Chapter 22 อันหวง
"รหัสลับที่ข้ากล่าวถึงคือ สัญญาณลับที่เมื่อเอ่ยออกมา เจ้าจะต้องเชื่อฟังข้า เรื่องนี้เจ้าจะต้องทำไม่ว่าจะขัดใจเจ้าก็ตาม ต้องเชื่อฟังข้าแม้ว่าเรื่องบางอย่างนั้นเจ้าจะไม่ต้องการ ไม่เช่นนั้นแล้ว ข้าจะบอกกับท่านประมุขเมื่อข้ากลับมาว่าเจ้าไม่เชื่อฟังข้า."จงซานที่กล่าวอย่างจริงจัง.
"ไม่เห็นสนุกเลย ข้าไม่ต้องการมัน."เทียนหลิงเอ๋อที่แสดงท่าทางไม่ยินดี.
"ไม่ เรื่องนี้พวกเราจะต้องตกลงกันให้ดีก่อน หากว่าเรื่องนี้ข้าทำอะไรผิดล่ะก็ ไว้กลับมาเจ้าสามารถบอกท่านประมุขให้ลงโทษข้าได้ ทว่าหากเจ้าไม่สัญญาที่จะทำล่ะก็ เช่นนั้นพวกเราจะไม่ออกไปจากที่นี่."จงซานกล่าวที่เสียงที่หนักแน่น.
"อืม ๆ ก็ได้ ก็ได้ เจ้านี้จู้จี้จริง ๆ ข้าจะฟังเจ้าก็ได้."ใบหน้าของเทียนหลิงเอ๋อที่ไม่เต็มใจนัก.
จงซานที่เผยยิ้มเล็กน้อยที่เห็นท่างทางของเทียนหลิงเอ๋อ นางไม่ต่างจากองค์หญิงที่เอาแต่ใจ.
"หากว่ามีสิ่งใดที่ผิดปรกติแล้วล่ะก็ ข้ารู้ว่า เจ้าชอบกินขนมกุ้ยฮวา ใช่แล้ว พวกเราจะใช้ ขนมกุ้ยฮวาเป็นรหัสลับ เมื่อข้ากล่าวถึง ขนมกุ้ยฮวาล่ะก็ เช่นนั้นข้าหมายถึงว่า ข้าจริงจังและเจ้าต้องเชื่อฟังข้า เจ้าต้องทำตามที่ข้าพูด."จงซานที่กล่าวออกมาอย่างหนักแน่น.
"ดี ดี ขนมกุ้ยฮวา ฮ่า ฮ่า!"เทียนหลิงเอ๋อที่หัวเราะดังลั่น มีรหัสลับเช่นนี้ด้วยรึ?
"ดี เช่นนั้น รอพักหนึ่ง ข้าจะเข้าไปเอาสัมภาระ แล้วพวกเราก็เดินทางกัน."จงซานพยักหน้าและกล่าวออกมา.
จงซานที่เข้าไปข้างในที่พักของเขาพร้อมกับออกมาด้วยสัมภาระที่น่าจะมีน้ำหนักห้าสิบจิน จงซานที่สะพายมันเอาไว้ด้านหลังพร้อมกับดาบยักษ์ของเขา และกล่าวออกมาว่า."เอาล่ะ พวกเราไปกันได้แล้ว."
"นำสัมภาระนั่นมาให้ข้าเก็บไว้ในกำไลดีกว่า แค่มองเจ้าข้าก็เหนื่อยแทนแล้ว."เทียนหลิงเอ๋อหัวเราะ.
จงซานไม่ได้ทำอวดเก่งแต่อย่างใด เขาได้ยื่นสัมภาระให้กับนาง เหลือเพียงแค่ดาบยักษ์เอาไว้.
"เอิ่ม ผ้าแพรไหมแดงของข้า เป็นเพียงสมบัติวิเศษระดับสองเท่านั้น ทำให้บรรทุกได้แค่คนเดียว เจ้าใช้รองเท้าขับวายุแล้วกัน พวกเราจะเดินทางไปได้เร็วขึ้น."เทียนหลิงเอ๋อกล่าว.
"อืม "จงซานที่สะพายดาบยักษ์ที่ด้านหลังและโคจรปราณแท้ลงไปในรองเท้าพร้อมกับพุ่งตรงไปด้านหน้าด้วยความเร็ว.
เทียนหลิงเอ๋อที่ก้าวขึ้นไปบนผ้าแพรไหมสีแดงของนางก่อนที่จะตามจงซานไป นางเต็มไปด้วยความดีใจที่จะได้ออกจากสำนักแล้ว.
เทียนหลิงเอ๋อที่รู้เส้นทางที่จะออกจากเทือกเขาดี นางได้พาจงซานออกมาจากค่ายกลผ่านออกมาทางออกสำนักไคหยาง.
จงซานที่จ้องมองไปยังกระท่อมมุงจากที่อยู่ด้านนอกสำนักไคหยาง เขาที่ทอดถอนใจคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา เวลานี้เขาได้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกสำนักเซียนแล้ว.
จงซานไม่ได้หยุดเพื่อทักทายอาวุโส โฉวซาน เขาที่พาเทียนหลิงเอ๋อมุ่งตรงไปยังอีกทิศหนึ่งทันที.
ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งเขาเดินทางมานั้นใช้เวลาหลายเดือนที่จะผ่านภูเขาต่าง ๆ ทว่าตอนนี้จงซานเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขาและรองเท้าขับวายุ จะต้องใช้เวลาไม่ถึง 15 วันก็สามารถไปถึงหมู่บ้านของเขาแน่.
หลังจากที่เดินทางมาตลอดทั้งวัน ทั้งคู่ก็พักเหนื่อยในเวลากลางคืน ซึ่งพวกเขาได้พบกับสถานที่เหมาะแห่งหนึ่ง จงซานที่นำเปลแขวนออกมาสองใบ ก่อนที่จะปีนขึ้นไปผูกบนต้นไม้สูงและทำการโรยสมุนไพรเพื่อป้องกันแมลงพิษ.
"เอาล่ะ พวกเราจะนอนบนเปลญวนกันในคืนนี้."จงซานที่หันหน้ากล่าวกับเทียนหลิงเอ๋อ.
เทียนหลิงเอ๋อดวงตาเป็นประกาย จ้องมองไปยังเปลญวนที่แขวนบนต้นไม้ นางที่มองจงซานด้วยความตื่นเต้น.
"จงซาน ไอ้นี้ยอดไปเลย เจ้าคิดได้อย่างไรกัน?"เทียนหลิงเอ๋อที่เหินขึ้นไปนอนบนเปลญวนทันที พร้อมกับหมุนไปหมุนมาด้วยความความตื่นเต้น.
เห็นท่าทางเทียนหลิงเอ๋อที่เหมือนกับเด็ก ๆ จงซานได้แต่ส่ายหน้าไม่ได้กล่าวอะไรต่อไป หลังจากโรยสมุนไพรเสร็จแล้วเขาก็ขึ้นไปนอนบนเปลญวนเช่นกัน.
"เอาล่ะ เจ้าสามารถมองดูดาวได้ ข้าขอนอนก่อนแล้วกัน."จงซานกล่าว.
เทียนหลิงเอ๋อที่นอนอยู่ในเปลญวน พร้อมกับจ้องมองดูท้องฟ้าดูแสงดาวและฟังเสียงเจื้อยแจ้วของเหล่าแมลง ดูเหมือนว่าจะใช้เวลาเหมือนกันก่อนที่นางจะม่อยหลับไป.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในเวลาเดียวกันนั้น ข้ามผ่านมายังรัฐต้าคุน คฤหาสน์ตระกูลจง ร่างแยกเงาของจงซานที่นั่งสมาธิอยู่ในห้อง.
ร่างแยกเงาจงซานที่ค่อย ๆ ยืนขึ้นและจับตำราแน่นที่อยู่ด้านหน้าเขา ที่หน้าปกของมันนั้นมีอักษรที่เขียนว่า"วิชาเงาจู่โจม" นี่เป็นเคล็ดวิชาที่จงซานร่างหลักได้พบที่หอคัมภีร์สำนักไคหยาง และยังมีกระดาษอีกแผ่นหนึ่งซึ่งเป็นภาพของคนที่ชื่อว่าหัวซานเหน็บอยู่ด้านใน.
มือที่ถือคัมภีร์ในมือ ร่างแยกเงาที่หายไปในทันที ร่างกายของมันเคลื่อนผ่านช่องว่างของหน้าต่างมีที่น้อยนิดไปได้ จากนั้น ร่างแยกเงา ก็พุ่งตรงไปยังความมืด ขยับกายที่บางเบาไม่ต่างกับกระดาษมุดผ่านไปตามช่องต่าง ๆ ภายใต้แสงจันทร์ เงาสีดำ ที่เหินลอยบนพื้น เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ความเร็วของร่างแยกเงานั้นมีความเร็วเป็นอย่างมาก.
ร่างแยกเงานั้นแตกต่างจากร่างหลัก ดูเหมือนว่าพรสวรรค์ของร่างแยกเงาในการฝึกวิชากระบี่หยินร่างจันทราจะรวดเร็วเป็นอย่างมาก พัฒนาการก้าวหน้าสามารถทะลวงผ่านระดับไปอย่างเร็วไม่ต้องพยายามมากมายเช่นร่างหลัก ในเวลานี้ร่างเงาแยกของจงซานเองก็ก้าวไปถึงระดับสามเซียนเทียนด้วยเช่นกัน.
หลังจากนั้นสองชั่วโมง ร่างแยกเงามาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้มีบ้านหลายหลังอยู่ในหุบเขาและยังปกปิดหลบซ่อนจากสายตาผู้คนอีกด้วย.
ร่างแยกเงาที่เคลื่อนที่ไปยังบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ใจกลาง ซึ่งมีป้ายที่หน้าบ้านเขียนด้วยอักษรสามตัวสีดำ"อันเยว่ตัง."
暗夜堂Ànyè táng เรือนคืนทมิฬ
อันเย่ตังนั้นถือว่าเป็นฝันร้ายสำหรับทางการของต้าคุนทีเดียว ที่แห่งนี้ล้อมรอบไปด้วยรัฐห้ารัฐ มันกลายเป็นหนึ่งในองค์กรนักฆ่า สมาชิกนักฆ่าที่พวกเขามีนั้นมากมายและมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก มีหลายคนที่ก้าวไปถึงระดับเก้าโหวเทียน และยังมีข่าวลือว่ามีคนที่ก้าวไปถึงระดับเซียนเทียนอีกด้วย หกรัฐ ต่างก็หวาดกลัวเมื่อกล่าวถึงองค์กรดังกล่าวนี้.
ร่างแยกเงาจงซานที่ก้าวเข้ามาในห้องโถง ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับย่างกายเข้าไปทีละก้าว ๆ .
มีคนเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในห้องโถง ซึ่งตอนนี้กำลังใช้โคมไฟตรวจสอบแผนที่ขนาดใหญ่อยู่.
เขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าจงซานได้เข้ามาใกล้.
"ใครกัน?"ท้ายที่สุดขณะที่จงซานเข้ามาถึงใจกลางห้อง คนดังกล่าวตอนนี้ก็รับรู้แล้ว หลังจากที่เขาหันหน้าไป พร้อมกับกุมกระบี่ชี้ไปด้านหน้า.
เมื่อเขาเห็นคนที่ก้าวเข้ามา เขาก็วางใจ.
ชายคนนี้มีอายุห้าสิบปี หน้าตาดูธรรมดาทั่วไป หากว่าหลงไปในฝูงชน คงไม่สามารถแยกแยะออกได้.
"จู่เหริน."เมื่อเห็นจงซาน เขาก็กล่าวทักทายด้วยความเคารพ.
主人 (zhǔ rén จู่ เญิ๋น) 'เจ้าของบ้าน' ผู้นำ นายท่าน.
"อืม อันหวง ข้าเคยบอกเจ้าหลายครั้งเหมือนกับที่บอกกับพี่น้องทุกคน ทำไมเจ้ายังทำเช่นนี้กัน? นอกจากนี้ เจ้าที่ก้าวไปถึงระดับเซียนเทียนแล้ว แต่กลับปฏิเสธที่จะเข้าสำนักเซียน ดูเหมือนว่ามันจะไม่ยุติธรรมต่อเจ้า."จงซานที่กล่าวออกมาพร้อมกับส่ายหน้าไปมา.
"จู่เหริน ท่านเป็นคนช่วยชีวิตของข้า ช่วยข้าล้างแค้นแทนตระกูล บิดา ภรรยาและบุตรของข้า ข้าได้สาบานแล้วว่าจะภัคดีต่อจู่เหรินตราบชั่วชีวิตโดยจะไม่โอดครวญ ไม่มีอะไรที่ไม่ยุติธรรม."อันหวงที่กล่าวออกมาอย่างเคารพ.
"ตอนนี้เจ้าได้เป็นผู้นำอันเย่ตัง แม้แต่ขุนนางและเหล่าราชวงศ์ยังหวั่นเกรงเมื่อได้ยินนามนี้ "จงซานส่ายหน้าไปมาพร้อมเผยยิ้ม.
"นั่นเป็นเพราะจู่เหรินสนับสนุน อันเย่ตังนั้นภัคดีต่อจู่เหรินตลอดไป."อันหวงที่กล่าวออกมาในทันที.
"อืม ข้าคงไม่สามารถห้ามไม่ให้เจ้าเรียกข้าว่าจู่เหรินได้สินะ นี่คือเคล็ดวิชาระดับเซียนเทียน เจ้าสามารถนำมันไปฝึกฝนได้."จงซานที่มอบตำราเล่มหนึ่งให้กับอันหวง.
"เคล็ดวิชาระดับเซียนเทียนอย่างงั้นรึ?"อันหวงที่รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก.
เขาที่รับมาและจดจ้องมองไปยังเคล็ดวิชาดังกล่าวซึ่งเขียนเอาไว้ว่า "วิชาเงาจู่โจม"
"ข้าเองก็ฝึกฝนวิชานี้อยู่เช่นกัน ทว่ามันแตกต่างจากวิชาอื่น นี่คือวิชาชั้นยอด มันมีทั้งหมดสิบระดับ สามารถทำให้เจ้าก้าวไปถึงระดับแกนทองได้ เจ้าต้องฝึกฝนให้หนัก เมื่อเจ้าไปถึงระดับแกนทองแล้ว ข้าจะหาเคล็ดวิชาอื่นให้กับเจ้า."จงซานที่จ้องมองไปยังอันหวงกล่าวออกมาอย่างจริงจัง.
"ครับ ข้าจะฝึกฝนมันอย่างหนัก และเป็นมือสังหารให้กับจู่เหรินเหมือนเช่นเคย."อันหวงที่กล่าวอย่างเคารพ.
"อืม เอาล่ะ ในตำราเล่มนั้น มีรูปวาดใบหนึ่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเซียนเทียน เจ้าจงไปสืบให้กับข้า ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือตาย หากเจอคนผู้นี้แล้วไม่จำเป็นต้องทำอะไร เพียงแค่แจ้งข่าวมาให้กับข้าก็พอ."จงซานกล่าว.
"ครับ ข้าจะใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อที่จะหาคนผู้นี้."อันหวงยกมือขึ้นคารวะ.
"ดี ข้าคงต้องไปแล้ว เจ้าพักผ่อนเถอะ."จงซานส่ายหน้าไปมาขณะพูด.
จงซานที่เดินออกมาจากห้องโถงดังกล่าว ลับสายตาของอันหวง ก็กลายเป็นเงาและพุ่งกลับไปในทิศทางที่เขาจากมา.
อันหวงที่จ้องมองไปยังเคล็ดวิชา "วิชาเงาจู่โจม" ในมือ พร้อมกับถอนหายใจ เขาจ้องมองไปยังทิศทางที่จงซานหายไปด้วยประกายแสงที่มั่นคง เด็ดเดี่ยว.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
จงซานที่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าก่อนตะวันขึ้น เขาไม่ได้ปลุกเทียนหลิงเอ๋อแต่อย่างใด เขาที่ออกมาจากเปลญวนพร้อมกับฝึกฝนทักษะดาบอยู่ไม่ไกลออกมา.
ทลายภูเขาสวรรค์! ฟันทลายสรรพสิ่ง!
เขาที่ฝึกฝนกับศิลายักษ์ ตัดมันออกเป็นส่วน ๆ เหมือนกับเต้าหู้ โดยพยายามที่จะหาจุดอ่อนที่สุดในศิลาแต่ละก้อน.
จงซานนั้นคิดวิธีฝึกฝนของตัวเอง เป็นวิธีที่ไม่เหมือนกับคนอื่นซึ่งได้มาจากการที่เขาฝึกฝนในการผ่าไม้และผ่าหิน.
จงซานที่ฝึกฝนวิชาร่างอยู่สองชั่วโมง ก่อนที่จะเริ่มนั่งบำเพ็ญต่อ.
ในเวลาเดียวกันนั้น เทียนหลิงเอ๋อที่ตื่นขึ้นมาได้ในที่สุด นางที่เห็นจงซานฝึกฝนอย่างหนักทำให้นางรู้สึกเขินอายเหมือนกัน พรสวรรค์ของเทียนหลิงเอ๋อนั้นเหนือกว่าจงซานมาก นางแทบจะไม่ต้องฝึกฝนหนักเลย แต่พลังฝึกตนของนางกลับก้าวหน้ามากกว่าคนอื่นมาก.
สถานที่แห่งนี้เป็นเนินที่แห้งแล้ง จงซานไม่กล้าที่จะฝึกฝนอะไรมากมายนัก เขาทำเพียงแค่ฝึกทำลายบั่นศิลา และบำเพ็ญพลังเท่านั้น.
ขณะที่เขาลืมตาขึ้นจากการบำเพ็ญ เขาที่เห็นเทียนหลิงเอ๋อกำลังจ้องมองเขาตาโต ท่ามกลางดวงตะวันที่ทอแสงด้านหลัง ทำให้ใบหน้าของนางดูสง่างามราวกับภาพวาดงานศิลปะ.