บทที่ 89 การตอบโต้
อาจารย์ลู่ถอนหายใจ
เขาเคยเป็นนักฆ่าที่สามารถเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วผ่านเงามืดด้วยการใช้กระบวนท่าเจ็ดดาราสังหาร เขาได้สังหารคนไปเกือบพันคนในชีวิตของเขาและทำให้มือของเขาเปื้อนเลือดอย่างถาวร
ต่อมา เมื่อจำนวนเหยื่อเพิ่มขึ้น มันก็ดึงดูดความสนใจจากทั้งนิกายเซียนอมตะทั้งเก้าและสิบกำลังอมตะแห่งโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่มีทางเลือก นอกจากหยุดและหาที่หลบภัยที่ใต้การดูแลบ้านของขุนนางจื่อซาน เขาได้รับบทบาทเป็นผู้พิทักษ์ของขุนนางหนุ่ม คอยปกป้องเขาและในขณะเดียวกันก็รับภารกิจลับจากเขาเป็นบางคราว
ที่พักพิงนั้นให้ความปลอดภัยที่เหมาะสมสำหรับคนอย่างเขา และงานที่มอบหมายก็อยู่ในขีดความสามารถของเขา
ยกตัวอย่างเช่น ภารกิจกำจัดปีศาจปลาและศิษย์ของนิกายฉูซานที่อยู่ในระดับการตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณในวันนี้
ในตอนแรก เขามั่นใจว่าการใช้กระบวนท่าเจ็ดดาราสังหารของจะทำให้ภารกิจนี้ประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากเขาเป็นผู้บ่มเพาะในระดับที่หก เขาคาดหวังว่าการใช้ความเชี่ยวชาญในกลยุทธ์การซุ่มโจมตีกับผู้บ่มเพาะในระดับที่สามจะทำให้ภารกิจนี้ไร้ที่ติ
ทว่าน่าแปลกใจที่ศิษย์แห่งฉูซานแสดงความเฉียบแหลมที่ไม่ธรรมดา เขาได้ใช้เครื่องมือป้องกันอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถปัดป้องการโจมตีและแม้กระทั่งหนีไปได้ นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดเลยทีเดียว
สิ่งที่ทำให้เขายิ่งประหลาดใจไปมากกว่านั้นคืออุปกรณ์ป้องกันนั้นมีความสามารถถึงสองอย่าง ไม่เพียงแต่จะป้องกันการโจมตีเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องมือหลบหนีด้วย อุปกรณ์นั้นห่อหุ้มรอบปีศาจปลาและพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของอาจารย์ลู่มืดมนไปด้วยความโกรธเมื่อเหตุการณ์พลิกผันอย่างไม่คาดคิด
บางทีเขาอาจเคยชินกับสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้สูญเสียความโหดเหี้ยมบางส่วนที่เคยมีอยู่ เมื่อล้มเหลวในการโจมตีครั้งแรก เขาควรจะลงมือตามไปด้วยการโจมตีที่ร้ายแรงอีกครั้ง มันจะเป็นบาปใหญ่หลวงสำหรับนักฆ่าที่จะสนทนาเรื่องไร้สาระกับศัตรูที่ยังมีชีวิตอยู่
ตอนนี้ ผลของการพูดคุยไร้สาระคือหนึ่งในสองเป้าหมายสามารถหนีรอดได้ มันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ตามมาตรฐานของเขา
และเขายังประหลาดใจมากที่ศิษย์แห่งฉูซานตรงหน้ากล้าท้าทายเขา
ใครให้ความกล้าหาญกับเขาเช่นนั้น
เมื่อชูเหลียงเอ่ยถามว่า "ใครบอกว่าข้าจะตายกัน" อาจารย์ลู่รู้สึกงุนงงมาก เขายกมือขึ้นเตรียมจะชักดาบ เพื่อเผชิญหน้ากับผู้ท้าชิงที่กล้าหาญนี้
อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกัน เขาสังเกตเห็นว่าชูเหลียงได้เรียกกระบี่บินออกมา
สภาพเช่นนี้เขายังกล้าที่จะชักอาวุธออกมาอีกหรือ
แต่การเลือกเผชิญหน้ากับความตายของบุคคลนี้ทำให้เขาคู่ควรกับการเป็นศิษย์ของชูซานเสียจริง
ช้าก่อน..
กระบี่เล่มนั้นมีบางอย่างแปลกประหลาดมิใช่หรือ
เมื่อชูเหลียงปลดปล่อยกระบี่ของเขา อาจารย์ลู่คิดว่ามันเป็นการดิ้นรนต่อสู้ครั้งสุดท้ายก่อนความตาย ท้ายที่สุด ความแตกต่างระหว่างผู้บ่มเพาะระดับที่สามและระดับที่หกนั้นมหาศาล และการสังหารชูเหลียงสำหรับเขาก็เหมือนกับการบดขยี้มดตัวหนึ่งเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ขณะที่กระบี่วิเศษทิ้งรอยแสงสีเงินเป็นอักขระในอากาศว่า “ลม”และ“ไฟ” อาจารย์หลู่รู้สึกได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
มันควรจะเป็นกระบี่เวทย์ธรรมดา..
แต่เหตุใดข้าจึงสัมผัสได้ถึงพลังที่ล้นหลามถึงเพียงนั้น..
เสียงพลังของกระบี่นั้นดังก้องในหูของเขาและทำให้เจ็บปวดอย่างมาก
มิใช่แล้ว มีบางอย่างผิดพลาดอย่างร้ายแรง
ต้องมีเหตุการณ์ที่ข้าไม่รู้จักเกิดขึ้นแน่ๆ ผู้บ่มเพาะในระดับที่สามจะปลดปล่อยทักษะที่มีพลังมหาศาลเช่นนั้นได้อย่างไร
เขาเมื่อใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ยกใหญ่ เขาก็รีบเก็บดาบของเขา ทำท่าทางด้วยมืออย่างรวดเร็ว และในพริบตา ร่างของเขาก็ค่อยๆ จางหายไป
ทว่าตอนนี้มันสายเกินไปเสียแล้ว...
ถ้าเขาคิดว่าชูเหลียงเป็นคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจและพยายามหลบในขณะที่ชูเหลียงกำลังโจมตี เขาอาจจะไม่โดนโจมตีนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อชูเหลียงใช้ทักษะกระบี่ของเขา อาจารย์ลู่ไม่ได้จริงจังมากพอ กว่าที่เขาคิดที่จะหลบ มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
ขณะที่ร่างของเขาค่อยๆ ซ่อนตัวไปครึ่งหนึ่งจนเกือบจะโปร่งใส มังกรไฟที่กำลังโกรธเกรี้ยวพร้อมกับลมฟ้าอากาศที่แปรปรวนอย่างบ้าคลั่งได้โหมลงมาด้วยพลังที่ไม่อาจหยุดยั้ง มันรู้สึกเหมือนกับว่ามันสามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้ และการจบชีวิตของเขาก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อพลังอันมหาศาลถาโถมเข้ามา อาจารย์ลู่เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ และไม่สามารถเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นได้
ผู้ฝึกตนระดับที่สาม ที่สามารถปลดปล่อยพลังโจมตีที่สามารถสังหารผู้ฝึกตนระดับที่หกได้—พลังอันน่าทึ่งนี้มาจากที่ใดกัน..
..นี่คือชะตาชีวิตงั้นหรือ..
..ผู้ที่กระทำความผิดต่อผู้อื่นย่อมต้องเผชิญผลของการกระทำนั้นในที่สุด
อาจารย์ลู่ตระหนักถึงที่มาของพลังของชูเหลียง
เขาตระหนักว่าตัวเขาเองเป็นแหล่งที่มาของพลังนั้น..
...
ครืนนน—
ขณะที่พายุลมและไฟขนาดมหึมาที่เกิดจากรอยประทับกระบี่เวทลมและไฟกลืนกินอาจารย์ลู่ไปอย่างหมดจด และแน่ใจว่าเขาไม่สามารถรอดชีวิตได้ ชูเหลียงจึงได้โล่งอกในที่สุด
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนหน้านั้น เขาต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่สำคัญ
ใบไม้สีเขียวพันรอบร่างกายของเขาแล้ว แต่เขาก็ยังถูกแทงจนได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ดี
ในชีวิตของผู้บ่มเพาะ อันตรายที่ไม่คาดคิดนั้นหลีกเลี่ยงมิได้ และการตัดสินใจในช่วงเวลาแห่งวิกฤตนั้นจะเผยให้เห็นลักษณะที่แท้จริงของบุคคลนั้น
ในช่วงเวลาสำคัญ ตัวเลือกที่ชาญฉลาดที่สุดสำหรับชูเหลียงคือการใช้ใบไม้เขียวและหนีไป
อย่างไรก็ตาม หากเขาทำเช่นนั้น หลิวเสี่ยวยู่เอ๋อจะต้องถูกทิ้งและถูกฆ่าโดยศัตรูผู้ร้ายกาจอย่างแน่นอน
แต่ด้วยการตัดสินใจในเสี้ยววินาที เขาได้ใช้ใบไม้สีเขียว แต่มิใช่เพื่อตนเอง เขาเปลี่ยนเส้นทางพลังของมันเพื่อนำหลิวเสี่ยวยู่เอ๋อไปสู่ที่ปลอดภัย
การกระทำนี้มิได้เป็นการเสียสละตัวเอง แต่เขามีความหวังที่จะมีโอกาสต่อสู้
เขาเรียกกระบี่สีชาดซึ่งปรารถนาจะสังหารหลังจากที่เผชิญหน้ากับวายร้ายออกมา
แม้ว่าตัวเลือกนี้จะดูไม่ปลอดภัยนัก แต่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ทั้งสองคนปลอดภัย เขาตัดสินใจที่จะให้ความสำคัญกับการปกป้องคนหนึ่งก่อน แล้วจึงอยู่ข้างหลังเพื่อเผชิญหน้ากับการต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมดของเขา
เขารู้ว่าเขามีโอกาสโจมตีเพียงครั้งเดียว
เขาจำเป็นต้องใช้เพชฌฆาตสีชาดของเขาในขณะที่คู่ต่อสู้ยังประมาทเขา เพียงเท่านั้นเขาจะสามารถจัดการคู่ต่อสู้ของเขาโดยไม่ทันตั้งตัวได้
การโจมตีเป้าหมายเดียวที่ทรงพลังที่สุดของเขาคือรอยประทับกระบี่เวทมนตร์อย่างไม่ต้องสงสัย เขาเลือกใช้กระบี่เวทมนตร์คู่ลมและไฟที่น่าเชื่อถือมากกว่าคู่น้ำแข็งและไฟที่อาจเสี่ยงในความไม่เสถียร
เป้าหมายของเขาชัดเจนประสบความสำเร็จด้วยการโจมตีครั้งแรกให้จงได้!
..และมันก็ประสบความสำเร็จ!
นี่คือพลังของกระบี่แห่งความยุติธรรม!
การระเบิดครั้งใหญ่ส่งเซียอันผู้ซึ่งอยู่ใกล้กับอาจารย์ลู่กระเด็นออกไปหลายสิบจางและตกกระแทกพื้นอย่างแรง
ตุ๊บ!
เซียอันตกกระแทกพื้นและกระเด้งขึ้นอย่างหนักอีกครั้ง ทว่าความหวาดกลัวที่เขาประสบนั้นเกินกว่าความเจ็บปวดทางกายภาพ
อะไรกัน แพ้ แม้จะมีอาจารย์ลู่อยู่น่ะหรือ นี่ข้าฝันไปหรือ
แต่เมื่อเซียอันเห็นชูเหลียงโผล่พ้นหมู่ควันที่จางหายไป ลำตัวอาบด้วยเลือด พร้อมด้วยกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัว ความรู้สึกหนาวสั่นก็เข้าครอบงำเขา
มันไม่ใช่มายา
ชูเหลียงได้ฆ่าอาจารย์ลู่แล้วจริง ๆ
และมันก็เป็นการฆ่าในทันที!
ชูเหลียงเผยโฉมตนเองในฐานะสัตว์ร้ายน่าสะพรึงกลัว!
“อ้าาาก…” ขุนนางหนุ่มร้องเสียงสั่นเครือ รีบหันหลัง กระโดดขึ้นจากพื้น แล้ววิ่งหนีไป!
ต้องหนี!
แม้ว่าชูเหลียงจะบาดเจ็บสาหัส แต่เซียอันก็ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบมอง
“หนีหรือ” ฉูเหลียงจ้องมองขณะที่เซียอันหนีไป เขาขบกรามแน่นและไม่สนใจความเจ็บปวดจากบาดแผล เขาโดดขึ้นอีกครั้งและจะไล่ขุนนางหนุ่ม
ขุนนางหนุ่มผู้นี้ตั้งใจจะฆ่าเขาจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะโชคดีและมีไม้ตายลับ เขาคงกลายเป็นกระดูกอยู่ที่ก้นแม่น้ำไปนานแล้ว
ชูเหลียงจะปล่อยให้เขาหนีไปง่ายๆ ได้อย่างไร
แสงกระบี่ราวกับดาวตก พุ่งทะยานไปยังเซียอันอย่างรวดเร็ว
ท่านพ่อ..ช่วยข้าด้วย...
ในขณะนี้ จิตใจของเซียอันดังก้องไปด้วยคำเดียว หนี!
หนีไปทางเมืองหนานเหมิน
หนีไปยังสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน!
หนีไปที่ที่พ่อของข้าอยู่...
หนี…หนี..หนี!
เขาวิ่งไปตลอดทางและมาถึงเนินเขาที่อยู่ด้านนอกเมืองอย่างรวดเร็ว ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนครึ่งหนึ่งของเมืองหนานเหมินที่ได้รวมตัวกันอยู่ที่นี่
การแสดงของซูหลิงเสวี่ยกำลังจะเริ่มต้น และฝูงชนต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อให้เหล่านักดนตรีขึ้นเวที ทุกสายตาจับจ้องไปที่พวกเขา ทุกคนต่างรอคอยการแสดงที่จะเกิดขึ้นด้วยความคาดหวัง!
ในห้องส่วนตัวบนเนินเขาหน้า เขาพ่อของเขา ขุนนางจื่อซานจะมาปรากฏตัวในวันนี้ พ่อของเขาได้รับการคุ้มกันโดยผู้พิทักษ์ฝีมือดีหลายคน และตัวเขาเองก็เป็นผู้บ่มเพาะที่ทรงพลัง
ในขณะนี้เซียอันรู้สึกขอบคุณอย่างมากสำหรับการตัดสินใจของพ่อในการบ่มเพาะ
ท่านพ่อ!
ช่วยข้าด้วย!
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังกระโดดขึ้นเวที แสงกระบี่ของชูเหลียงก็ปิดล้อมอย่างรวดเร็วจากด้านหลัง แม้ว่าชูเหลียงจะตามเซียอันไม่ทัน เขาก็ยังใช้สิ่งอื่นได้
แสงสีแดงคล้ายงูหรือฟ้าผ่าพันร่างของเซียอันทันทีและทำให้เขาล้มลงไปกับพื้น
โครม!
ร่างกายของเซียอันตกลงมาจากอากาศกลางเวทีอย่างหนัก กระแทกพื้นเวทีที่กว้างขวางซึ่งเตรียมไว้สำหรับการแสดงจนทำให้เกิดความฮือฮาในหมู่ผู้ชม!
ชูเหลียงลงมาและยกขุนนางหนุ่มขึ้นอย่างง่ายดายด้วยการคว้าเพียงครั้งเดียวด้วยแรงมหาศาล
ผู้ชมมากมายเบื้องล่างที่กำลังงุนงงในที่สุดก็มองเห็นชัดเจน ร่างที่ถูกผูกด้วยเชือกสีแดงมีท่าทางน่าสงสารและคุกเข่าอยู่บนพื้นไม่ใช่ใครอื่น นอกจากขุนนางหนุ่มแห่งจื่อซาน
บุคคลผู้ทรงเกียรติที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์!
..นี่มันเกิดอะไรขึ้น ใครกันที่กล้าทำกับคนของราชวงศ์เช่นนั้น
..แล้วชายหนุ่มร่างกายเปื้อนเลือดที่ถือกระบี่เข้ามาผู้นั้นเป็นใครกัน
ฝูงชนต่างตะลึง
ชูเหลียง มองลงไปยังกลุ่มคนนับไม่ถ้วนเบื้องล่าง ตอนนี้เขาตระหนักได้แล้วว่าเขากำลังอยู่ที่ไหน เขาหยุดชั่วคราวพร้อมกับกระบี่ของเขาที่กำลังลังเล
เมื่อตั้งสติได้ เขาจึงคว้าหัวของเซียอัน ยกกระบี่สีชาดในมือขวาขึ้นพร้อมตะโกนเสียงดัง “ตระกูลขุนนางจื่อซานแห่งหนานเหมินได้ค้ามนุษย์และฆ่าคนโดยไม่เกรงกลัว! พวกเขาก่ออาชญากรรมร้ายแรง! .. ข้า ชูเหลียง ศิษย์แห่งฉูซาน และข้ามาที่นี่วันนี้เพื่อจับกุมเจ้า!”
“สวรรค์เป็นพยานให้ข้าได้!”
“เจ้าจะยอมรับความผิดในอาชญากรรมของเจ้าหรือไม่!”