Chapter 162 การประชุมขุนเขา.
เมืองอู๋ซวัง เกาะลอยฟ้าเขตม่านสีแดง.
สถานที่แห่งนี้ มีเกาะลอยฟ้าสามเกาะเชื่อมต่อกัน บนเกาะลอยฟ้าแห่งหนึ่งมีเนินเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งมีน้ำตกและมีบ้านพักสองหลังที่สวยงามพร้อมทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมรอบ ๆ พื้นที่แห่งนี้.
จงซานที่นั่งสมาธิอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ขณะที่นั่งบำเพ็ญพลังฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง.
หลายวันมานี้เขาได้ทำการเตร็ดเตร่ไปยังย่านธุรกิจ จงซานที่ทำการตรวจสอบของวิเศษเกือบทุกอย่าง เพื่อเก็บข้อมูลต่าง ๆ ทว่าจงซานเองก็ไม่ได้ใช้เม็ดยาในการแลกของวิเศษแต่อย่างใด ถึงเขาจะมีเม็ดยาอย่างเพียงพอ ทว่าเขาก็ไม่ต้องการที่จะเผยข้อมูลเกี่ยวกับสถานะของเขามากนัก อย่างน้อยภายในสายตาของคนอื่น ๆ ทุกคนควรจะรับรู้ว่าเขาเองก็ไม่ได้มีเม็ดยามากมายขนาดนั้น.
สถานที่แห่งนี้คือบ้านพักของสุ่ยอู๋เหิน เป็นเกาะลอยฟ้า เป็นพื้นที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณมากมาย พื้นที่รอบ ๆ งดงามเป็นหนึ่งในคฤหาสน์ของเมืองอู๋ซวัง.
ด้วยการมองลงไปจากบนเกาะลอยฟ้า สามารถมองเห็นภาพฉากเกือบทั้งหมดของเมืองอู๋ซวัง เมืองแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก ใหญ่โตยิ่งกว่าสำนักไคหยางหลายเท่า เมืองอู๋ซวังเต็มไปด้วยเทือกเขาขนาดใหญ่มากมาย อาจเรียกได้ว่าเป็นมหานครเลยก็ว่าได้.
การลงทะเบียนเอกสารยังไม่แล้วเสร็จ ทว่าจงซานก็ไม่ได้กังวลอะไร ทว่าตอนนี้เขายังคงรอคอยอย่างอดทน.
หนานป้าเทียนเองก็อาศัยอยู่บ้านอีกหลังข้าง ๆ กัน.
"จงซาน ป่าเทียน."ที่ด้านนอกห้องนั้นมีเสียงของสุ่ยอู๋เหินที่ดังขึ้นมาในทันที.
จงซานที่ได้ยินเสียง จึงค่อยเดินออกมาช้า ๆ .
"การลงทะเบียนเอกสารเสร็จสิ้นแล้วอย่างงั้นรึ?"หนานป้าเทียนที่ออกมานอกประตูแล้วสอบถามออกมา.
"ยัง ทว่าข้ามีข่าวดีมาบอก."สุ่ยอู๋เหินที่เผยยิ้มออกมา.
ในเวลานี้ จงซานที่เดินออกมานอกประตู.
"ข่าวดี?"จงซานที่สอบถามด้วยความสงสัย.
"ใช่แล้ว มีความเป็นไปได้ที่ราชวงศ์สวรรค์ต้าโหลวและราชวงศ์ราชันย์ต้ายวี ต้องการเจรจาพักรบ อย่างน้อยในระยะสั้นจะไม่มีสงครามเกิดขึ้น."สุ่ยอู๋เหินกล่าว.
"อืม ท่านรู้ได้อย่างไร?"จงซานที่สอบถามออกมาด้วยความสงสัย.
"บิดาของข้ากล่าวว่า พรุ่งนี้เช้า ที่ด้านนอกเมืองอู๋ซวัง บนหุบเขาแห่งหนึ่ง มีการจัดเตรียมการเจรจาระหว่างของขุนนางของทั้งสองฝ่าย บิดาของข้าก็ไปด้วย พวกเจ้าจะไปดูหรือไม่?"สุ่ยอู๋เหินกล่าว.
"หืม? การเจรจาระหว่างสองราชวงศ์? พวกเราไปได้อย่างงั้นรึ?"จงซานที่ขมวดคิ้วสอบถาม.
"แน่นอน พวกเรายืนอยู่ห่างจากบนภูเขาสามารถมองดูขึ้นไปได้ ตราบเท่าที่ไม่สร้างความวุ่นวาย ย่อมไม่มีปัญหา."สุ่ยอู๋เหินกล่าว.
"แน่นอนว่าต้องไปอยู่แล้ว."จงซานกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม.
"ตกลง เมื่อถึงเวลาข้าจะมาเรียกเจ้า."สุ่ยอู๋เหินกล่าว.
ภายในเมืองอู๋ซวัง.
บนเกาะขนาดใหญ่ลอยฟ้าเกาะหนึ่ง.
บนเกาะลอยฟ้าแห่งนี้มีของตกแต่งที่แปลกประหลาดงดงาม ตกแต่งรอบ ๆ ห้องโถงขนาดใหญ่ ซึ่งสถานทีแห่งนี้มีห้องโถงหลักอยู่หลายแห่ง และในโถงแห่งหนึ่ง ที่มีคนที่กำลังวุ่นวายอยู่ไม่น้อย อยู่ในกลางห้องโถงนั้น.
บิดาของสุ่ยอู๋เหิน หนานเฉิงตง สุ่ยเทียนหยา ในเวลานี้กำลังยืนอยู่ด้วยความเคารพ คำนับกับคนผู้หนึ่ง.
บนบัลลังก์ตรงกลางห้องโถงนั้นมีหญิงสาวที่สง่างาม นางสวมชุดไหมสีดำ เรียวขาที่เรียวงามเป็นเอกลักษณ์ แววตาที่ฉายความฉลาดล้ำออกมา ท่าทางอหังการผู้ที่ยืนอยู่เหนือคนอื่น ๆ ได้อย่างเปิดเผย.
หากว่าจงซานอยู่ที่นี่แล้วล่ะก็ ย่อมจดจำได้อย่างแน่นอน หลายปีก่อนหน้านี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ค่ายกลแปดประตูกุญแจทอง กงจู่เฉียนโหยวซึ่งนางก็เป็นหนึ่งผู้เข้าร่วมแย่งชิงจิตวิญญาณค่ายกล ด้านหลังของนางซ้ายขวามีองค์รักษ์ยืนอยู่ เป็นอาต้าและอาเอ้อนั่นเอง.
สุ่ยเทียนหยาโค้งคำนับกงจู่เฉียนโหยวด้วยความเคารพอย่างสูง
"สุ่ยเทียนหยา กระแสตอบรับในเมืองอู๋ซวังเป็นอย่างไรบ้าง?"กงจู่เฉียนโหยวสอบถาม
"เรียนกงจู ผลตอบรับไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ทว่าข้าจะพยายามทำอย่างเต็มที "สุ่ยเทียนหยาที่ขมวดคิ้วไปมาพลางทอดถอนใจ.
"อืม ต้าเสวียนหวัง ครั้งนี้ได้ส่งบุตรชายกู่หลิน รับผิดชอบดูแลอีกฝั่ง กู่หลินมีผู้ช่วยที่มากความสามารถ เซียนเซิงสุ่ยจิงเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่หายาก ด้วยการมีเซียนเซิงสุ่ยจิงคอยช่วยเหลือพวกเขา นับว่าเป็นงานยากของพวกเรา ให้คนคอยจับต้าเซียนเซิงสุ่ยจิงเอาไว้."กงจู่เฉียนโหยวที่คิดใคร่ครวญและกล่าวออกมา.
"ครับ."สุ่ยเทียนหยาที่ตอบรับในทันที.
"อืม เรื่องนี้พักไว้ก่อนชั่วคราวก็แล้วกัน วันพรุ่งนี้ มีการเจรจาระหว่างขุนเขา พวกเราจะทำให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้ เจ้ากลับไปเตรียมตัวได้."กงจู่เฉียนโหยวที่กล่าวออกมาอีกครั้ง.
"ขอรับ."สุ่ยเทียนยากล่าวอย่างเคารพ จากนั้นก็ค่อยถอยจากห้องโถงไป.
กงจู่เฉียนโหยวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ตบไปที่พนักเก้าอี้เบา ๆ คิดครู่หนึ่งและกล่าวออกมาว่า."อาต้า."
"อยู่นี่แล้ว "อาต้าก้าวออกมาด้านหน้าและตอบรับคำในทันที.
"นำองค์รักษ์สิบคน ออกไปตรวจตราพื้นที่รอบ ๆ อย่าได้ให้มีปัญหา."กงจู่เฉียนโหยวที่สั่งการในทันที.
"ครับ."อาต้ารับคำสั่ง จากนั้นก็ออกจากห้องโถงไปในทันที.
เมืองอู๋ซวง ตำหนักอีกแห่งหนึ่ง.
นี่คืออีกคนหนึ่งที่วิ่งตามกงจู่เฉียนโหยวไปที่ค่ายกลแปดประตูกุญแจทอง กูหลิน ซึ่งที่ด้านหลังนั้นมีชายที่โบกสะบัดพัดไปมา บนโต๊ะมีแผนที่ เหมือนว่ากำลังวางกลยุทธ์บางอย่างอยู่.
ในเวลานี้ที่ด้านหน้าของพวกเรานั้นมีชายคนหนึ่งกำลังแสดงความเคารพอย่างสุดซึ้งอยู่.
ชายผู้นี้สวมชุดสีขาว รูปร่างหน้าตาเหมือนกับปุถุชนอายุห้าสิบปี ดูท่าทางสุขุม.
"โม่ไป่หลี่ ผลตอบรับภายในเมืองอู๋ซวังเป็นอย่างไรบ้าง?"กู่หลินกล่าวถาม.
"ซือจื่อโปรดวางใจ แม้ว่าตอนแรกจะมีปัญหา แต่ด้วยได้รับการแนะนำจากเซียนเซิง สถานการณ์ตอนนี้นับว่ายอดเยี่ยม หลังจากผ่านการเจรจาขุนเขาเสร็จสิ้น พวกเราสามารถกำราบ หนานเฉิงตง สุ่ยเทียนหยาได้อย่างราบคาบแน่นอน."โม่ไป่หลี่กล่าวออกมาด้วยความเคารพ.
"ดีแล้ว ฟู่หวังให้ข้ามาจัดการเรื่องนี้ อย่าทำให้ข้าต้องผิดหวัง."กู่หลินกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม.
"รับทราบ ซือจื่อโปรดวางใจ เรื่องนี้น่าจะมั่นใจได้กว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์."โม่ไป่หลีเผยยิ้มออกมา.
"หาได้เป็นเช่นนั้น อย่าได้ประมาทกงจู่เฉียนโหยว."เซียนเซิงสุ่ยจิงที่โบกสะบัดพัดขณะพูด.
"ใช่แล้ว เฉียนโหยว เฉียนโหยวนางฉลาดมาก ไม่สามารถที่จะประมาทได้ อย่าได้เพิ่งมั่นใจในชัยชนะเกินไป ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยชนะนางเลย ดังนั้นครั้งนี้เจ้าจะต้องชนะให้ได้ ห้ามแพ้เด็ดขาด."กู่หลินลุกขึ้นและกล่าวออกมาด้วยความจริงจัง.
เห็นท่าทางของกู่หลินแล้ว โม่ไป่หลีกล่าวออกมาว่า"ซือจื่อโปรดวางใจ ตอนนี้แนวโน้มเข้าข้างพวกเราเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่ากงจูเฉียนโหยวจะฉลาดหลักแหลมเพียงใด ทว่าพวกเราก็มีเซียนเซิงสุ่ยจิง พวกเราย่อมชนะแน่."
"อืม ดีแล้ว เจ้าไปเตรียมตัวในวันพรุ่งนี้ เกี่ยวกับการเจรจาระหว่างขุนเขาได้ หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องนี้แล้ว ค่อยคุยกันอีกที."กู่หลินที่คิดและกล่าวออกมา.
"ครับ."โม่ไป่หลีกล่าวและออกจากห้องโถงไป.
หลังจากที่โม่ไป่หลีจากไปแล้ว กู่หลินก็กล่าวต่อเซียนเซิงสุ่ยจิงทันที "สุ่ยจิง ท่านพ่อของข้าได้บอกให้ระวังเฉียนโหยวก็จริง แต่ในเวลานี้ดูเหมือนว่าชัยชนะจะเอนเอียงมาฝั่งเรามากแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำอะไรผิดพลาด จะต้องทำได้รับชัยชนะให้ได้!"
"ซือจื่อโปรดวางใจ สุ่ยจิงจะทำทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้."เซียนเซิงสุ่ยจิงที่โบกสะบัดพัดไปมาขณะพูด.
....
เมืองอู๋ซวัง บนเกาะลอยฟ้าเกาะหนึ่ง.
โม่เหยี่ยนปิงที่บุกเข้ามาในห้องโถง.
"ท่านพ่อล่ะ?"โม่เหยียนปิงที่สอบถามคนรับใช้.
"นายท่านออกไปด้านนอกขอรับ."บ่าวรับใช้ตอบ.
"พรุ่งนี้มีการประชุมขุนเขา ท่านพ่อจะออกไปเวลาใหน?แล้วสถานที่อยู่ที่ใหนรึ?"โม่เหยียนปิงที่ขมวดคิ้วไปมาขณะพูด.
"บ่าวไม่รู้ขอรับ."คนรับใช้รีบเอ่ยออกมาในทันที.
"เส้าเหยีย เส้าเหยีย "ในเวลาเดียวกัน ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา เป็นเสี่ยวซานที่ถูกโม่เหยียนปิงส่งออกไปสืบข่าวนั่นเอง.
"เจ้าได้ข่าวมาแล้วรึ?"โม่เหยี่ยนปิงที่ขมวดคิ้วกล่าวออกมา.
"ครับ เส้าเหยี่ย คนสองคน น่าจะเป็นศิษย์สำนักไคหยาง นอกจากนี้ยังเป็นศิษย์น้องของสุ่ยอู๋เหิน."เสี่ยวซานที่กล่าวออกมา.
"โอ้ว? เชื่อได้หรือไม่?"โม่เหยี่ยนปิงกล่าวย้ำ.
"ครับ คนรับใช้ของสุ่ยเทียนหยากล่าวออกมาด้วยตัวเองเลย ว่าคนทั้งสองเรียกสุ่ยอู๋เหินว่าศิษย์พี่."เสี่ยวซานกล่าว.
ได้ยินเสี่ยวซานกล่าวใบหน้าของโม่เหยี่ยนปิงเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ไปในทันที "ดี เป็นแค่ศิษย์น้องของสุ่ยอู๋เหิน เจ้าพวกบ้านนอกสำนักไคหยางจากเกาะหมาป่าสวรรค์อย่างงั้นรึ?แค่ระดับแกนทอง?ชิ! ไม่มีใครกล้าหาเรื่องข้าเช่นนี้ พวกมันคงไม่อยากหายใจแล้ว."
........
เช้าวันถัดมา.
ห่างออกไปทิศใต้ 800 ลี้จากเมืองอู๋ซวัง พื้นที่รอบ ๆ เป็นพื้นที่ราบ เปิดกว้าง มีเพียงแค่หุบเขาหยกสีขาวอยู่ใจกลาง.
ภูเขาหยกขาวนี้เป็นรูปจัตุรัส มีความสูง 300 เมตร พื้นที่ตะวันออก ทิศใต้ และทิศตะวันตก ทิศเหนือ มีกองกำลังทหารประจำการอยู่ออกห่างรอบ ๆ ภูเขาแห่งนี้.
สถานที่แห่งนี้ มีนักรบอยู่เป็นจำนวนมากล้อมรอบปกป้องอยู่.
มีค่ายสองจุด ทิศละหนึ่งแสนตามลำดับ.
แต่ละฝั่งมีทหาร 200,000 คนยึดตำแหน่งฝั่งละสองทิศ ยืนนิ่งรอคอยอยู่.
ทั้งสองฝั่งต่างก็ส่งทหารออกมาประจำ รักษาความปลอดภัยให้กับฝั่งตัวเอง รอคอยการชุมนุมจะเริ่มขึ้น.
จงซาน หนานป้าเทียน และสุ่ยอู๋เหิน ในเวลานี้ยืนอยู่ในกระโจมแห่งหนึ่ง ยืนนิ่งอยู่ด้านนอกจ้องมองเข้าไปในวงล้อมของทหารรักษาความปลอดภัย.
จงซานที่จ้องมองรอคอยอย่างอดทน เพราะว่าจงซานสามารถเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าพื้นที่รอบ ๆ จะมีทหารฝ่ายละ 200,000 คน พวกเขาก็ยืนนิ่งไม่ส่งเสียงออกมาเลยแม้แต่น้อย ได้ยินเพียงแค่เสียงลมพัด ซึ่งตอนนี้รอคอยการประชุมจะเริ่มขึ้นเท่านั้น.
การประชุมในครั้งนี้ เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงจะเริ่มขึ้นนั่นเอง.
ในเวลานั้น จากฝั่งตรงข้าม ทันใดนั้น ก็ปรากฏคน ๆ หนึ่งที่กำลังเดินขึ้นมา.
เมื่อเห็นคนผู้นี้ ดวงตาของจงซานที่หดเกร็งลงเลยทีเดียว แม่ทัพเถี่ยเสวี๋ยเป็นคนที่เขาเพิ่งเจอมาเมื่อไม่นานมานี้ เขาคือแม่ทัพลำดับหนึ่งของราชวงศ์ราชันย์ต้ายวี เถี่ยเสวี๋ยนั่นเอง.
แม่ทัพเถี่ยเสวี๋ยที่ก้าวออกมาจากกระโจมขนาดใหญ่ซึ่งมีเหล่าขุนพลต่าง ๆ เดินตาม ไม่มีใครกล้าก้าวล้ำหน้าเขาแม้แต่ครึ่งก้าว.
ในค่ายของฝ่ายตรงข้ามนั้น แน่นอนว่าแม่ทัพเถี่ยเสวี๋ยคือคนที่มีสถานะสูงสุดนั่นเอง.
ฝ่ายตรงข้ามนั้นมีผู้ติดตามรวมแล้วราว ๆ 40 คน จงซานที่จับจ้องมองไปยังคนเหล่านั้น.
และอีกฝั่งหนึ่งอีกกระโจมใหญ่ ทันทีที่มีคนปรากฏออกมา ดวงตาของจงซานถึงกับประกายตาแสดงท่าทางประหลาดใจขึ้นมาในทันที.
เพราะว่าคนกลุ่มนี้จงซานเคยเห็นมาก่อน เก้าปีที่แล้วที่ได้เจอโดยบังเอิญ.
กงจู่เฉียนโหยว เซียนเซิงสุ่ยจิงและกู่หลินอย่างงั้นรึ?องค์หญิงเฉียนโหยว?ประจวบเหมาะเช่นนี้เลยรึ? นอกจากนี้ที่ด้านหลังยังเป็นสุ่ยเทียนหยาที่นำเหล่าขุนพลต่าง ๆ ตามมา พร้อมกับแสดงท่าทางเคารพเป็นอย่างมากต่อกงจู่เฉียนโหยว.
นี่นางคือกงจู่ราชวงศ์สวรรค์ต้าโหลวอย่างงั้นรึ? คิดถึงเรื่องนี้ทำให้จงซานขมวดคิ้วย่นไปเลยทีเดียว พลางถอนหายใจยาว ฝืนยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าขุนนางระดับห้าราชวงศ์สวรรค์ต้าโหลว จะดูไม่มั่นคงซะแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะบังเอิญซะเหลือเกินที่ได้พบกับคนคุ้นเคยที่ไม่สามารถที่จะคาดการณ์เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ได้เลย.