ตอนที่แล้วChapter 1 ครบรอบวันเกิด 80 ปี.
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 3 การประลองประตูมังกร

Chapter 2 หุบเขาประตูมังกร.


สามวันหลังจากนั้นที่บ้านตระกูลจง ที่สวนหลังบ้านห้องโถงใหญ่ เหล่าเย่จื่อจงที่เดินค้ำไม้เท้ามังกรเดินออกมา จ้องมองไปยังบุตรชายบุญธรรมที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น.

"พวกเจ้าเข้าใจชัดแจนแล้วใช่ไหม?"เหล่าเย่จื่อจงสอบถามออกไป.

"ครับ อี้ฟู "ทุกคนพยักหน้าตอบรับด้วยความตื่นเต้น.

"ทุก ๆ อย่างในบ้านนั้นได้ทำการจัดเตรียมเอาไว้หมดแล้ว อี้ฟูไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง "จงเทียนกล่าว.

"อืม."เหล่าเย่จื่อประกายแสงภายในที่มีความสุข จ้องมองไปยังเหล่าบุตรบุญธรรมอีกหลายคนที่มีพลังฝึกตนไปถึงระดับเห่าเทียนขั้นปลายเพิ่มอีก พร้อมกับพยักหน้าพึงพอใจ.

เขาใช้ไม้เท้ามังกรเคาะลงไปบนพื้นเป็นจังหวะ.

แค๊กๆๆๆๆ

บุตรบุญธรรมทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นพื้นค่อย ๆ เปิดเป็นช่องทางเดินเป็นบันไดลงไปยังพื้นด้านล่าง.

ทุกคนจ้องมองด้วยความประหลาดใจ แม้แต่จงเทียน คนที่คอยรับใช้อี้ฟูตลอดเวลา เขาเองยังดวงตาเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง อี้ฟูมีความลับมากมายเท่าไหร่กันที่ซ่อนเอาไว้?

"ไปกันได้แล้ว."เหล่าเย่จื่อจงนำทุกคนลงบันไดไปยังพื้นด้านล่างในทันที.

บุตรชายของเขาที่จ้องมองหน้ากันและกัน ไม่มีใครกล้าที่จะถามสิ่งใดออกไป.

พวกเขาที่เดินลึกลงไปเรื่อย ๆ ช่องทางเดินเองก็ใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดก็เข้ามายังห้องโถงขนาดใหญ่อยู่ใต้พื้นดิน.

บนกำแพงแห่งหนึ่ง ดูโอ่อ่ามีหัวของหมาป่าติดประดับอยู่ เหล่าเย่จื่อจงที่หมุนหัวหมาป่าอย่างนุ่มนวล ที่ตำแหน่งดังกล่าวนั้นก็มีช่องทางที่ปิดอยู่กำลังเปิดขึ้น.

เหล่าบุตรบุญธรรมต่างก็รู้สึกประหลาดใจ ช่องทางดังกล่าวนั้นยาวมาก ราวกับว่ามันจะยืดยาวไร้ที่สิ้นสุด ตามกำแพงนั้นมีไฟส่องสว่างที่ค่อย ๆ ถูกจุดขึ้นที่ละดวง สุดทางเดินนั้นมีสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นเหมือนเรือนพักขนาดใหญ่อยู่.

ตลอดทางเดินของโถงทางเดินนั้นนั้นมีรางเหล็กคู่ที่ยืดยาวออกไปพร้อม ๆ กันทางเดินที่ยืดออกไปไกลเป็นแนวคู่สุดลูกหูลูกตา.

ที่บนเรือนเหล็กนั้นมีคนหลายสิบคน ทุกคนต่างก็โค้งคารวะเมื่อเห็นเหล่าเยว่จื่อจง เห็นได้ชัดเจนว่าคนเหล่านี้เหล่าเย่จื่อจงได้จัดเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว.

เขาจ้องมองไปยังเรือนเหล็กพร้อมกับถอนหายใจยาว นี่มันอะไรนะรึ? มันคือรถไฟจากชีวิตที่แล้วของเขานั่นเอง แต่มันยังดูเหมือนเป็นรถไฟไอน้ำรุ่นเก่าหงำเหงือกอยู่.

จงซานนั้นไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับการสร้างเทคโนโลยีต่าง ๆ จากชาติที่แล้วมากมายนัก ทว่าก็พอรู้ว่ารถไฟไอน้ำนั้นทำงานอย่างไร ด้วยการเผาไหม้ถ่านหินสร้างความร้อนก่อให้เกิดไอน้ำแรงดันสูงเพื่อช่วยในการหมุนลูกสูบให้เครื่องยนต์ทำงานเท่านั่นเอง.

ห้าปีก่อนหน้านี้ หลังจากที่เสาะหาช่างฝีมือมากมาย หลังจากที่ใช้เวลากว่ายี่สิบปี ท้ายที่สุดก็สามารถพัฒนาเครื่องยนต์ไอน้ำได้สำเร็จ ด้วยการร่วมมือกับช่างฝีมือและความทรงจำจากชาติที่แล้ว ทำให้สามารถสร้างรถไฟรุ่นต้นแบบขึ้นมาได้.

ทว่าจงซานนั้นไม่เคยเปิดเผยสิ่งประดิษฐ์ต่อสาธารณะชนเลย จะเป็นการดีหากมีเพียงเขาที่รู้เกี่ยวกับมัน.

ดังนั้น เขาจึงได้สร้างรางรถไฟขึ้นที่ใต้ดินนั่นเอง.

เหล่าเย่จื่อจงนั้นมีทรัพย์สินมากมายนับไม่ถ้วน การสร้างสิ่งประดิษฐ์เช่นนี้ขึ้นมาจึงหาได้มีปัญหาอะไร.

***กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง นั่นคือสิ่งที่เหล่าเย่วจื่อทำ?

"เข้ามาข้างในได้แล้ว "เหล่าเยว่จื่อจงที่นำทุกคนเข้ามาภายในห้องโดยสาร สายตาของบุตรชายทั้งแปดต่างก็เผยสีหน้าประหลาดใจเป็นอย่างมาก ที่จริงแล้วสิ่งนี้คืออะไร? ไม่ใช่ว่าพวกเขากำลังจะเดินทางไปยังการชุมนุมหุบเขามังกรหรอกรึ?

หลังจากที่ประตูปิด เหล่าเย่จื่อที่กล่าวกับคนด้านนอก "ไปกันได้แล้ว."

"ขอรับ นายท่าน."เหล่าบ่าวนับสินคนที่ตอบกลับในทันที.

ภายในห้องโดยสารนั้นนับว่าหรูหราเป็นอย่างมาก บุตรชายของเขารู้สึกว่ากระท่อมเหล็กชิ้นนี้กำลังเคลื่อนที่.

นอกจากนี้ ยังได้ยินเสียงราวกับสายฟ้าฟาดดังขึ้นที่ด้านหน้า.

ปู๊ดดดดด~~ ปู๊นนนนนนน~~~....................

รถไฟไอน้ำ ที่อยู่ลึกลงมาใต้ดิน เริ่มเคลื่อนที่ไปยังทิศทางด้านหน้าตามคำสั่งของเหล่าเย่จื่อจง.

ภายในใจของบุตรบุญธรรมต่างก็เต็มไปด้วยคำถามมากมายเมื่อจ้องมองทิวทัศด้านนอกผ่านหน้าต่างกระจก พวกเขารับรู้ได้ว่ากระท่อมเหล็กแห่งนี้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง

พวกเขาเริ่มจ้องมองหน้ากันและกันด้วยความประหลาดใจ และท้ายที่สุดก็จ้องมองมายังเหล่าเย่จื่อจง.

เหล่าเย่จื่อจงในเวลานี้ กุมไม้เท้ามังกร พร้อมกับนั่งปิดตาพักผ่อน เช่นนั้นในบรรดาบุตรชายของเขาจึงไม่มีใครกล้ารบกวน ทำให้คำถามมากมายสะสมอยู่ภายในใจของพวกเขา.

สามวันสามคืน รถไฟที่แล่นตลอดทั้งสามวัน บุตรชายทั้งแปดไม่รู้เลยว่าพวกเขาอยู่ห่างจากบ้านมาไกลขนาดใหนแล้ว.

สามวันมานี้ เสียงรถไฟที่คำรามดังก้อง เหล่าบุตรบุญธรรมที่ประหลาดใจในตอนแรก ตอนนี้เริ่มชินกับเสียงของมันไปเรียบร้อยแล้ว.

ในวันที่สาม รถไฟที่ค่อย ๆ เคลื่อนที่ช้าลงก่อนที่จะหยุดในที่สุด.

ดินแดนใต้ดินเองนั้นนับว่าเป็นห้องโถงที่มีขนาดใหญ่เป็นอย่างมาก เหล่าเย่จื่อจงพาทุกคนขึ้นมาด้านบนผ่านช่องทางเดินเหมือนกับตอนแรก.

"ที่แห่งนี้ มีหมู่บ้านที่เชิงเขา สถานที่แห่งนี้เป็นทรัพย์สินของข้า พักอยู่ที่นี่สองวัน ข้าต้องการให้พวกเจ้าสมบูรณ์ที่สุด หลังจากนี้สองวัน พวกเราจะเดินทางไปยังหุบเขาประตูมังกรเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน "เหล่าเย่จื่อจงกล่าว.

"ครับ."ทุกคนตอบกลับ.

พวกเขาทุกคนที่เดินออกจากห้องโถง สายตาของพวกเขาจ้องมองไปยังหมู่บ้านขนาดใหญ่ มีเหล่าบ่าวรับใช้หลากหลายคนที่เข้ามาทำความเคารพเหล่าเย่จื่อ หลังจากนั้นพวกเขาก็พาเหล่าบุตรบุญธรรมไปยังห้องรับรอง.

หลังจากที่บุตรบุญธรรมจากไปแล้ว เหล่าเย่จื่อจงก็เดินเข้าไปยังสวนขนาดเล็กแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่พักส่วนตัวของเขา เขาที่เปิดประตูออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะเห็นห้องพักที่ทำความสะอาดอย่างดี.

เป็นห้องนอนที่ใหญ่โตหรูหรามีตู้ขนาดใหญ่หลายแห่งบนกำแพง ที่ด้านหน้าเตียงนอน มีภาพขนาดใหญ่ประดับอยู่.

ภาพดังกล่าวนี้เก่าแก่เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าภาพวาดนี้ได้วาดขึ้นมาเมื่อนานมาแล้ว.

เขาที่ค่อย ๆ เดินเข้าไปจ้องมองไปยังภาพวาดดังกล่าวด้วยท่าทางพินิจพิเคราะห์.

เป็นภาพวาดของหญิงสาวคนหนึ่ง ที่งดงามเป็นอย่างมาก มีดวงตาที่ส่องสว่างราวกับดวงดารา ฟันขาว ผมสีดำเงา รูปร่างดูดี นางที่สวมชุดคลุมหนังสัตว์สีแดงและถือดอกไม้ที่งดงามมาอังที่จมูก เผยยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวลพร้อมดมกลิ่นดอกไม้ รอยยิ้มของนางที่ราวกับว่าสามารถทำให้โลกนี้หมุนรอบตัวของนางได้.

ใบหน้าที่ซับซ้อนเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกของเหล่าเย่วจื่อจง จ้องมองไปยังหญิงสาวคนดังกล่าวตาแทบไม่กระพริบ.

"เป่าเอ๋อ เจ้าลืมข้าไปแล้วรึ? ทำไมเจ้าไม่กลับมาหาข้า?"ใบหน้าของเหล่าเย่จื่อจงที่เต็มไปด้วยความเศร้า และเจ็บปวด.

หลังจากที่ยืนจ้องมองรูปวาดดังกล่าวกว่าสองชั่วโมง เหล่าเยว่จื่อจงก็ถอนหายใจ ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับนั่งลงบนเตียง.

เขานั่งลงบนเตียงพร้อมกับวางไม้เท้ามังกรอยู่ด้านข้างพยายามทำใจให้สงบ พร้อมกับนั่งสมาธิและเริ่มบำเพ็ญเพียร.

การประลองในการชุมนุมประตูมังกรนั้นกำลังจะเริ่มแล้ว เขาจะต้องอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุด ในการเข้าไปในหุบเขาประตูมังกร.

สองวันหลังจากนั้น ที่ด้านนอกของหมู่บ้าน เหล่าเย่วจื่อจงได้เดินนำออกมา โดยมีบุตรบุญธรรมทั้งแปดเดินตาม.

ทิศทางที่พวกเขามุ่งไปนั้นเป็นแนวเขาใหญ่ทางด้านเหนือของหมู่บ้าน เส้นทางที่ขรุขระ และลำบากเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะพวกเขาคือผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ คงไม่สามารถที่จะปีนแนวเขานี้ได้ ระหว่างทางนั้น มีหญ้าพิษและแมลงเต็มไปทุกที หากไม่เพราะว่าเหล่าเยว่จื่อจงมีประสบการณ์หลายสิบปี บางทีพวกเขาคงจะถูกพิษกันหมดแล้ว.

เหล่าบุตรบุญธรรมทั้งแปดที่เห็นสภาพแวดล้อมทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว หวั่นเกรงขึ้นมาเช่นกัน.

เหล่าเยว่จื่อจงที่เดินค้ำไม้เท้า โดยมีบุตรชายจงซีจิวคอยยื่นมือจับไม้เท้าไปตลอด ทุกคนยกเว้นจงเทียน ต่างก็ไปถึงระดับสูงสุดของขั้นเห่าเทียน ดังนั้นจึงปีนป่ายพื้นที่ขรุขระนี้ไม่ยากเย็นนัก จงเทียนที่ช้าสุด ทว่าเหล่าเยว่จื่อจงก็อดทนชะลอความเร็ว รอเขาอยู่เป็นระยะ.

ในคืนนั้น พวกเขาได้หาสถานที่พักผ่อนเอาแรง มีเพียงจงเทียนที่ยังคงเฝ้ายาม จ้องมองพื้นที่รอบ ๆป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายและแมลงพิษเข้าใกล้.

จงเทียนมีนิสัยตรงไปตรงมา ถึงแม้ว่าจะเป็นพี่ใหญ่สุดทว่าพลังฝึกตนของเขากลับไม่ได้รวดเร็วเหมือนคนอื่น ตอนนี้เพิ่งไปถึงระดับ 8 โหวเทียนเท่านั้น จงเทียนนั้นไม่ได้คาดหวังแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ต้องการเห็นการประลองประตูมังกรในตำนานเท่านั้น.

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถที่จะปล่อยให้เหล่าเยว่จื่อจงเฝ้ายามได้ ส่วนบุตรบุญธรรมอีกเจ็ดคน จงเทียนรู้ว่าพวกเขาเป็นคนที่ค่อนข้างหัวสูง มีเพียงแค่ตอนเด็กเท่านั้นที่เขาได้รับความเคารพนับถือ ตลอดจนเมื่ออยู่ต่อหน้าอี้ฟู ทว่าจงเทียนนั้นเป็นคนซื่อและอ่อนโยน เขาจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก ต้องไม่ลืมว่าพลังฝึกตนของพวกเขานั้นเหนือกว่าเขามาก.

ยิ่งลึกเข้าไปในเทือกเขาเท่าไหร่ แม้ว่าจะไม่พบกับสัตว์ร้าย ทว่าก็พบกับแมลงพิษ หญ้าพิษ ตลอดจนยุงพิษ ทว่าทุกครั้งที่ใครได้รับพิษ เหล่าเยว่จื่อจงก็จะนำสมุนไพรออกมารักษาให้ในทันที ดังนั้นการเดินทางของพวกเขา แม้ว่าจะน่าหวาดกลัวแต่ก็ไร้ซึ่งอันตรายใดๆ.

หลังจากที่ทุกคนเห็นยาที่อี้ฟูนำมา ก็ไม่ยากเลยที่จะคาดเดาว่าอี้ฟูนั้นเคยผ่านเส้นทางนี้มานับครั้งไม่ถ้วนจนทำให้คุ้นเคยกับพื้นที่แห่งนี้เป็นอย่างดี.

ห้าวันหลังจากนั้น หลังจากที่ผ่านข้ามเขามาหลายลูก ท้ายที่สุดก็มาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง.

ในเวลานี้ มีคนมากมายที่เดินทางมาจากทิศทางที่ต่างกัน พวกเขาไม่รู้จักกันเลยแม้แต่น้อย ทว่าดูเหมือนว่าจะมีกลุ่มคนหกคน กลุ่มหนึ่งที่ราวกับจะจำพวกเขาได้ซึ่งกำลังชำเลืองมองมา.

หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของต้าคุน ตระกูลเจา?

"นั่นใช่คนของตระกูลเจาใช่ไหม?"ทุกคนที่รู้สึกตื่นตะลึง.

ผู้นำของพวกเขา สวมชุดคลุมสีขาว ดูมีอายุราว ๆ 40 หรือ 50 ปี ทว่าเหล่าบุตรบุญธรรมของพวกเขารู้ดีนี่คือผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลเจา คนที่มีอายุนั้นก็คือผู้นำตระกูลเจา เขามีอายุเท่ากับเหล่าเย่จื่อจง การที่รูปร่างหน้าตาของเขาดูอ่อนเยาว์ เพราะพลังฝึกตนของเขานั้นก้าวไปถึงระดับเซียนเทียนแล้วนั่นเอง.

"จงซานอย่างงั้นรึ?"ผู้นำตระกูลเจาจำเหล่าเยว่จื่อจงได้ เขาที่มีไม้เท้ามังกรอยู่ สายตาของเขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเองเลยแม้แต่น้อย.

"โลกช่างแคบจริงๆ ประมุขเจา นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้เจอกัน?"เหล่าเยว่จื่อจงเผยยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวล.

ที่ด้านหลังของประมุขเจานั้น มีชายห้าคนซึ่งเป็นคนของตระกูลเจาทุกคนต่างก็จ้องมองอย่างเหยียดหยันมายังบุตรของเหล่าเยว่จื่อจง ก่อนที่จะหันหน้ากลับมามองเหล่าเยว่จื่อจง พวกเขายังคงให้ความเคารพอยู่ ต้องไม่ลืมว่าตำนานของเหล่าเย่วจื่อจงในต้าคุนนั้นทุกคนต่างก็รับรู้กันไปทั่ว ถึงแม้ว่าจะเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ที่มีอายุหลายพันปียังรู้สึกประทับใจเขา.

เหล่าเย่วจื่อจงนั้นเป็นตัวตนในตำนาน เขาเป็นคนที่ไม่มีพื้นหลังใดๆ ทว่ากลับสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยลำแข้ง จนกลายเป็นที่รู้จักของทุกคน ทว่าเหล่าบุตรบุญธรรมของพวกเขานั้น หากว่าไม่ได้ทรัพย์สินของอี้ฟูคงจะไม่สามารถก้าวมาได้ขนาดนี้.

"ฮ่าฮ่า ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าจะเห็นท่านยังสถานที่แห่งนี้ ท่านช่างเป็นคนที่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง."ประมุขเจาที่กล่าวต่อจงซานพร้อมกับหรี่ตามอง.

"ข้านั้นเพียงแค่นำผู้เยาว์มาหาประสบการณ์เท่านั้น ส่วนประมุขเจา คงจะมาทดสอบเข้าสำนักเซียนอย่างงั้นรึ?"เหล่าเยว่จื่อจงสอบถาม.

"เข้าสำนักเซียนอย่างงั้นรึ? ฮ่า ฮ่า เจ้าและข้าเองก็มีอายุเท่ากัน ข้าตอนนี้ก็อายุแปดสิบปีแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะมีคนในตระกูลอยู่ข้างใน พวกเขาคงไม่ต้องการให้ข้าเข้าไป ในเวลานี้ ข้าเพียงแค่นำเหล่าสุดยอดผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์ มาหาโชควาสนาเท่านั้น."ประมุขเจาที่เผยยิ้มและส่ายหน้าไปมา.

"เช่นนั้น ข้าขอให้ประมุขเจาโชคดี."จงซานกล่าว.

"อืม เช่นกัน ข้าหวังว่าจะมีใครสักคนในตระกูลเจ้ามีโอกาสได้เข้าสำนักเซียน."ประมุขเจาหรี่ตาจ้องมองเหล่าบุตรบุญธรรมของเขา.

"อืม."เหล่าเย่วจื่อจงพยักหน้า.

"ลาก่อน."ประมุขเจากล่าว.

"เจอกันที่การประลองประตูมังกร "จงซานพยักหน้า."

หลังจากที่ประมุขเจาเข้าไปด้านในก่อน.

จงซาน ดูท่าทางเคร่งขรึม ยืนจ้องมองตระกูลเจาที่เข้าไปในหุบเขา เขาหรี่ตาจ้องมองพร้อมครุ่นคิดชั่วขณะ.

"ไปกันได้แล้ว."เหล่าเย่วจื่อจง พร้อมกับค้ำไม้เท้ามังกรในมือบอกกับบุตรของเขา.

"ขอรับ."พวกเขาตอบกลับ.

พวกเขาที่ตามเหล่าเยว่จื่อจงเข้าไปในหุบเขาในทันที.

สำนวน"กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง"ภาษาจีนอ่านว่า" 狡兔三窟 jiǎo tù sān kū"(เจี่ยว ทู่ ซาน คู ) สำนวนนี้เดิมทีเป็นการอุปมาว่า มีที่ซ่อนตัวหลายแห่ง เพื่อสะดวกแก่การหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ ปัจจุบันโดยทั่วไปใช้มาแสดงให้เห็นว่าให้เหลือทางหนีทีไล่ มีขีดความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ สำนวนนี้ เข้าทำนองที่สำนวนไทยว่า"ทางหนีทีไล่"คือเตรียมตัวไว้หาทางออก.

ที่มา https://thai.cri.cn/424/2010/02/01/21s169498.htm

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด