต้าและอาเอ้อสูดหายใจยาว เพราะว่าทั้งคู่รู้ดี ตราบเท่าที่จงซานบอกว่ามีวิธี แน่นอนว่าจะต้องมีวิธีอยู่อย่างแน่นอน.

ส่วนหลิวสุ่ยเฟิงและคนอื่น ๆ  ก็จ้องมองไปยังจงซานด้วยความคาดหวังเช่นกัน เขามีวิธีจริง ๆ รึ?

เห็นทุกคนที่จ้องมองมา จงซานก็กล่าวต่อไปมา "สัตว์อสูรนั้น เมื่อก้าวไปถึงระดับเซียนเทียน ก็เริ่มมีเชาว์ปัญญา สามารถพูดคุยด้วยได้แล้ว และด้านนอกนั้นยังเป็นสัตว์อสูรวิญญาณที่มีภูมิปัญญามากมายไม่ใช่รึ?ตราบเท่าที่มีสิ่งแลกเปลี่ยน ก็ย่อมแก้ปัญหาได้ หมาป่าทั้งหมื่นตัวย่อมถอยกลับไป ไม่ว่าหมาป่าน้อยจะโกรธเกลียดเท่าใด ทว่าหากมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่เพียงพอก็ย่อมทำได้."

"ต่อรองเงื่อนไข นี่เจ้าบ้าไปแล้วรึ? มันจะฟังเจ้ารึไง? เบี้ยต่อรอง? สิ่งที่พวกมันต้องการก็คือทำลายสำนักยวีเหิง เจ้าจะเอาอะไรไปให้พวกมัน?"กู่หลินที่เผยยิ้มและกล่าวล้อจงซาน.

กับคำพูดของกู่หลิน ที่จริงทำให้คนของสำนักยวีเหิงโกรธเกรี้ยวขึ้นมาด้วยเช่นกัน สายตาของหลาย ๆ คนที่จ้องมองไปออกไปด้วยความโกรธต่อตัวกู่หลิง.

"เจ้าคิดว่าพวกมันต้องการสิ่งใด ถึงจะทำให้หมาป่านับหมื่นถอยกลับไปอย่างงั้นรึ?"กงจูเฉียนโหยวที่ขมวดคิ้วไปมา.

เซียนเซิงสุ่ยจิงที่เฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ  ในแววตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้ จากคำพูดของจงซาน ถูกแล้ว เป็นเรื่องถูกต้องที่สุด ทว่าเขาจะพูดคุยกับมันอย่างไร? เหมือนดังที่ซือจื่อกล่าว เหล่าหมาป่าจะฟังเขาอย่างงั้นรึ? พวกมันจะยอมนั่งรอคอยพูดคุยอย่างสงบปากสงบคำอย่างงั้นรึ?

"สิ่งต่อรอง จะต้องพูดคุยก่อนถึงจะรู้ ตอนนี้มีแต่ต้องเตรียมสิ่งต่อรอง ไม่สามารถบอกก่อนได้ไม่ใช่รึ?"จงซานที่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม.

"เช่นนั้น เจ้าจะทำให้หมาป่าหมือนตัวถอยไปได้อย่างงั้นรึ?"กงจูเฉียนโหยวที่จ้องมองไปยังจงซานด้วยความสงสัย.

"ผู้น้อยเคยเป็นพ่อค้าคนหนึ่ง ย่อมรู้ว่าจะต่อรองอย่างไร ขอเพียงแค่กงจูจัดหาให้ตามที่ต่อรองได้ก็พอ."จงซานพยักหน้าให้.

"ฮ่าอ่า ฮี ๆ  ๆ  เจ้านี่นะจะต่อรองกับหมาป่า? จะต่อรองยังไง?"กู่หลินที่กล่าวออกมาด้วยคำพูดเยาะเย้ย.

ไม่เพียงแต่กู่หลินเท่านั้น คนอื่น ๆ เองก็จ้องมองไปยังจงซานด้วยความสงสัย เขาต้องการอะไรจากกงจู? เบี้ยต่อรองอะไร?

"เจ้าจำเป็นต้องใช้อะไร?"กงจูเฉียนโหยวที่จ้องมองและสอบถามไปยังจงซาน.

จงซานที่ชี้มายังตัวของเขาเอง "คนผู้หนึ่ง ที่มีลิ้นสีทอง."

................

ลิ้นสามนิ้ว

三寸之舌

三 (sān) อ่านว่า ซาน แปลว่า สาม

寸 (cùn) อ่านว่า ชุ่น แปลว่า นิ้ว(หน่วยวัด)

之 (zhī) อ่านว่า จือ ในที่นี้เป็นคำช่วย ใช้วางหน้าคำนาม

เพื่อบอกคุณสมบัติ

舌 (shé) อ่านว่า เสอ แปลว่า ลิ้น

ในสมัย 257 ปีก่อนคริสตกาล ทหารฉินได้บุกมาล้อมเมืองหานตันซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐเจ้า ทำให้อ๋องรัฐเจ้าต้องลอบส่งผิงหยวนจวินไปขอกำลังทหารจากรัฐฉู่มาช่วย พร้อมทั้งขอให้ลงนามสัญญาร่วมกันต่อต้านรัฐฉิน ในครั้งนั้นผิงหยวนจวินตัดสินใจที่จะนำผู้ติดตามไปด้วย 20 คนที่มีความสามารถทั้งบู๊และบุ๋น แต่คัดคนมาได้เพียง 19 คน ขาดไป 1 คน สุดท้ายมีข้ารับใช้ นามว่า เหมาซุ่ย เสนอตัวเองติดตามไปเป็นคนที่ 20 เมื่อหาคนไม่ได้ ผิงหยวนจวินจึงจำใจตอบตกลง

ที่เกินความคาดหมายคือ เหมาซุ่ยผู้นี้เป็นผู้ที่มีวาทะศิลป์เป็นเลิศ ระหว่างการเดินทางไปถึงรัฐฉู่ เขาได้ถกเถียงข้อราชการบ้านเมืองกับผู้ร่วมทางทั้งหมด จนทำให้คนเหล่านั้นเปลี่ยนความคิดจากที่เคยนึกดูถูก มายกย่องนับถือในฝีปากของเขาทั้งสิ้น

ในวันที่ผิงหยวนจวินเข้าเฝ้าหารือกับอ๋องรัฐฉู่ ทั้งสองหารือกันครึ่งวันยังคงไม่ได้ข้อสรุป ผู้ติดตามทั้ง 19 คนต่างร้อนใจ เหมาซุ่ยจึงตัดสินใจถือวิสาสะเดินเข้าไปสอบถามสถานการณ์ แต่กลับถูกอ๋องรัฐฉู่ที่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตารับสั่งให้เขาออกจากห้องไปเสีย แต่เหมาซุ่ยกลับหยิบดาบมาถือไว้ แล้วเดินไปยังเบื้องหน้าของอ๋องรัฐฉู่พลางกล่าวว่า "ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ เพราะท่านอ๋องคิดว่ารัฐฉู่ของท่านเป็นรัฐใหญ่ และในเวลานี้ก็มีกำลังทหารคุ้มครองท่านมากมาย แต่ข้าน้อยเชื่อว่าเมื่อข้าน้อยยืนอยู่ต่อหน้าท่านอ๋องในตอนนี้ ด้วยระยะห่างไม่ถึง 10 ก้าว ต่อให้มีทหารฉู่มากกว่านี้ก็ไม่สามารถรักษาชีวิตพระองค์ไว้ได้ ถือว่าชีวิตของพระองค์อยู่ในกำมือของข้าน้อยก็ไม่ผิดนัก" เมื่ออ๋องรัฐฉู่ได้ฟังก็ได้แต่นิ่งงัน

เหมาซุ่ยจึงกล่าวต่อไปว่า "ในประวัติศาสตร์ รัฐฉินก็เคยรุกรานรัฐฉู่บ่อยครั้ง ทั้งยังยึดเอาดินแดนของรัฐฉู่ไป แม้ว่าในครานี้รัฐเจ้าจะมาขอความช่วยเหลือเพื่อผนึกกำลังกันป้องกันเมืองหลวงของรัฐเจ้า แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสที่รัฐฉู่จะแก้แค้นรัฐฉินด้วย หากพระองค์ไม่ตกลงร่วมมือเนื่องเพราะความขลาด นั่นมิใช่น่าละอายหรอกหรือ" สุดท้ายอ๋องรัฐฉู่จึงตกลงทำสัญญาผนึกกำลังกับรัฐเจ้าเพื่อต้านรัฐฉิน

เมื่อกลับถึงรัฐเจ้า ผิงหยวนจวินจึงกล่าวยกย่องเหมาซุ่ยว่า "การไปเจรจากับรัฐฉู่ครานี้ ลิ้นขนาดเพียงสามนิ้วของท่านเหมาซุ่ย กลับทรงอานุภาพมากกว่ากองทหารนับล้านเสียอีก"

สำนวน "ลิ้นสามนิ้ว" ใช้เพื่อยกย่องความสามารถในเชิงวาทะศิลป์ หรือผู้ที่มีผีปากเป็นเลิศ

ตัวอย่างประโยค

他凭着三寸之舌,使许多人听信了他的谎言。

เขาอาศัย ~ ทำให้ผู้คนพากันหลงเชื่อคำลวงของเขา

silver tongue  คนอังกฤษอเมริกันเปรียบคนที่พูดเก่ง พูดคล่อง จนใคร ๆ  ก็เชื่อว่ามีลิ้นเงิน เพราะเงินเป็นโลหะมีค่ามีสีขาวเป็นประกาย เมื่อนำมาใช้กับเสียงหมายถึง เสียงที่แผ่ว เบาและชัดเจน เมื่อกล่าวถึงคนที่มีลิ้นเป็นเงินหมายถึง คนพูดเก่ง

ส่วนคนไทยใช้สำนวน “ลิ้นทอง” สำนวนนี้มาจาก การทำตะกรุดชนิดหนึ่ง มียันต์สำหรับลงตะกรุด เรียกว่า ยันต์สาริกา ทำให้พูดจาเป็นที่นิยมชมชอบของหญิงชายทั่วไป ‘สาลิกา’ แปลว่า นกขุนทอง เป็นนกที่พูดเก่ง ตะกรุดสาลิกามักทำด้วยทองเป็นแผ่นเล็ก ๆ  ใส่อมไว้ใน ปากเรียกว่า ‘ลาลิกาลิ้นทอง’ ทำให้พูดเก่ง คำว่า ‘ลิ้นทอง’ จึงกลายเป็นสำนวนหมายถึง พูดเก่ง พูดดี เป็นที่นิยม นับถือของคน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด