Chapter 74 กู่เฉียนโหยว.
จงซานที่จ้องมองไปยังหยิงหลานด้วยท่าทางสงสัย กับสี่อักษรที่นางเขียนบนฝ่ามือ ทำให้เขาชำเลืองมองนาง ดูเหมือนสาวน้อยคนนี้จะซนเกินไปแล้ว.
จงซานที่จ้องมองไปที่นาง หยิงหลานที่แลบลิ้นน้อย ๆ ด้วยท่าทางทะเล้นออกมา ดวงตาที่บ้องแบ้วแสดงท่าทางใสซื่อ ไม่ว่าอย่างไรกับเรื่องที่นางเห็น ภายในใจของหยิงหลานได้คิดว่าจงซานจงใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว.
"หลิงเอ๋อ เกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นรึ?เจ้าร้องไห้รึอย่างไร?"หยุนเฉียนที่กลับมาพร้อมกับศิษย์น้องอีกหลายคนของสำนักไคหยาง.
"ไม่ ๆ ศิษย์พี่หยุนเฉียน ท่านเข้าใจผิดแล้ว."เทียนหลิงเอ๋อเผยยิ้มออกมาราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย.
แน่นอนที่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนั้นมีไม่กี่คนเท่านั้น เป่ยชิงซือ เทียนชา จงซานและหยิงหลานเท่านั้น และก็ไม่มีใครกล่าวอะไรออกมาแน่นอน.
หยุนเฉียนที่กำลังจะสอบถามเทียนชาและเป่ยชิงซือ ทันใดนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนมาเป็นระวังในทันที หันหน้าจ้องมองไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ.
คนสามคนที่บินมายังทิศทางของพวกเขา.
หญิงสาวคนหนึ่งที่นำชายสองคนด้านหลังมาด้วย ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนาง คนทั้งสามที่มุ่งตรงมายังทิศทางที่พวกเขาอยู่ ขณะเดียวกันจงซานที่จ้องมองออกไป รู้สึกต้องระมัดระวังขึ้นมากเลยทีเดียว.
คนเหล่านั้นไม่ได้เหยียบอยู่บนกระบี่เหิน ทว่าพวกเขาเหยียบอยู่บนสายลมลอยมา.
การที่สามารถบินได้โดยไม่ใช้ของวิเศษนั่นก็หมายความว่าพวกเขาได้ก้าวไปถึงระดับก่อตั้งวิญญาณแล้วเท่านั้น แน่นอนแม้แต่คนที่ก้าวไปถึงระดับสูงสุดของขั้นแกนทองยังไม่สามารถบินได้หากว่าไร้ซึ่งของวิเศษช่วย.
คนทั้งสามต่างก็อยู่ในระดับก่อตั้งวิญญาณอย่างงั้นรึ?
ทำไมพวกเขาบินมาที่นี่ล่ะ?พวกเขาเป็นใครกัน?มาจากสำนักใหน? เป็นกลุ่มเดียวกันทั้งสามคนเลยรึ?
กลุ่มของจงซานเวลานี้ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดออกมา ทุกคนต่างก็อยู่ในสภาวะเฝ้าระวัง.
คนทั้งสามที่ลอยมาก่อนที่จะร่อนลงที่ด้านหน้าของพวกเขา.
หญิงสาวที่นำมานั้น นางสวมรองเท้าหนังอวดเรียวขาที่งดงามเป็นอย่างมาก พร้อมกับชุดคลุมสีม่วงที่ดูสมส่วนเข้ารูป ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ เผยความอหังการออกมา ท่าทางที่แผ่กลิ่นอายความสูงศักดิ์ออกมาเป็นระยะ ๆ
มือกระบี่สองคนดูเหมือนว่าจะเป็นองค์รักษ์ของนาง ซึ่งมองออกง่ายมากเพราะดูเจียมเนื้อเจียมตัวสงบเสงี่ยม ทว่าพวกเขาอยู่ระดับก่อตั้งวิญญาณเลยรึ? แม้จะดูธรรมดาแต่กับดูทรงพลังไม่น้อย.
"พวกเจ้าเป็นใคร?"เทียนชาสอบถามออกไปด้วยความเย็นชา มือของเขาที่กุมกระบี่เอาไว้.
เทียนชาเองก็เป็นคนอหังการอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าพลังฝึกตนจะด้อยกว่า ทว่าก็ยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ.
ทุก ๆ คนต่างก็จับจ้องไปยังคนทั้งสาม จงซานเองก็หรี่ตาลงอยู่ชั่วครู่เช่นกัน เขาสังเกตเห็นว่าหญิงสาวที่อยู่ด้านหน้านั้นชำเลืองมองมายังเขาอยู่ชั่วขณะ นางรู้จักเขาอย่างงั้นรึ?
หญิงสาวคนดังกล่าวเผยยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวลพร้อมกับโบกสะบัดมือเบา ๆ ก่อนที่จะปรากฏสิ่งของบางอย่างปรากฏอยู่บนมือ เป็นตราหยกเจ็ดสี.
มันคืออะไรกัน?
"ตราคำสั่งอาวุโส? ท่านคืออาวุโสจื่อซวิน?"หยุนเฉียนที่กล่าวออกมาด้วยท่าทางประหลาดใจ.
อาวุโสจื่อซวิน? จื่อซวิน? จงซานที่ถอยหลังโดยไม่รู้ตัวเมื่อได้ยินชื่อ เทพธิดาจื่อซวินอย่างงั้นรึ? เป็นเทพธิดาจื่อซวินที่เขาพบหลังจากงานชุมนุมประตูมังกรเมื่อครั้งเขาได้เคล็ดวิชาหงหลวนหรือไม่? เทพธิดาจื่อซวินที่ได้ร่วมเรียงเคียงหมอนหนึ่งคืนกับเขา? ไม่ นี่ไม่ใช่นางแน่.
"นั่นไม่ใช่ตราคำสั่งของสำนักไคหยาง เจ้าเป็นใคร?"เทียนชาขมวดคิ้ว.
หญิงสาวผู้นั้นเผยยิ้มให้กับเทียนชา."ข้าคืออาวุโสของสำนักยวีเหิง กู่เฉียนโหยว."
"สำนักยวีเหิงรึ?"ทั้งเทียนชาและเป่ยชิงซือขมวดคิ้วเล็กน้อย.
"อาวุโส ข้าขอดูป้ายคำสั่งนั่นได้หรือไม่?"เทียนชากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล.
หญิงสาวได้มอบป้ายตราให้กับคนของเขาด้านหลังส่งให้กับเทียนชา.
เทียนชาที่ตรวจสอบก่อนที่จะส่งคืนให้กับองค์รักษ์ของหญิงสาวคนดังกล่าว.
"สำนักไคหยาง เทียนชา คารวะอาวุโสพันธมิตร."
"คารวะอาวุโสพันธมิตร."ทุกคนที่โค้งคำนับหญิงสาวคนดังกล่าว.
จงซานเองก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดเช่นกันในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับอาวุโสพันธมิตรมากนัก เขาคาดเดาได้แค่เพียงบางคำว่า พันธมิตร? ดูเหมือนว่าจะเป็นสำนักพันธมิตรของสำนักไคหยาง?สำนักยวีเหิง?
สำนักไคหยางนับว่าเป็นสำนักเซียนขนาดใหญ่ ทว่าพวกเขาก็จำเป็นต้องมีสำนักพันธมิตร?
อย่างไรก็ตาม จากบทสนทนาสั้น ๆ นั่น จงซานที่ได้ข้อมูลสำคัญบางอย่างมา เขาเริ่มมั่นใจแล้วว่าตอนนี้เทพธิดาจื่อซวินนั้นอยู่ในสำนักไคหยาง และเป็นอาวุโสคนหนึ่งด้วย แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นนางเลยก็ตามที.
"มีสิ่งใดที่อาวุโสต้องการให้พวกเราทำอย่างงั้นรึ?"เทียนชาที่สอบถามกู่เฉียนโหยว.
"พวกเจ้าไม่ได้วางแผนที่จะผ่านค่ายกลแปดประตูกุญแจทองหรอกรึ?"กู่เฉียนโหยวที่ตอบกลับ.
"อาวุโส ท่านโปรดกล่าวออกมาตรง ๆ เถอะ."เทียนชาที่จับจ้องมองไปยังกู่เฉียนโหยว.
กู่เฉียนโหยวที่เผยยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวล."เอาล่ะ ๆ ในเมื่อสำนักของพวกเราเป็นพันธมิตรกัน ข้าไม่ต้องการให้เป็นพิธีการมากเกินไป ข้าสังเกตว่าพวกเจ้าอยู่ที่นี่มาระยะหนึ่งแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเจ้าเองต้องการจะเข้าไปในค่ายกลแต่ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าเองก็ต้องการสิ่งตกทอดที่อยู่ในค่ายกลแปดประตูกุญแจทองใช่รึไม่?"
เป่ยชิงซือขมวดคิ้วไปมาทว่าไม่ได้กล่าวสิ่งใด สิ่งที่นางต้องการนั้นคือหลักฐานที่จะสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์บิดาของนางเท่านั้น.
เทียนชาจ้องมองไปยังกู่เฉียนโหยวก่อนที่จะตอบกลับไปโดยไร้ซึ่งลังเล."ในเมื่ออาวุโสได้เอ่ยถึงค่ายกลสงคราม แสดงว่าที่นี่มีจิตวิญญาณค่ายกลอย่างงั้นรึ?"
"ข้าเองก็รับประกันไม่ได้หรอกว่าที่นี่มีจิตวิญญาณค่ายกล ทว่าข้าสามารถคาดเดาได้ว่า พวกเจ้าก่อนหน้าได้ลองพยายามแล้ว ทว่าก็ไม่สามารถทะลวงผ่านเข้าไปข้างในได้ใช่หรือไม่?"สายตาที่เต็มไปด้วยมารยาเป็นประกายในสายตาของนาง.
เทียนชาเองก็ได้แต่เงียบ! คนอื่น ๆ เองก็ไม่ต่างกัน.
"ค่ายกลนี้ซับซ้อนเป็นอย่างมาก มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทะลวงไปได้หากว่ามีคนไม่พอ เช่นนั้นข้าจึงต้องการพันธมิตรเช่นพวกเจ้าเพื่อช่วยในการทะลวงคายกลแห่งนี้ เอาเป็นว่าใครที่ได้จิตวิญญาณค่ายกลก่อนเป็นคนแรก ให้เป็นของคน ๆ นั้นเลยเป็นอย่างไร?"กู่เฉียนโหยวที่รู้สึกมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก นางเชื่อว่าด้วยข้อเสนอนี้เทียนชาจะไม่ปฏิเสธข้อเสนอของนางอย่างแน่นอน.
เทียนชาที่ขมวดคิ้วไปมา ครุ่นคิดและมองไปรอบ ๆ ดวงตาของเทียนชาหรี่ลง ท้ายที่สุดก็หันกลับไปมองกู่เฉียนโหยวอีกครั้งและกล่าวว่า "แล้วศิลาวิญญาณในค่ายกลล่ะ?"
"หากเจ้าตกลง พวกเราจะไม่แตะศิลาวิญญาณในนั้นเลยแม้แต่น้อย ทว่าพวกเราต้องเป็นผู้นำในการจัดแจงทุกอย่างในการเข้าไปในค่ายกลนั่น."กู่เฉียนโหยวที่ตอบ.
"ตกลง."เทียนชาพยักหน้าในทันที.
ด้วยคำมั่นของเทียนชา กู่เฉียนโหยวที่เผยยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ "เช่นนั้นก็ตามข้ามา."
กู่เฉียนโหยวและองค์รักษ์ของนางที่บินตรงไปยังภูเขาทิศตะวันออกเฉียงเหนือ.
เทียนชาและเป่ยชิงซือ ต่างก็มองหน้ากันและกัน พวกเขาที่สั่งการคนอื่น ๆ จงซานที่ขึ้นกระบี่เหินไปกับหยุนเฉียน เทียนหลิงเอ๋อบินไปด้วยผ้าแพรไหมของนางและหยิงหลานก็ขึ้นกระบี่เหินไปกับเป่ยชิงซือ คนทั้งหมดสิบเอ็ดคนตามกู่เฉียนโหยวไป.
บนยอดเขาทางทิศเหนือนั้น กู่หลินและเซียนเซิงสุ่ยจิงที่เฝ้ามองไปยังทิศทางที่เฉียนโหยวกำลังกลับมา.
"สุ่ยจิง เจ้าบอกว่าคนกลุ่มนี้ยังไปไม่ถึงระดับก่อตั้งวิญญาณอย่างงั้นรึ? เช่นนั้นพวกเราจำเป็นต้องให้พวกเขามาช่วยด้วยรึ?"กู่หลินที่สอบถามเซียนเซิงสุ่ยจิงพร้อมกับขมวดคิ้วไปมา.
"การจะทะลวงผ่านค่ายกลแห่งนี้นั้นเป็นการประลองด้วยการต่อสู้ในศาสตร์ต่าง ๆ หลายอย่าง การให้พวกเขาช่วยนั้นไม่ได้แตกต่างจากผู้ฝึกตนก่อตั้งวิญญาณแม้แต่น้อย อีกอย่างมันยังง่ายในการควบคุมพวกเขาด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากว่าเกิดความขัดแย้งขึ้นมา การที่พวกเราจะสังหารผู้เชี่ยวชาญก่อตั้งวิญญาณนั้นยุ่งยากยิ่งกว่าขั้นแกนทองอย่างแน่นอน."เซียนเซิงสุ่ยจิงที่โบกสะบัดพัดไปมา.
"อืม."กู่หลินที่พยักหน้า แสดงท่าทางมีความสุขกับคำตอบของเซียนเซิงสุ่ยจิงเป็นครั้งแรก.
ไม่นานหลังจากนั้นทุกคนก็มาถึงยอดเขา.
จงซานที่ก้าวลงกระบี่เหินของหยุนเฉียน และจ้องมองไปยังกลุ่มที่อยู่ด้านหน้า มีผู้เยาว์ที่หล่อเหลาคนหนึ่งยืนอยู่ และมีชายที่เหมือนกับนักวิชาการถือพัดสะบัดไปมา และกลุ่มคนอื่น ๆ ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเหล่าองค์รักษ์.
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่แสดงท่าทางอหังการ แม้แต่เหล่าองค์รักษ์ยังเต็มไปด้วยท่าทางดูถูกกลุ่มของจงซานเป็นอย่างมาก.
"เซียนเซิงสุ่ยจิง ข้าได้นำคนของสำนักไคหยางมาที่นี่แล้ว คงต้องรบกวนท่านในการอธิบายวิธีในการทะลวงผ่านค่ายกลแล้ว."กู่เฉียนโหยวที่กล่าวต่อชายคนหนึ่งที่กำลังโบกสะบัดพัดอยู่.
ชายคนดังกล่าวที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม มีเพียงชายหนุ่มที่จ้องมองไปยังเป่ยชิงซือ เทียนหลิงเอ๋อและเทียนชา จากนั้นก็หันหน้าไปยังกู่เฉียนโหยว.
"ขอบคุณต้องลำบากกงจูแล้ว."เซียนเซิงสุ่ยจิงพยักหน้า.
"ข้าพรตเต๋า สุ่ยจิง ทุกท่านคงจะมาจากสำนักไคหยาง มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับค่ายกลแปดประตูกุญแจทองหรือไม่?"เซียนเซิงสุ่ยจิงที่สอบถามออกมาทันทีหลังจากที่จ้องมองไปยังกลุ่มคนของสำนักไคหยาง.
"ข้ารู้แค่เพียงว่าค่ายกลแปดประตูกุญแจทองนั้นเป็นค่ายกลสงครามที่ยากจะผ่านไปได้ พวกเราเองลองผ่านเข้าไปแล้วแต่ดูเหมือนว่ามันซับซ้อนจนเกินไป."
ทุก ๆ คนที่อยู่ด้านหลังเทียนชาต่างก็พยักหน้าเช่นกัน.
เป่ยชิงซือที่ขบริมฝีปากแน่นแม้ว่านางจะค่อนข้างเข้าใจเกี่ยวกับค่ายกลดังกล่าว ทว่าก็เลือกที่จะเงียบ ส่วนจงซานเองก็เงียบ ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ในเวลานี้เขาควรที่จะซ่อนแสงสว่างเอาไว้เพื่อรักษาตัวในที่มืด
"ชิ!"
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่แม้แต่มองมายังจงซานทันใดนั้นก็แค่นเสียงออกมา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขารู้สึกเหยียดหยันดูถูกคนของสำนักไคหยางเป็นอย่างมาก.
"ค่ายกลแปดประตูกุญแจทอง ประกอบด้วย ประตูทำลาย(休) ประตูชีวิต(生) ประตูบาดเจ็บ(伤) ประตูอุปสรรค(杜) ประตูทางออก(景) ประตูความตาย(死) ประตูความตื่นตระหนก(惊) และประตูเปิด(开) เป็นค่ายกลสงครามที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สามลึกลับ หกมั่นคง.สิบวันไม่เปลี่ยนผัน ค่ายกลที่ก่อตัวขั้นนั้น ประตูชีวิต(生)และประตูความตาย(死) จะสับเปลี่ยนกันได้ตลอดเวลา เหมือนกับขุนพลและทหารสามารถสับเปลี่ยนตำแหน่ง เปลี่ยนแปลงไร้ที่สุดสุด การจะทะลวงผ่านค่ายกลนั้น กลุ่มที่จะผ่านค่ายกลจะต้องเข้าไปในประตูชีวิต(生) พร้อมกันนั้นจะต้องมีอีกกลุ่มหนึ่งเข้าไปรบกวนค่ายกลที่ประตูทางออก(景)jǐng และกองกำลังหลักจะต้องทะลวงประตูบาดเจ็บ(伤)ซึ่งจะทำให้ในช่วงเวลานั้น กลุ่มที่อยู่ประตูชีวิต(生)ผลักดันปรับเปลี่ยนกลุ่มอื่น ๆ เข้าไปยังดวงตามังกรได้."
หยิงหลานที่เป็นคนตรงไปตรงมา บางทีการที่นางนำทัพมาหลายปีทำให้ค่อนข้างร้อนรุ่ม เมื่อเห็นคนมากมายที่กำลังดูถูกมายังกลุ่มของนาง ดังนั้นนางจึงเอ่ยปากออกมาโดยไม่ลังเลเลย.
เมื่อเห็นหยิงหลานเอ่ยปากออกมา จงซานชำเลืองมองไปยังนาง ภายในแววตาแสดงท่าทางพอใจ เขาภูมิใจที่นางมีความรู้เกี่ยวกับค่ายกลสงคราม นางที่ได้รับการศึกษาความรู้มาจากเขามากมาย ก่อนที่นางจะสามารถนำมันไปใช้ในการรบได้เป็นอย่างดี ทำการจัดทัพในสงครามได้ เพียงแต่ทัพที่สร้างขึ้นในเวลานี้เป็นพายุทรายที่เกิดจากอาคมนั่นเอง