Chapter 70 ไปยังภูเขาป้าเหมิน
ผู้ฝึกตนมากมายที่ด้านหน้าภูเขาป้าเหมิน.
หนอนไหมที่สามารถวิวัฒนาการจนกลายเป็นมังกรได้อย่างงั้นรึ?
เมียวเซียนเหรินที่รอคอยให้มังกรเหล่านั้นฟักออกมาจากรังของมัน จากนั้นเขาจึงจะนำมันมาทำให้มันเชื่อง ส่วนไหมเก้าสีเองก็นับเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่ดีเยี่ยมเป็นพิเศษในการสร้างของวิเศษ.
มังกรรึ? จงซานไม่ได้ต้องการมังกรทั้งสองตัวแม้แต่น้อย เขาต้องการที่จะสังหารมังกรนี้เลยด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่ต้องการร่างของมันเท่านั้น ส่วนในเวลานี้ ยังไม่มีเวลาในการสังหารมังกรเหล่านี้ อีกอย่างรังไหมเองก็ยังถักทอไม่เสร็จ.
"หยิงหลาน ไปหาลังไม้มา ข้าต้องการนำพวกมันไปกับพวกเราด้วย."จงซานกล่าว.
"อืม."หยิงหลานพยักหน้าก่อนจะวิ่งออกจากห้องลับไป.
จงซานที่เดินออกไปยังมุมและทำการเก็บมุกคงหลิงทั้งหมดมา.
"หลิงเอ๋อ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามุกคงหลิงนั้นมาจากใหนอย่างงั้นรึ?"จงซานที่หันหน้าไปหาเทียนหลิงเอ๋อ.
เทียนหลิงเอ๋อที่กำลังจ้องมองหนอนไหมมังกรเก้าสีด้วยท่าทางอยากรู้เป็นอย่างมาก ขณะที่จงซานถาม นางก็หันหน้ากลับมาตอบว่า"ข้าเองก็ไม่มั่นใจ ทว่าข้าได้ยินเตี่ยของข้าบอกว่ามุกคงหลิงนั้นยังมีอีกชื่อซึ่งเรียกว่า เตาอบฟ้าดิน.
มันเป็นของขวัญที่สวรรค์ได้ประทานให้ในทุก ๆ ร้อยปี เมื่อมันเกิดขึ้น ผู้ฝึกตนทั้งหมดทั่วโลกสามารถยึดครองมาเป็นของตัวเอง."
"หืม?"จงซานที่ขมวดคิ้วไปมาด้วยท่าทางประหลาดใจ ของขวัญจากสวรรค์? เตาอบฟ้าดิน?
ไม่นานหลังจากนั้น หยิงหลานที่หากล่องไม้ ไม่ใหญ่นักกลับมา ก่อนที่จะพวกเขาจะนำหนอนไหมมังกรเก้าสีใส่ลงไป นอกจากนี้หยิงหลานยังได้นำผ้าปูเตียงกลับมาด้วย เพื่อใช้ห่อกล่องเหล่านั้นพร้อมกับผูกตรึงเข้ากับร่างกาย.
แน่นอนเนื่องด้วยกำไลเก็บของนั้นไม่สามารถที่จะใส่สิ่งมีชีวิตลงไปได้ และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เมียวเซียนเหรินไม่ได้นำสิ่งของดังกล่าวนี้ใส่ลงไปในกำไลเก็บของตัวเอง.
ทั้งสองที่เป็นสมบัติฟ้าดินที่หายากมาก ๆ ในสายตาของจงซานแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยแม้แต่น้อยว่าเมียวเซียนเหรินจะโชคดีได้สมบัตินี้มา และทำให้จงซานได้รับไหมมังกรเก้าสีในที่สุด ตอนนี้เมื่อได้รับมันมาแล้ว ดูเหมือนว่าแผนการสร้างราชวงศ์ของเขาจะรวดเร็วยิ่งขึ้นกว่าเดิม.
หนอนไหมมังกรเก้าสีนั้นโดยปรกติก็ไม่ใช่สิ่งอันตราย จงซานที่เคลื่อนย้ายมันลงในกล่อง ก่อนที่จะนำศิลาวิญญาณสองก้อนใส่เข้าไปในกล่องด้วย จากนั้นก็ปิดผนึกกล่องเอาไว้อย่างดี.
จงซานที่เอ่ยต่อหยิงหลาน."หยิงหลานเจ้าแบกมันเอาไว้ที่ด้านหลัง จากนั้นก็สวมชุดคลุมเอาไว้อีกชั้น."
หยิงหลานที่รู้สึกประหลาดใจกับคำสั่ง ทว่าก็พยักหน้าตอบรับ นางเร่งรีบนำกล่องไม้กล่องหนึ่งผูกรัดเอาไว้ด้านหลัง ก่อนที่จะสวมเสื้อคลุมทับอีกชั้น ซึ่งสามารถปกคลุมไปทั่วร่างของนางได้ ในเวลานี้นางดูเหมือนคนหลังค่อมที่มีเสื้อคลุมปิดอยู่.
จงซานเผยยิ้ม พึงพอใจกับรูปร่างใหม่ของหยิงหลาน "เอาล่ะเก็บศิลาวิญญาณทั้งหมด พวกเราจะได้จากไปซะที."
"อืม "ทั้งสองสาวพยักหน้าและเร่งรีบเก็บศิลาวิญญาณทั้งหมด
พวกเขาสามารเก็บเกี่ยวได้หลายหมื่นศิลาวิญญาณ จงซานได้ตัดสินใจให้เทียนหลิงเอ๋อ 8,000 ก้อน 1,200 ให้หยิงหลานและตัวเขาเก็บเอาไว้เพียงไม่กี่ร้อยชิ้น.
ในเมื่อจงซานได้รับหนอนไหมมังกรเก้าสีแล้ว เขารู้สึกว่าเทียนหลิงเอ๋อควรได้รับศิลาวิญญาณจำนวนมากเอาไว้ นอกจากนี้นางกำลังจะทะลวงขั้นไปยังระดับแกนทองในเร็ว ๆ นี้ จงซานจึงต้องการมอบมันให้กับนางมากกว่าปรกติ สำหรับหยิงหลานและเขานั้น ยังไม่จำเป็นต้องใช้พวกมันในเวลานี้แต่อย่างใด.
"จงซาน ทำไมเจ้าเก็บพวกมันไปเล็กน้อยเองล่ะ?"เทียนหลิงเอ๋อที่ไม่ต้องการเอาเปรียบจงซาน นางรู้สึกไม่ค่อยดีนัก.
"เจ้ากำลังจะทะลวงผ่านขั้นไปยังระดับแกนทองในเร็ว ๆ นี้ เก็บมันเอาไว้ใช้เถอะ หากว่าพวกเราจำเป็นต้องใช้ ข้าจะขอเจ้าเอง."จงซานกล่าว.
"อืม."เทียนหลิงเอ๋อที่มีความสุขเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะเก็บมันเข้าไปในกำไลเก็บของ.
หยิงหลานนั้นไม่เคยสงสัยในการตัดสินใจของจงซาน สำหรับนางแล้ว การตัดสินใจของกู่เหยี่ยเยี่ยนั้นล้วนแล้วแต่มีจุดประสงค์อยู่แล้ว.
"กู่เหยี่ยเยี่ย พวกเรายังจะเดินทางไปยังทิศตะวันออกอยู่รึ? มันจะมีอันตรายเหมือนกับครั้งนี้อีกรึไม่?"หยิงหลานสอบถาม.
"ตามที่เมียวเซียนเหรินกล่าว เดินทางเพียงแค่สองวันก็ถึงที่หมาย ทว่าหากจะกลับไปยังต้องใช้เวลาถึงสามวัน ถึงจะกลับไปก็ใช่ว่าจะไม่พบอันตรายอีกครั้ง? นอกจากนี้ที่ภูเขาป้าเหมินนั้นยังมีคนของสำนักไคหยาง พวกเราจะปลอดภัยเมื่ออยู่ที่นั่น นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มอิทธิพลอื่น ๆ อีกมากมาย ยิ่งคนมาก พวกเราก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น."จงซานกล่าว.
"อืม."หยิงหลานพยักหน้า.
พวกเขาที่ออกมาจากห้องลับ จงซานที่ทำลายห้องลับดังกล่าวด้วยดาบยัก สองสาวเวลานี้ได้สวมชุดคลุมสีดำคลุมไปทั่วร่างพร้อมกับตามจงซานเดินทางไปยังทิศตะวันออก.
หนึ่งวันหลังจากนั้น ผลข้างเคียงของวิชากายาเทพอสูรของเขาก็หายไป ร่างแยกเงาของเขาเองก็ตามมาทันพร้อมกับนำศิลามิติอีกครึ่งหนึ่งเพิ่มขนาดกำไลเก็บของและร่างสองร่างก็รวมกันเป็นหนึ่ง.
หลังจากนั้นหนึ่งวัน ท้ายที่สุดพวกเขาก็มาถึงภูเขาป้าเหมิน.ซึ่งตอนนี้มีร่องรอยของผู้ฝึกตนมากมายที่มาถึงก่อนแล้ว ตอนนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องแกะรอยอีกต่อไป เพราะว่าสามารถเห็นผู้ฝึกตนมากมายที่ปรากฏขึ้นที่นี่แล้ว.
มีพายุทรายขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณซึ่งมีรัศมี 100 เมตร เป็นพายุที่มีขนาดใหญ่พวยพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เป็นพายุหมุนที่ปกคลุมล้อมรอบจุดศูนย์กลางเอาไว้ไม่ขยับไปใหน.
พายุทรายนี้ทรงพลังราวกับกองทัพขนาดใหญ่ ปลดปล่อยพลังที่น่าเกรงขามต่อคนที่มองเห็นมัน.
พายุทรายในป่าอย่างงั้นรึ? นี่น่าจะเป็นอาคมที่เกิดจากค่ายกลมากกว่า.
"ภูเขาป้าเหมิน ค่ายกลแปดประตูกุญแจทอง?"จงซานที่เพ่งพิศจับจ้องไปยังเหตุการณ์ด้านหน้า.
พื้นที่รอบ ๆ เหมือนว่าจะยังดูเงียบสงบอยู่ มีแค่เพียงพายุทรายที่พัดกระหน่ำเท่านั้น.
จงซานที่ยืนอยู่บนก้อนศิลาขนาดใหญ่ก่อนที่จ้องมองไปรอบ ๆ เห็นผู้ฝึกตนมากมายที่อยู่รอบ ๆ พื้นที่แห่งนี้ พวกเขาต่างก็ยึดครองตำแหน่งที่แตกต่างและเฝ้ามองพายุทรายที่ไม่น่าเชื่อนี้ บางคนลองเสี่ยงผ่าเข้าไป แต่สุดท้ายก็ต้องถอยกลับคืนมา บางครั้งมีหลากหลายคนที่มีโลหิตไหลออกมาจากปากจมูกและตา ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างก็ได้รับผลกระทบที่เกินกว่าจะคาดได้จากพายุทรายขนาดใหญ่นี้.
"กู่เหยี่ยเยี่ย นี่คือค่ายกลแปดประตูกุญแจทองอย่างงั้นรึ?"หยิงหลานไม่อยากกับเชื่อกับภาพที่เห็นเลย.
มันดูแตกต่างจากที่นางเคยสร้างขึ้นมาแต่ก่อนมาก บางทีค่ายกลที่นางเคยใช้ในสงครามในอดีตนั้นเป็นแค่รูปแบบอย่างง่าย ๆ เท่านั้น.
จงซานที่ไม่ได้ตอบแต่อย่างใด เขายังคงจ้องมองพื้นที่รอบ ๆ มีคนมากมายที่กำลังรอคอยเฝ้ามองรอบ ๆ รอคอยเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น แต่ก็มีบางกลุ่มที่กำลังต่อสู้กันอยู่ บางกลุ่มนั้นมีคนมากกว่าหนึ่งร้อยคนด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องระมัดระวังให้มากยิ่งกว่าเดิมแล้ว.
"จงซาน นั่นศิษย์พี่สาม และศิษย์พี่ใหญ่ใช่หรือไม่?"เทียนหลิงเอ๋อที่กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้นพร้อมกับเรียกจงซาน.
จงซานที่รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว พวกเขาจะปลอดภัยขึ้นมากกว่าเดิมหากว่าอยู่ในกลุ่มของสำนักไคหยาง.
เทียนหลิงเอ๋อเวลานี้ นางคงจะไม่ได้ตระหนักถึง ขณะที่นางเห็นคนของสำนักตัวเอง นางกลับเอ่ยถึงศิษย์พี่หญิงสามก่อน แทนที่ปกตินางจะต้องเอ่ยถึงศิษย์พี่ใหญ่ก่อนเสมอ นางเองคงจะไม่สังเกตเห็นเหมือนกันว่านางได้เปลี่ยนไปแล้ว.
จงซานที่จับจ้องมองไปยังทิศทางที่เทียนหลิงเอ๋อกล่าว ทุกคนที่กำลังจ้องมองไปยังคนสองคนบนยอดเขา หนึ่งคนในนั้นคือเทียนชาในชุดคลุมสีดำ ผ้าคลุมของเขากำลังสะบัดพริ้วไหวร่ายรำไปตามแรงลม ใบหน้าของเขาที่ดูจริงจังเป็นอย่างมาก มือซ้ายของเขากุมฝักกระบี่ ส่วนที่มือขวาของเขากุมกระบี่ในท่าทางแปลก ๆ ตำแหน่งแปลก ๆ .
เพลงกระบี่ตัดสวรรค์กลืนนภา เขาที่เคยแสดงกระบวนท่าที่แปลกประหลาดในการสังหารขันทีเฒ่าก่อนหน้านี้มาแล้ว.
ที่ด้านหน้าของเทียนชานั้นเป็นชายคนหนึ่งซึ่งมีผมสีดำและผ้าคลุมสีแดง ชายคนดังกล่าวนั้นกุมกระบี่โลหิต ซึ่งมีหยดโลหิตที่ไหลออกมาจากกระบี่ สายตาที่เย็นชาจ้องมองไปยังเทียนชา ราวกับว่าเขาจะต้องฟันเทียนชาให้ได้ในกระบวนท่าถัดไป.
บุรุษทั้งสองต่างก็สบตากันและกัน พร้อมกับรวบรวมพลัง พวกเขาที่รอคอยการโจมตีในกระบวนท่าต่อไป.
ไม่ไกลออกไปนั้น คนจากสำนักไคหยางที่รอคอยอย่างกระวนกระวาย เป่ยชิงซือที่อยู่กับคนเจ็ดคน มีสองคนที่หายไปจากสองสามวันก่อนหน้านี้.
ที่ด้านหลังของชายผมแดง มีร่างสามร่างที่นอนอยู่บนพื้น พวกเขาถูกสับออกเป็นสองท่อนและตายไปเรียบร้อยแล้ว.
จงซานที่อยู่ฝั่งชายขอบทิศตะวันตกของค่ายกล ส่วนเทียนชาและชายชุดแดงต่อสู้กันอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ในเวลานั้น ที่ชายขอบค่ายกลแปดประตูกุญแจทองทิศเหนือ มีคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังจับจ้องมองไปยังการต่อสู้ของเทียนชาอยู่.
คนกลุ่มนี้คือกงจูเฉียนโหยว กู่หลินและเซียนเซิงสุ่ยจิงนั่นเอง.
"เซียนเซิงสุ่ยจิง ท่านคิดว่าใครจะชนะอย่างงั้นรึ?"กงจูเฉียนโหยวที่เผยยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวล ยากที่จะคาดคิดว่านางกำลังคิดอะไรอยู่.
"สำนักไคหยาง มีเพลงกระบี่ตัดสวรรค์กลืนนภา กงจู ท่านคิดว่าใครจะได้ชัยล่ะ?"เซียนเซิงสุ่ยจิงที่ตอบออกมาพร้อมรอยยิ้มขณะสะบัดพัดไปมา.
"เพลงกระบี่ตัดสวรรค์กลืนนภา พันปีจะมีสักคนที่สามารถฝึกฝนวิชานี้ได้."กงจู่ที่ไม่ได้ตอบคำถาม ขณะที่นางจับจ้องมองไปยังเทียนชาขณะพูด.
"พวกเขามาจากสำนักไคหยางอย่างงั้นรึ?"ทันใดนั้นกู่หลินที่กล่าวออกมาด้วยท่าทางประหลาดใจ.
"ถูกแล้ว พวกเขามาจากสำนักไคหยาง เซียนเซิงสุ่ยจิง ท่านต้องการให้พวกเขามาช่วยหรือไม่?"กงจูเฉียนโหยวที่สอบถามออกไป.
"หากทำได้ ทำไมจะไม่ทำล่ะ? ทว่ากงจู่จะชักชวนพวกเขาอย่างไรล่ะ."เซียนเซิงสุ่ยจิงที่พยักหน้าสอบถามออกไป.
"เฉียนโหยว เจ้ามีป้ายคำสั่งของสำนักไคหยางอย่างงั้นรึ?"กู่หลินที่สอบถามออกมาในทันที.
"ข้าไม่ได้มีป้ายคำสั่งของสำนักไคหยาง ทว่าข้ามีป้ายคำสั่งจากสำนักยี่เหิงซึ่งน่าจะพอใช้แทนกันได้."กงจู่เฉียนโหยวที่ชำเลืองมองออกไปขณะพูด.
"พวกเขาทุกคนต่างก็ก้าวไปถึงระดับแกนทองทั้งหมดแล้ว พวกเขาจะสามารถช่วยพวกเราในการทะลวงค่ายกลให้สำเร็จได้."เซียนเซิงสุ่ยจิงพยักหน้า.
บนภูเขาสูงอีกลูกหนึ่งอยู่ร่างหว่างจุดของจงซานและเทียนชา มีคนสองคนที่เฝ้ามองการต่อสู้อยู่ คนทั้งสองสวมชุดสีขาวและมีกระบี่สะพายอยู่ด้านหลัง.
"ฉู่จิว เพลงกระบี่ของทั้งสองคนเป็นอย่างไรบ้าง?"ชายหนุ่มที่จ้องมองไปยังเทียนชาและเริ่มถามออกมา.
"คนชุดคลุมดำนั่น ใช้เพลงกระบี่ตัดสวรรค์กลืนนภา ซึ่งเป็นเพลงกระบี่ที่ทรงพลังมาก เมื่อกระบี่ออกจากฝัก จะรวบรวมพลังทั้งหมดเข้ามารวมกันและปะทุออกไปเพียงแค่กระบี่เดียว มีพลังที่ยากจะต้านได้ เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ในทันที สามารถบอกได้ว่าเพลงกระบี่ของเขาเหนือกว่าอีกฝ่ายมาก คนผู้นี้ต้องเป็นคนที่มาจากสำนักไคหยางแน่นอนและยังเป็นคนเดียวในพันปีที่สามารถฝึกฝนและใช้เพลงกระบี่ชุดนี้ได้ คนผู้นี้อยู่ในระดับแกนทองขั้นเก้าแต่ทรงพลังสามารถสะกดข่มคนที่มีระดับก่อตั้งวิญญาณได้ ส่วนชายชุดแดงนั่นใช้เพลงกระบี่ดื่มโลหิต ทักษะของเขาเองมุ่งเน้นในการสังหารเช่นกัน กระบี่ของเขาที่โชกไปด้วยโลหิตตลอดเวลา เป็นเพลงกระบี่ที่มีจิตปิศาจที่รุนแรงและมีชื่อเสียงในความโหดร้ายเป็นอย่างมาก เมื่อกระบี่ออกจากฝัก ปราณปิศาจของมันสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามสับสนได้ แม้ว่ามันจะมีพลังน้อยกว่าเพลงกระบี่ตัดสวรรค์กลืนนภาแต่ก็ยังถือว่าน่าหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย ชายคนดังกล่าวอยู่ในระดับสิบแกนทอง ห่างจากระดับก่อตั้งวิญญาณก้าวเดียว."ฉู่จิวที่อธิบายราวกับว่าเขาเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเพลงกระบี่ของทั้งสองเป็นอย่างดี.
ชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อยขณะรับฟัง "ฉู่จิว การที่ข้านำเจ้ามานี้ ราวกับว่าได้นำหอตำราเคลื่อนที่มาด้วย ในโลกนี้คงจะไม่มีเพลงกระบี่ใดที่เจ้าไม่รู้จัก."
"กงจื่อ ท่านยกยอข้ามากไปแล้ว ในโลกนี้ยังมีเพลงกระบี่อีกมากมาย เป็นไปไม่ได้ที่ข้านั้นจะรู้จักพวกมันทั้งหมด เพลงกระบี่ที่ทั้งสองใช้ออกมานั้นล้วนแล้วแต่มีบันทึกเอาไว้ใน"หอหมื่นกระบี่"และข้าโชคดีได้อ่านและศึกษาพวกมัน ดังนั้นเพลงกระบี่ที่ข้ารู้จักก็มีเฉพาะที่อยู่ในบันทึกเท่านั้น."ฉู่จิวที่ตอบออกมาอย่างรวดเร็ว.
"อืม."ชายหนุ่มพยักหน้าและกลายเป็นเงียบงัน.