บทที่ 105 กระบี่วิญญาณสิบดาว
หลัวเฉิงไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงหยิบป้ายหยกหลิงเซียวออกมาทันที
“หากใช้สิ่งนี้ จะได้รับส่วนลดสองส่วนใช่หรือไม่?”
“ป้ายหยกหลิงเซียว!”
อากัปกิริยาของหญิงรับใช้คนอื่นๆ เปลี่ยนไปในทันใด สีหน้าเย้ยหยันของพวกนางเหล่านั้นเมื่อครู่ก็หายไป แล้วถูกแทนที่ด้วยความเคารพอย่างนอบน้อม
หญิงรับใช้หน้ากลมก็แสดงสีหน้าประหลาดใจเฉกเช่นเดียวกัน
เท่าที่นางทราบ สถานะของผู้ที่ได้รับป้ายหยกหลิงเซียวนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง
เขาอาจจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีความสามารถอันน่าตกตะลึง หรือไม่ก็ต้องเป็นผู้มีฐานะทางสังคมสูงส่ง
หลัวเฉิงอายุยังน้อย และไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ดังนั้น พวกนางจึงคิดว่าเขามาจากตระกูลใหญ่หรือไม่ก็อัจฉริยะของสำนักบางแห่งก็เป็นได้
“คุณชายโปรดรอตรงนี้สักครู่”
หลังจากฟื้นคืนสติ หญิงรับใช้ก็หันหลังเดินกลับเข้าไปยังห้องโถงด้านข้าง
ไม่ช้า ชายวัยกลางคนผู้มีภาพลักษณ์ละเอียดอ่อน ก็เดินออกมาจากห้องหลังโต๊ะผลึกใสอย่างรวดเร็ว เขาเป็นผู้ดูแลศาลาหลิงอวิ๋นของสังกัดนี้
เขายื่นมือมารับป้ายหยกหลิงเซียว แล้วตรวจสอบมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นส่งมันคืนให้หลัวเฉิงด้วยท่าทางเคารพ
“มันคือป้ายหยกหลิงเซียวจริงๆ ราคาเดิมของสมุนไพรและโอสถคือสองล้านหกแสนตำลึง แต่ด้วยส่วนลดสองส่วน ก็จะเหลือราคาเพียงสองล้านแปดหมื่นตำลึง”
หลัวเฉิงพยักหน้าและหยิบบัตรทองสองล้านแปดหมื่นตำลึงออกมาทันที
ฉากนี้ทำให้หญิงรับใช้หลายคนที่อยู่โดยรอบต่างรู้สึกริษยาและเสียใจ
ค่าตอบแทนพิเศษสำหรับการดูแลลูกค้าคนสำคัญที่ถือป้ายหยกหลิงเซียวนั้น สูงกว่าค่าตอบแทนทั่วไปมาก
ชายวัยกลางคนผู้ละเอียดอ่อนแย้มยิ้มกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่?”
“ข้าอยากดูอาวุธสมบัติระดับดาวด้วย” หลัวเฉิงกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ
“อาวุธสมบัติระดับดาวอยู่ในโถงใหญ่ข้างๆ”
ชายวัยกลางคนผู้ละเอียดอ่อนกล่าวอย่างรวดเร็ว จากนั้นหันกลับไปกล่าวกับหญิงรับใช้หน้ากลมที่อยู่ข้างๆ “เสี่ยวซวง เจ้าจงนำทางคุณชายไปดูเถิด”
“เจ้าค่ะ คุณชายเชิญทางด้านนี้”
หลังกล่าวจบ เสี่ยวซวงก็เดินนำในทันที
วืด!
ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในโถงหลักข้างๆ จู่ๆ หลัวเฉิงก็รู้สึกถึงแรงกดดันอันน่าประหวั่นใจพร้อมจิตสังหารที่รุนแรง พานให้เขาเกือบจะชักกระบี่ออกมา
เสี่ยวซวงสังเกตเห็นท่าทางของหลัวเฉิง ดวงตาของนางก็ฉายแววความประหลาดใจ จากนั้นนางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ดูเหมือนว่าคุณชายจะเป็นนักกระบี่ ทั้งยังมีทักษะกระบี่ที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย”
“ไฉนเจ้าจึงคิดเช่นนั้น?” หลัวเฉิงเอ่ยถามอย่างสงสัย
เสี่ยวซวงกล่าวว่า “โถงนี้ได้เก็บอาวุธสมบัติระดับดาวของศาลาหลิงอวิ๋นเอาไว้ ซึ่งมันเป็นกระบี่วิญญาณระดับสิบดาว มีเพียงนักกระบี่เท่านั้นที่สามารถสัมผัสพลังของมันได้”
“นั่นคือกระบี่เล่มนั้นงั้นหรือ!”
หลัวเฉิงเองก็สังเกตเห็นกระบี่อันโดดเด่นเล่มหนึ่งเช่นเดียวกัน
ที่ด้านหน้าสุดของโถงหลัก เป็นแท่นผลึกใสที่มีกระบี่เล่มหนึ่งแขวนอยู่
กระบี่เล่มนั้นแขวนอยู่ในแนวทแยงมุมของแท่นผลึก
กระบี่เล่มนี้ ทั้งเล่มเปล่งแสงสีแดงพร่างพราวราวกับเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วง โดยมีแสงดาวสิบดวงสะท้อนอยู่ภายในอย่างเลือนลาง!
แม้นจะอยู่ห่างออกไปหลายร้อยฉื่อ หลัวเฉิงก็รู้สึกถึงปราณกระบี่ที่ร้ายกาจและแรงกดดันอันมหาศาล คราได้สัมผัสถึงพลังของมัน ก็ราวกับว่าจิตวิญญาณของเขาจะถูกสะบั้นขาดออกเป็นชิ้นๆ
“กระบี่นี้ช่างมีพลังร้ายกาจยิ่งนัก!”
หลัวเฉิงอดไม่ได้ที่จะชื่นชม ก่อนทอดถอนสายตาจากการจ้องมองมันทันที
กระบี่วิญญาณสิบดาวไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถซื้อได้ในตอนนี้
หรือต่อให้เขาสามารถซื้อมันได้ แต่ก็ยังไม่สามารถใช้มันได้อยู่ดี
เพียงแค่พลังของกระบี่เล่มนี้ก็สามารถทำร้ายเขาได้แล้ว
นี่มันก็ไม่ต่างอันใดกับการมอบขวานยักษ์ให้กับทารกแม้แต่น้อย
เสี่ยวซวงถามว่า “ข้าขอเสียมารยาทถามท่านได้หรือไม่ ไม่ทราบว่าคุณชายอยู่ในระดับใดแล้ว”
“ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสอง”
เสี่ยวซวงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หากคุณชายอยู่ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสอง การใช้อาวุธสมบัติสองดาวนั้นจะเหมาะสมที่สุด เพราะอาวุธสองดาวนั้นสามารถเพิ่มพลังโจมตีให้กับคุณชายได้ถึงสามส่วนจากเดิม”
“หากเปรียบเทียบให้ถูก อาวุธระดับหนึ่งดาวนั้นมีคุณสมบัติด้อยเกินไป และไม่สามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ได้มากนัก หากเป็นอาวุธระดับสามดาวก็มีราคาที่สูงเกินไป ทั้งยังเหมาะกับผู้ฝึกยุทธ์ในช่วงปลายของขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์หรือสูงกว่านั้น”
หลัวเฉิงแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าช่างมีความรู้เป็นเลิศนัก ถ้าเช่นนั้นก็พาข้าไปดูอาวุธระดับสองดาวเถิด”
เมื่อได้รับคำชมจากหลัวเฉิง ใบหน้าเล็กๆ ของนางก็เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ นางตั้งใจหาความรู้เอาไว้เยอะมากเพื่อที่จะได้ทำงานในศาลาหลิงอวิ๋นแห่งนี้
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงบริเวณพื้นที่กระบี่สองดาว หลัวเฉิงจึงเริ่มมองกระบี่เหล่านั้นโดยละเอียด
“กระบี่ไร้ลักษณ์! กระบี่แดงจรัส! กระบี่ลายโลหิต! กระบี่วิหคเหิน…”
กระบี่เหล่านี้ล้วนมีคุณภาพดีทั้งสิ้น ทันทีที่พวกมันถูกชักออกจากฝัก มันก็แผ่พลังรัศมีอันแข็งแกร่งออกมา กระบี่แต่ละเล่มล้วนเหนือกว่ากระบี่ของหลัวเฉิงอย่างมาก
ราคากระบี่ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของกระบี่เช่นกัน ซึ่งเริ่มต้นที่ห้าแสนตำลึงไปจนถึงล้านตำลึง
หลัวเฉิงทดลองกวัดแกว่งกระบี่ยาวหลายเล่มในคราเดียว แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจกับกระบี่เหล่านี้มากนัก