Chapter 77 ต้นไม้ใบหญ้าล้วนเป็นกองทหารทั้งสิ้น
草木皆兵 Cǎomùjiēbīng “เฉ่ามู่เจียปิง” หรือ เหมาว่าต้นไม้ใบหญ้าต่างเป็นทหารศัตรู ถูกนำมาเป็นสุภาษิต ใช้เปรียบเทียบกับอาการกลัวเกินกว่าเหตุ กลัวจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน
หลังจากที่เข้ามาในพายุทรายหลายร้อยก้าว ทันใดนั้น พายุทรายที่ทรงพลังมากมายดูเหมือนจะซัดตลบอบอวล ราวกับว่ามันถูกขวางกั้นด้วยอะไรบางอย่างที่ลึกอยู่ด้านใน.
มีประตูบานหนึ่ง ที่มีขนาดใหญ่สูงกว่า 300 เมตร รอบ ๆ ประตูนั้นมีพายุทรายที่เกรี้ยวกราดกำลังหมุนวนอยู่รอบ ๆ ประตูโทน ๆ ที่ปรากฏขึ้นบนอากาศ ราวกับว่ามันเป็นประตูที่จะไขเข้าไปสู่อีกมิติหนึ่ง ดูแข็งแกร่งทรงพลังน่าเกรงขามมาก.
ที่ด้านหน้าของประตูนั้นดูเหมือนว่าจะมีหมอกสีขาวจาง ๆ อยู่ ทำให้ทุกคนไม่สามารถมองเห็นด้านในได้อย่างชัดเจน ทว่าที่ด้านบนของประตูเหนือขึ้นไปนั้น มีป้ายหยก พร้อมกับสลักอักษรขนาดใหญ่ บาดเจ็บ(伤) เป็นประตูบาดเจ็บ(伤) ที่เขียนด้วยอักษรที่น่าขนลุกน่าเกรงขามไม่น้อย.
ประตูบาดเจ็บ(伤)!
ท่ามกลางประตูทั้งแปดนั้น ประตูบาดเจ็บ(伤) หมายถึงตำแหน่งแห่งอันตรายและความโชคร้าย.
ด้วยการนำของกงจูเฉียนโหยว นางไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ยังคงนำคนทั้งหมดตรงเข้าไปในประตูดังกล่าว.
จงซาน ที่กุมมือหญิงสาวทั้งสองและตามเข้าไป.
ทันใดนั้น สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ก็เปลี่ยนไปในทันที จากตอนแรกที่เป็นพายุทรายที่พัดกระหน่ำ ทันใดนั้นก็ลายเป็นทุ่งหญ้าที่สุดลูกหูลูกตา มองเห็นท้องฟ้าที่สูงขึ้นไปและพื้นดินเป็นสีแดง เป็นสีแดงที่ถูกชโลมไปด้วยโลหิต จากนั้นไม่นาน ก็ปรากฏกองทัพหนึ่งกองขึ้นมาด้านหน้าในทันที เป็นกองทัพที่ปรากฏขึ้นมาจากทุ่งหญ้า พร้อมกับพุ่งตรงตวัดอาวุธเข้าห้ำหั่นมายังทุกคน.
เป็นทหารที่ดูทรงพลังน่าหวาดกลัวมาก ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระหายโลหิต ร่างกายที่โชกไปด้วยสีแดงอาบโลหิต ทหารเกือบทุกคน มีบาดแผลเต็มไปหมด พวกเขาที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่งราวกับสัตว์ป่า.
เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดวงตาของจงซานที่หรี่เล็กลง เพ่งพิศไปยังกองทัพดังกล่าว.
หึ.
ทั้งหมดนั่นเป็นภาพลวงตา จงซานที่สามารถยืนยันได้ทันที เขาที่อดทนใช้ชีวิตมาหลายต่อหลายปีด้วยความเจ็บปวด ได้ขัดเกาปราสาทสัมผัสและหัวใจให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผา เพียงแค่ภาพลวงตาที่อ่อนแอเช่นนี้คิดจะมาหลอกลวงเขาได้อย่างงั้นรึ?
แทบจะในทันที จงซานที่ราวกับว่าถูกดีดออกมาจากสนามรบ ทันใดนั้น เหล่าทหารก็ถอยออกไปในทันที ทุกอย่างรอบ ๆ กำลังถูกผลักให้ถอยออกไป และจงซานก็ถูกส่งเข้าไปในความว่างเปล่า ราวกับว่าพื้นที่รอบ ๆ นั้นไม่มีอะไรเลยแม้แต่น้อย ทว่าจงซานก็ยังสัมผัสได้ว่า ทุกอย่างนั้นกำลังโคจรหมุนวนอยู่รอบ ๆ ร่างกายของเขา.
สภาพแวดล้อมที่หมุนวนรอบ ๆ ร่างกายของเขาอย่างรวดเร็วนั้น ทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง พื้นที่รอบ ๆ ได้เปลี่ยนไปแล้ว สนามรบได้เปลี่ยนไป มันกลายเป็นถ้ำแห่งหนึ่งที่มีอสรพิษมากมาย เป็นอสรพิษที่กำลังเลื้อยไปมาพร้อมกับมีศพมากมายที่นอนกองกันอยู่รอบ ๆ อสรพิษที่ปล่อยพิษออกมาไม่หยุดหย่อน และจงซานก็พบว่าเขาตอนนี้ได้ยืนอยู่ใจกลางของหลุมที่เต็มไปด้วยอสรพิษ เป็นใจกลางหลุมที่มีอสรพิษนับหมื่นตัว.
จงซานยังคงใจเย็น ในเมื่อเขารู้ว่ามันเป็นภาพลวงตา จงซานจึงยังรักษาสมาธิได้ เหล่าอสรพิษรอบ ๆ ร่างกายของเขานั้นไม่มีผลอะไรกับเขาเลย จากนั้นพื้นที่รอบ ๆ ก็เปลี่ยนไปอีกเป็นปิศาจร้ายที่หิวโหยกำลังเข้ามาแทะร่างกายของเขา..........
เกิดภาพลวงตาทั้งหมดแปดอย่าง ทว่าจงซานก็ยังสุขุมไร้ซึ่งผลกระทบ ไม่มีภาพลวงตาใหนที่จะสั่นคลอนจิตใจเขาได้เลย?
หลังจากนั้นภาพลวงตาทั้งหมดก็สลายไป ก่อนที่จงซานจะกลับมาสู่โลกความจริง.
มีคนทั้งหมด 16 คนในกลุ่มของเขา ทุกคนกำลังยืนอยู่บนลานกว้างแห่งหนึ่ง ทว่าที่ไกลออกไปนั้น ดูเหมือนว่าจะมีคนหลายร้อยคนที่เข้ามาก่อนพวกเขา ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังอยู่ในสภาวะสับสน หลาย ๆ คนอยู่ในท่าทางประหลาด หลายคนที่กำลังสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว บางคนถึงกับเริ่มต่อสู้กับคนอื่น ๆ ที่ไกลออกไปนั้น มีประตูอีกบานที่มีขนาดใหญ่ ทว่าที่ด้านบนประตูนั้นไม่มีป้ายใด ๆ อยู่บนประตูดังกล่าวนั่น.
จงซานที่เห็นว่ามีบางคนที่เข้าไปในประตูแห่งนั้นหลังจากที่พวกเขาได้สติขึ้นมา ดูเหมือนว่าคนที่หลุดออกมาได้จากภาพลวงตาถึงจะมีสิทธิเข้าไปในประตูต่อไป.
ไม่นานหลังจากนั้น หยิงหลานก็ได้สติ เทียนหลิงเอ๋อและเป่ยชิงซือเองก็ดูเหมือนว่าจะได้สติก่อนจงซานอีกด้วย.
"จงซาน เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาอย่างงั้นรึ? เจ้าเองก็เหมือนกัน เมื่อเจ้าเข้ามา เห็นนิ่งเงียบไปเป็นอะไรอย่างงั้นรึ?"เทียนหลิงเอ๋อที่สอบถามจงซานด้วยเสียงแผ่วเบา.
จงซานถึงกับพูดไม่ออก เทียนหลิงเอ๋อไม่ได้พบกับภาพลวงตาเลยอย่างงั้นรึ?มันจะเป็นไปได้อย่างไร?
"กู่เหยี่ยเยี่ย ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย ข้าเคยใช้ค่ายกลเพื่อลวงหลอกศัตรูมาตลอด วันนี้ต้องพลาดท่าตกอยู่ในค่ายลที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ น่าอัศจรรย์ใจนัก"หยิงหลานที่อุทานออกมา.
เป่ยชิงซือที่อยู่ข้าง ๆ เขา นางไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่จ้องมองไปรอบ ๆ พร้อมกับขมวดคิ้วไปมา ไม่มีใครรู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่.
กงจู่เฉียนโหยวเองก็กลับมาสู่ความเป็นจริงนานแล้วเช่นกัน นางเองก็เหมือนกับจงซาน ที่รับรู้ได้ว่าทั้งหมดที่พบเจอนั้นคือภาพลวงตา อย่างไรก็ตาม นางก็ไม่ได้พยายามที่จะปลุกคนอื่น ๆ นางที่สังเกตท่าทางผู้ติดตามทั้งสิบคน.
นี่คือ "ค่ายกลลวงใจ."เป็นค่ายกลที่สะกดปราสาทสัมผัสของคนอื่น ๆ หากว่าไม่มีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งพอ จะทำให้สับสนบ้าคลั่ง จนบางครั้งอาจจะสามารถสังหารพวกเดียวกันได้เลย ถือว่าเป็นค่ายกลที่ทรงพลังที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากในการเอาชนะศัตรู.
องค์รักษ์ซ้ายขวาของนาง อาต้าและอาเอ้อ ไม่ได้ทำให้นางผิดหวัง พวกเขาเองก็คืนสติได้ ในเวลาไม่นาน.
กู่หลิน ในเวลานี้กำลังลงไปนอนกลิ้งไปมา ร่างกายสั่นสะท้าน ตัวสั่นงันงก กงจูเฉียนโหยวที่จ้องมองไปที่เขาด้วยท่าทางรังเกียจ.
ผู้ใต้บังคับบัญชาของนาง 8 คน ห้าคนตอนนี้ฟื้นแล้ว มีเพียงแค่สามคนที่ยังไม่ได้สติ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังจะอยู่ย่ำแย่ทีเดียว หนึ่งคนที่กำลังถอดเสื้อผ้าออก อีกหนึ่งคนที่ยกกระบี่ขึ้นพร้อมกับทะลวงไปรอบ ๆ ส่วนคนที่สามตัวสั่นงันงกเหมือน ๆ กันกับกู่หลิน.
ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการตรวจสอบความแข็งแกร่งด้านจิตใจผู้ติดตามของนาง แต่ที่คาดไม่ถึงนั้นนางพบว่ากลุ่มของจงซานนั้นฟื้นคืนสติได้อย่างรวดเร็ว พวกเขามีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนในระดับแกนทองเลยอย่างงั้นรึ?
นางยังพอเข้าใจได้ว่าหญิงสาวผมขาวนั่นอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นแกนทองแล้ว ทว่าอีกสามคนล่ะ?เทียนหลิงเอ๋อที่ราวกับว่าจะไม่ได้รับผลอะไรเลย เพราะว่านางยังไร้เดียงสาและไม่ได้มีจิตใจชั่วร้ายอะไร อย่างไรก็ตาม อีกสองคนที่เหลือล่ะ?จงซาน?หรือหญิงสาวชุดดำ?
หญิงสาวในชุดคลุมดำนั่นยังไปไม่ถึงระดับเซียนเทียนด้วยซ้ำ นางกลับสามารถหลุดออกมาจากภาพลวงตาง่าย ๆ เลยรึ? แน่นอนว่ากงจูเฉียนโหยวอาจจะไม่รู้ว่าหยิงหลานนั้นได้เข้าสู่สนามรบตั้งแต่อายุ 12 ปี นางที่ผ่านความเป็นความตายมากมายหลายครั้งนับไม่ถ้วน สภาพจิตใจของนางย่อมแข็งแกร่งเพียงพอที่จะผ่านภาพลวงตาได้.
กงจู่เฉียนโหยวที่ชำเลืองมองไปยังสามผู้ใต้บังคับบัญชาและกู่หลินพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น นางรู้สึกไม่พอใจกับพวกเขาที่ไร้ความสามารถจริง ๆ
"หึ!"
กงจูเฉียนโหยวที่แค่นเสียงส่งพลังที่แปลกประหลาดกระแทกเข้าไปในรูหูของคนทั้งสี่ที่กำลังสับสนบ้าคลั่งอยู่.
ราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงมาอย่างรุนแรง.
พวกเขาที่นิ่งงันสั่นสะท้านก่อนที่จะค่อย ๆ ตื่นขึ้นมา.
"เฉียนโหยว เฉียนโหยว เกิดอะไรขึ้น? มันเกิดอะไรขึ้น?"กู่หลินที่ชโลมไปด้วยเหงื่อใบหน้าที่ยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังหวาดกลัวในภาพลวงตาอย่างรุนแรง.
"อาเอ้อ."เฉียนโหยวที่เอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวล.
"ครับ."อาเอ้อที่โค้งคำนับตอบรับในทันที.
ด้วยการสะบัดมือไปมา ก้อนกวาดอีกหลายก้อนที่ถูกลอยออกไปยังกลุ่มคนด้านหน้าที่ยังติดอยู่ในภาพลวงตา เขาที่ใช้กำลังพอเหมาะโจมตีไปยังคนที่อยู่รอบ ๆ .
เป้าหมายทั้งหมดที่อยู่ด้านหน้าก็ราวกับว่าจะตื่นจากฝันร้าย พวกเขาได้สติกลับคืนมา กลับมาสู่ความเป็นจริง หลังจากที่พวกเขามองเห็นประตูขนาดใหญ่ด้านหน้า ทุกคนก็รีบเร่งเข้าไปด้านในโดยที่ไม่หันหลังกลับมาเลย.
กงจูเฉียนโหยวที่ชำเลืองมองกลุ่มของจงซานด้วยความประหลาดใจ ปรากฏรอยยิ้มและความสนใจอยู่เหมือนกัน.
"เดินทางต่อ."กงจูเฉียนโหยวที่ออกคำสั่ง.
พวกเขาทุกคนที่ตามกงจู่เฉียนโหยวเข้าไปยังประตูต่อไป.
ก่อนที่จะเข้าประตู กงจูเฉียนโหยวที่หยุดและหันกลับมายังผู้ติดตามและกล่าวออกไปว่า"ค่ายกลลวงใจ คือค่ายกลที่ทดสอบความแข็งแกร่งของจิตใจ ในประตูบาดเจ็บ(伤) เป็นตำแหน่งของอันตรายและความโชคร้าย ทดสอบทั้งจิตใจและร่างกายตามที่เซียนเซิงสุ่ยจิง ได้บอกไว้ เพียงแค่ทดสอบจิตใจก็ย่ำแย่แล้ว ต่อไปทดสอบทั้งร่างกายและจิตใจอย่าได้ทำให้ข้าขายหน้าอีก."
"ครับ."ชายสามคนที่ถูกครอบงำจิตใจก่อนหน้านี้ตอบรับด้วยความอับอาย.
ส่วนกู่หลิน ยังคงเงียบ ราวกับว่าเขานั้นไม่มีตัวตน.
"เช่นนั้น ไปกันได้."กงจู่เฉียนโหยวกล่าว.
เมื่อพวกเขาเข้ามาในประตูที่สอง ก็ปรากฏเป็นทุ่งหญ้าเหมือนกับที่เคยเห็นก่อนหน้า ทว่าตอนนี้กลับไม่มีร่องรอยของประตูที่สามเลย.
โลกแห่งนี้ไม่มีดวงตะวันบนท้องฟ้า มีเพียงแค่ดวงตาขนาดมหึมาที่ส่องประกายแสงส่องลงมายังพื้นด้านล่าง ราวกับกำลังจ้องมองด้านล่างอยู่.
"นี่คือค่ายกลดวงตาอย่างงั้นรึ?"กู่หลินที่จ้องมองไปยังบนท้องฟ้าที่ไม่มีดวงตะวันแต่กลับเป็นเป็นดวงตาขนาดใหญ่ก็รู้สึกประหลาดใจ.
"นี่คือค่ายกลดวงตา ดวงตามังกรกำลังจ้องมองพวกเราอยู่ พวกเราจะต้องหาเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อไปให้ถึงดวงตามังกร."เฉียนโหยวกล่าวออกมาพร้อมกับพยักหน้า.
"เช่นนั้นก็บินขึ้นไปบนนั้น."กู่หลินที่ตอบกลับออกมาในทันที.
"ที่นี่ไม่ใช่โลกด้านนอก บินอย่างงั้นรึ? ดวงตามังกรนั้นอยู่สูงเกินกว่าที่เจ้าจะบินขึ้นไปถึง นี่คือค่ายกลที่ผสมระหว่างความจริงและภาพลวงตา การจะไปถึงดวงตามังกรนั้น พวกเราจะต้องค้นหาประตูล่องหนให้เจอ."กงจูเฉียนโหยวกล่าว.
"ประตูล่องหน? มันอยู่ที่ใหนล่ะ?"กู่หลินถาม.
"พวกเราจะมองเห็นมันในไม่ช้า รอคอยให้เซียนเซิงสุ่ยจิงทำภารกิจในฝั่งของเขาเสร็จ ประตูล่องหนก็จะปรากฏตัวออกมา พวกเราแค่รักษาที่มั่นเอาไว้ก็พอ."กงจูเฉียนโหยวกล่าว.
"เช่นนั้นพวกเราก็ถอยออกไปก่อน ให้อาต้าอยู่ที่นี่ เมื่อประตูล่องหนปรากฏ ค่อยให้เขาไปแจ้งพวกเรา."กู่หลินที่กล่าวออกมาอย่างอหังการ ราวกับว่าเขาเป็นคนที่สามารถแสดงความคิดที่ยอดเยี่ยมได้.
"ถอยอย่างงั้นรึ? ในเมื่อเจ้าเข้ามาในประตูแล้ว ไม่สามารถกลับออกไปได้."กงจู่เฉียนโหยวกล่าว.
"ไม่สามารถออกไปได้?"กู่หลินที่แสดงท่าทางประหลาดใจ.
"หากว่าเจ้าออกไปยังประตูอื่นแล้ว ตำแหน่งนั่นจะไม่ใช่ประตูบาดเจ็บ(伤)อีกต่อไป พวกเราจะไปปรากฏที่ประตูอื่น ๆ ที่เหลือทั้งเจ็ด เป็นไปไม่ได้ที่จะกลับมายังที่นี่อีกครั้ง."กงจู่เฉียนโหยวกล่าวเตือน.
"หืม?"กู่หลินไม่อยากเชื่อสิ่งที่เขาได้ยินเลยแม้แต่น้อย.
จงซานที่จ้องมองรอบ ๆ ทุ่งหญ้าแห่งนี้.
แม้ว่าพื้นดินนั้นจะไม่ได้โชกไปด้วยโลหิต อย่างไรก็ตามเขายังสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ไม่มีสิ้นสุดแฝงเอาไว้อยู่.
จงซานสามารถมองเห็นได้ว่ากลุ่มคนที่เข้ามาก่อนพวกเขานั้นกำลังถูกกองทัพเข้าปิดล้อมพวกเขาอยู่.
กองทัพ?กองทัพมาจากใหนกัน?ไม่ใช่ว่าค่ายกลนี้มีแค่เพียงคนเดียวเป็นผู้ควบคุมหรอกรึ?
ขณะที่จงซานสงสัย ทันใดนั้นเขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งไม่ไกลออกไป ถูกล้อมรอบไปด้วยต้นหญ้า มันเติบโตขึ้นมาในทันที จากนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นรูปร่างของมนุษย์ กิ่งก้านของพวกมันกลายเป็นอาวุธ พร้อมกับพุ่งตรงเข้าล้อมรอบกลุ่มคนดังกล่าวเพื่อสังหารพวกเขา? วัชพืชต่าง ๆ เปลี่ยนเป็นกองทัพ?ต้นไม้ใบหญ้าล้วนเป็นกองทหาร?