ตอนที่ 19 ต้องชะตา และลิขิตสวรรค์
ตอนที่ 19 ต้องชะตา และลิขิตสวรรค์
แม้ว่ามารเฮยเย่จะโจมตีออกไปด้วยพลังทั้งหมดของตน แต่น่าเสียดายด้วยพลังของเขาในเวลานี้ มันก็ไม่เพียงพอที่จะสังหารผู้อาวุโสเจ็ดได้ และทำได้เพียงสร้างบาดแผลร้ายแรงให้กับอีกฝ่ายเท่านั้น
ผู้อาวุโสเจ็ดคิดว่าตนจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พบว่าตนยังไม่ตาย เขาจึงลืมตาขึ้นด้วยความสับสน
“เจ้า...จะไม่ฆ่าข้าเหรอ?” ดวงตาของผู้อาวุโสเจ็ดเต็มไปด้วยความสงสัย เขาอดกลั้นต่ออาการบาดเจ็บในร่างกาย และถามด้วยเสียงต่ำ
“ฮึ!” มารเฮยเย่ส่งเสียงอย่างเย็นชา เขาไพล่มือไว้ที่ด้านหลังแล้วหันหลังกลับโดยไม่หันกลับมามอง
สิ่งนี้ทำให้ผู้อาวุโสเจ็ดยิ่งสับสนมากขึ้น เขาไม่เข้าใจว่าทำไมชายคนนี้ถึงยอมไว้ชีวิตเขา ในเมื่อเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีความสามารถพอที่จะฆ่าเขาได้ในทันที
มารเฮยเย่เดินเร็วขึ้น และเร็วขึ้น นั้นทำให้ผู้อาวุโสเจ็ดที่ยังคงจมอยู่ในโลกของตัวเองในขณะนั้นไม่ทันได้สังเกตเห็นสิ่งใดที่ผิดปกติเกี่ยวกับตัวเขา
หลังจากที่ผู้อาวุโสเจ็ดกลับมารู้สึกตัวได้ เขาสูดหายใจลึก ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำหลายคนกำลังมุ่งตรงมาหาเขาอย่างรวดเร็ว
จากประสบการณ์ก่อนหน้า ทั้งร่างของผู้อาวุโสเจ็ดสั่นเทา เขาหวาดกลัวมาก หันหลังกลับ และวิ่งหนีไปโดยไม่ลังเล ไม่สนใจร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลแม้แต่น้อย
หลังจากที่ผู้อาวุโสเจ็ดจากไป ร่างของมารเฮยเย่ก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากมุมๆ หนึ่ง
“อันตรายจริงๆ เกือบไปแล้ว” มารเฮยเย่ปาดเหงื่อเย็น จากหน้าผากของตน รูปลักษณ์ที่เย็นชา และยากจะเข้าใกล้ก่อนหน้านี้ของเขาได้หายไปจนหมด
“จุดอ่อนของวิชานี้ทำให้เกือบตายหลายรอบแล้ว! นี่ข้าคิดถูกหรือไม่เนี่ยที่เลือกฝึกวิชาเดิม” มารเฮยเย่กัดฟัน และสาปแช่งด้วยความโกรธ ไม่รู้ว่าเขาเคยเจอเรื่องแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสติปัญญาของเขา เขาอาจจะตายไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
วิชาที่มารเฮยเย่ฝึกฝนนั้นแข็งแกร่งมาก ทำให้เขาเติบโตได้อย่างรวดเร็วกว่าคนอื่นๆ
เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาทำได้เพียงสังหารผู้เชี่ยวชาญวิญญาณแรกเริ่มได้เท่านั้น แต่ตอนนี้เขาสามารถบดขยี้ผู้เชี่ยวชาญหลอมวิญญาณได้อย่างง่ายดาย
แต่ผลข้างเคียงของวิชาก็ร้ายแรงมากเช่นกัน แม้ว่าตอนกลางคืน เขาจะทรงพลังมาก แต่ในเวลากลางวัน เขาจะเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญแก่นทองคำขั้นต้น
“แต่มีสิ่งหนึ่งที่แปลก เหตุใดความเร็วในการฝึกฝนของข้าจึงเร็วกว่าเมื่อก่อนหลายเท่าหลังจากได้เข้าร่วมตระกูลลู่” มารเฮยเย่พึมพำกับตัวเอง อัตราการเติบโตของเขาเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมมาก มากจนตัวเขาเองก็ยังกลัวเลยทีเดียว
แม้ว่าวิชาที่เขาฝึกฝนจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ไม่ควรแข็งแกร่งถึงขนาดนี้!
ไม่เช่นนั้นเมื่อหลายพันปีที่แล้ว เขาคงไม่ถูกทุบตีจนตาย และต้องเกิดใหม่ในตระกูลลู่
“หรืออาจเป็นเพราะคัมภีร์ฮั่นหยวน?” ดูเหมือนว่ามารเฮยเย่จะนึกถึงบางสิ่งบางอย่างได้ และดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นเล็กน้อย
คัมภีร์ฮั่นหยวนเป็นสิ่งที่เฉพาะศิษย์ระดับสูง และหัวกะทิของตระกูลลู่เท่านั้นที่สามารถฝึกฝนได้
ตามตำนาน วิชานี้ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพบุรุษของตระกูล ลู่ซุน ซึ่งว่ากันว่าเขาทรงพลังอย่างยิ่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ หากฝึกฝนถึงระดับสูงก็สามารถต่อกรกับอมตะได้!
น่าเสียดายที่หนึ่งแสนปีผ่านไป และตระกูลลู่สูญเสียความแข็งแกร่งในอดีตไปนานแล้ว และมรดกส่วนใหญ่ก็สูญหายไป แม้แต่คัมภีร์ฮั่นหยวนที่เหลืออยู่ก็ยังไม่สมบูรณ์ เหลือเพียงไม่กี่บท ทำให้คนในตระกูลสามารถใช้ฝึกฝนไปจนถึงขอบเขตแก่นทองคำได้เท่านั้น
“เดี๋ยวก่อน คัมภีร์ฮั่นหยวนงั้นเหรอ? เหตุใดวิชาของตระกูลลู่จึงถูกตั้งชื่อว่า ‘หยวน’?” ดูเหมือนว่ามารเฮยเย่จะนึกถึงอะไรบางอย่างได้
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของสำนักมาร รู้ความลับโบราณมากมาย
ในโลกนี้มีเพียงไม่กี่วิชาเท่านั้นที่มีคำว่า ‘หยวน’ อยู่ในชื่อ มันแสดงถึงความสูงส่งของ ‘คัมภีร์ต้นกำเนิด’ วิชาระดับนี้ล้วนทรงพลังอย่างยิ่ง!
วิชาระดับนี้มักมีต้นกำเนิดมาจาก สำนักพุทธ สำนักเต๋า หรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ดำรงอยู่มาช้านาน!
“แต่ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่ข้าคาดเดาเอาไว้ ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลลู่ และคัมภีร์ฮั่นหยวนมาก่อนเลย” มารเฮยเย่เต็มไปด้วยความสงสัย เขาก็ขมวดคิ้ว และครุ่นคิดต่อไป
“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับสำนักสวินเต๋า และข้าก็เคยไปเยี่ยมชมเมื่อหลายพันปีก่อนด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าสำนักสวินเต๋าเป็นหนึ่งในสำนักรองของสำนักเต๋า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลลู่” ยิ่งมารเฮยเย่คิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งปวดหัวมากขึ้นเท่านั้น
“อะแฮ่ม...” ขณะนั้นก็มีร่างชายชราเดินเข้ามาหาเขาจากหางตา
ใบหน้าของฉีเหิงซีดมาก เขาถือดาบยาว และพร้อมที่จะต่อสู้จนตาย
“ผู้อาวุโสฉี?” มารเฮยเย่รู้จักฉีเหิง ดังนั้นเขาจึงกล่าวทักทายก่อน
“ชายชุดดำคนนั้นอยู่ที่ไหน?” ฉีเหิงมองมารเฮยเย่แล้วกล่าวขึ้น
“ข้าจัดการเขาไปแล้ว” มารเฮยเย่พูดอย่างสงบ ราวกับว่าเขากำลังพูดถึงสิ่งที่ไม่มีนัยสำคัญ
"..." มุมปากของฉีเหิงกระตุกเล็กน้อย และเขาเสียใจที่ได้ริเริ่มพูดคุยกับคนป่วยทางจิตคนนี้
“เจ้าคิดว่าข้าคุยโม้งั้นเหรอ?” เมื่อมารเฮยเย่เห็นว่าฉีเหิงไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูด เขาจึงขมวดคิ้ว และพูดขึ้น
“ถ้าเจ้าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งจริงๆ ก็มาลองรับดาบของข้าดูหน่อย ถ้าไม่กล้าก็อย่ามาคุยโวต่อหน้าข้าอีก ทำเช่นนั้น เจ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยงั้นรึ” ฉีเหิงกุมดาบเอาไว้แน่น เจตจำนงดาบค่อยๆ เล็ดลอดออกมา
มารเฮยเย่รู้สึกได้ถึงเจตจำนงดาบจากตัวฉีเหิง จากนั้นจึงมองดูท้องฟ้าที่ค่อยๆ สว่างขึ้นอย่างเงียบๆ และเลือกที่จะถอย
ฉีเหิงมองไปที่มารเฮยเย่ที่ค่อยๆ จากไปพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าของเขา
“ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะยังพอมีสติอยู่บ้าง เขารู้ดีว่าด้วยความแข็งแกร่งของตนไม่สามารถเอาชนะข้าได้ ในอนาคตข้าจะพยายามหาทางรักษาอาการป่วยทางจิตของเขา”
ฉีเหิงถอนความคิด เขายังคงถือดาบ และเดินต่อไป และเริ่มมองหาผู้อาวุโสเจ็ดที่จากไปนานแล้ว
“เจ้าแก่นั่น ถ้านี่เป็นตอนกลางคืนล่ะก็ ข้าจะทุบตีเจ้าให้ร้องเหมือนหมูเลย!” มารเฮยเย่หันหลังกลับ และมองดูฉีเหิงที่จากไปอย่างเงียบๆ และพูดด้วยความโกรธ
ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มผู้เชี่ยวชาญของตระกูลลู่ที่ออกเดินทางไปยังสำนักดาราไม่รู้ว่าพวกเขาเพิ่งรอดพ้นอันตรายจากการถูกทำลายล้าง
“นายน้อย ข้างหน้าเราคือที่ตั้งของสำนักดารา ค่ายกลป้องกันของพวกเขาถูกเรียกว่า ‘ค่ายกลหมื่นดาว’ ว่ากันว่ามันถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ค่ายกล แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญหลอมวิญญาณก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลนี้ได้” ผู้อาวุโสสองพูดขึ้นพร้อมกับมองไปที่ลู่ซวน
“ค่ายกลป้องกันที่สามารถต้านทานผู้เชี่ยวชาญหลอมวิญญาณได้?” หลังจากที่ลู่ซวนได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสสอง แววตาแห่งความอิจฉาก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
คงจะดีไม่น้อย หากเขามีค่ายกลนี้ตั้งอยู่ที่บ้าน
“งั้นเราควรจะทำอย่างไรดี ค่ายกลนี้ทรงพลังมาก ถ้าเราพยายามทำลายมันด้วยกำลัง ศัตรูก็จะรู้ตัว และการลอบโจมตีของเราก็จะล้มเหลว” ผู้อาวุโสสามถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ไม่ต้องกังวลไป เจ้าคิดว่าพวกเขามีทรัพยากรมากพอที่จะเปิดค่ายกลป้องกันได้ตลอดทั้งวันงั้นรึ? ไม่รู้หรือว่านั่นต้องใช้หินวิญญาณมากมายแค่ไหน?”
“ยกเว้นช่วงเวลาพิเศษค่ายกลของสำนักดาราจะไม่ถูกเปิด ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพวกเขาคือสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดภายในรัศมีสามหมื่นลี้ พวกเขาค่อนข้างมั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเอง”
ผู้อาวุโสสองเริ่มอิจฉามากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เขาพูด และน้ำลายของเขาก็แทบจะหยดออกมาจากมุมปาก
"ข้าคิดว่าค่ายกลนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลลู่ของเรา!" ผู้อาวุโสหนึ่งแตะเคราของตน และพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง