Chapter 158 เมืองอู๋ซวัง(เมืองนักรบ)
"พวกเราไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้ามารบกวนค่ายทหารแห่งนี้แต่อย่างใด!"อาวุโสจื่อซวินที่กล่าวออกมาในทันที.
แม่ทัพเถี่ยเสวี๋ยชำเลืองมองไปยังอาวุโสจื่อซวิน ไม่ได้สงสัยในอาวุโสจื่อซวินที่งดงามผู้นี้ บางทีจากการวิเคราะห์เรื่องทั้งหมดแล้วคงเป็นเช่นนั้น.
"ศาลาเจ็ดดาว? จื่อซวิน ข้าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับท่านมาไม่น้อย ในเมื่อวันนี้เป็นเพียงแค่การเข้าใจผิด เช่นนั้น พวกท่านก็ไปเถอะ."เถี่ยเสวี๋ยคิดครู่หนึ่งพร้อมกล่าวออกมา.
ได้ยินคำพูดของแม่ทัพเถี่ยเสวี๋ยแล้วจงซานถึงกับขมวดคิ้วไปมา ไม่เพียงจงซาน สุ่ยอู๋เหินและหนานป้าเทียน อาวุโสอีกสองคน หรือแม้แต่อาวุโสจื่อซวินก็ต้องขมวดคิ้วไปมาทันที.
ไม่สมเหตุสมผล! ก่อนหน้านี้สุ่ยอู๋เหินได้กล่าวไว้ว่าราชวงศ์ราชันย์ต้ายวีและราชวงศ์สวรรค์ต้าโหลวต่อสู้ห้ำหั่นกันมาหลายปี เรื่องเช่นนี้ยากที่พวกเขาจะปล่อยฝ่ายตรงข้ามไปง่าย ๆ .
จงซานที่เต็มไปด้วยความสงสัย สับสนเป็นอย่างมาก ไม่เข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของสองราชวงศ์นี้เลยแม้แต่น้อย เพียงแค่คำพูดที่ได้รับจากสุ่ยอู๋เหินเกี่ยวกับสองฝ่าย ย่อมไม่สามารถอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นของสองราชวงศ์อย่างแน่นอน.
ที่จริงแม้แต่สุ่ยอู๋เหินเวลานี้ก็ดวงตาเบิกกว้างกลมโต ไม่สมเหตุสมผล ไม่สมเหตุผลเลย.
"ขอบคุณ!"จื่อซวินพยักหน้าเล็กน้อย.
ด้วยการก้าวขึ้นไปบนก้อนเมฆ อาวุโสทั้งสามก็พา จงซานกับคนอื่น ๆ จากไปอย่างรวดเร็ว.
เถี่ยเสวี๋ยในชุดสีแดงโลหิตลอยอยู่บนอากาศ ดวงตาที่หรี่เล็กจ้องมองไปยังอาวุโสจื่อซวินที่นำคนของนางจากไป พร้อมกับขมวดคิ้วไปมา.
"ท่านแม่ทัพ ทำไมปล่อยพวกเขาไปล่ะ?"ขุนพลข้างกายเขาที่เอ่ยถามไปในทันที.
"การเจรจาระหว่างขุนเขาใกล้เข้ามาแล้ว ไม่เหมาะที่จะสร้างปัญหา."แม่ทัพเถี่ยเสวี๋ยที่จ้องมองออกไปด้านหน้า.
"ครับ."ขุนพลที่ตอบรับในทันที.
....
ระหว่างเดินทางบนทวีปศักดิ์สิทธิ์นี้ จงซานที่เงียบโดยตลอด ไม่ได้กล่าวอะไรมากนัก ทวีปศักดิ์สิทธิ์ที่กว้างขวาง เต็มไปด้วยพยัคฆ์ซ่อนมังกรหลับ มีผู้เยี่ยมยุทธ์มากมาย หลังจากนี้เขาจำเป็นต้องศึกษาให้มากยิ่งกว่านี้.
ผ่านจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ล่วงเลยมาสามวันแล้ว เมฆสีขาวท้ายที่สุดก็มาหยุดในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งก็หมายความว่า พวกเขาได้มาถึงที่หมายแล้ว.
เมฆสีขาวที่ค่อย ๆ ร่อนลงจากบนอากาศช้า ๆ ทว่าจงซานเวลานี้ ชำเลืองมองตากลมโตกับภาพฉากที่ได้เห็น.
เมืองด้านหน้า น่าจะเรียกมหานคร เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่โตเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะเคยเห็นเมืองมากมายที่ใหญ่โต ในชีวิตที่แล้ว แต่เมื่อมายังโลกนี้ นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาเพิ่งเคยเห็นเมืองที่ใหญ่ขนาดนี้ จะไม่ทำให้เขาตื่นตะลึงได้อย่างไร.
เมืองอู๋ซวัง!
ชื่อเมือง "อู๋ซวัง" ด้วยการมองเห็นในระดับแกนทอง ทว่ากำแพงเมืองนั้นคาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย มันจะยาว ยาวมากจนไม่เห็นทั้งหมด.
กำแพงเมืองที่เป็นสีขาวบริสุทธิ์ ภายในสีขาวสว่างนั่น ด้านในมีอักขระค่ายกล สลักอยู่รอบ ๆ นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตนัก ที่เป็นที่น่าสนใจก็คือกำแพงนี้ มีความสูง 1200 เมตรเป็นกำแพงวิเศษที่ราวกับว่าสามารถป้องกันทุกอย่างได้ทั้งหมด.
เป็นเมืองที่ใหญ่โตขนาดนี้เลยรึ? ที่จริงกล่าวว่า 1200 เมตรก็ดูจะเกินจริง ๆ ไปหน่อย ตัวอาคารนั้นมีความสูงราว ๆ 400 เมตร ใช่แล้ว นั่นแค่เพียงกำแพงเมืองอย่างงั้นรึ?
เหนือขึ้นไปบนกำแพงเมืองนั้นไม่สามารถมองเห็นยอดได้เลย ดูเหมือนว่าจะมีอะไรปกคลุมอยู่ ดูแล้วเป็นเหมือนกับหมอกหนาที่ปกปิดพื้นที่ภายในเมืองเอาไว้.
มีกำแพงอากาศอีกชั้นอย่างแน่นอน.
ที่ด้านหน้าจงซาน เป็นประตูเมืองทิศใต้ สูงขึ้นไปด้านบนมีอักขระส่องประกายสามตัวดูเด่นเป็นสง่า.
"เมืองอู๋ซวัง."
เมืองราชวงศ์สวรรค์ นี่เป็นเพียงแค่เมืองรอบนอกของราชวงศ์สวรรค์อย่างงั้นรึ? เมื่อคิดถึงราชวงศ์กษัตริย์ต้าเจิ้งของตัวเองแล้ว จงซานถึงกับสูดหายใจลึก รู้สึกมันช่างเป็นภาระที่หนักหน่วงหาใดเปรียบในวันข้างหน้าจริง ๆ .
ภายใต้กำแพงของเมืองอู๋ซ มีลมโกรกผ่านเข้ามาเป็นระยะ ๆ ทว่าที่ภายในเมืองนั้นไม่มีใครบินไปมา ทุกคนจะต้องลงจากกระบี่เหินหรือเมฆเหิน เพื่อที่จะสามารถเข้าไปในประตูเมืองได้.
ที่ประตูเมืองนั้น เป็นประตูหยกบานคู่ที่มีความยาวเป็นอย่างมาก แต่ละประตูนั้นมีความกว้างหลายร้อยเมตรและมีความสูงห้าร้อยเมตร ที่ด้านหน้าประตูมีทหารสวมหมวกเหล็กอยู่มากมาย คอยตรวจตราคนเข้าเมือง ทว่าคนที่เข้าเมืองต่างก็ให้ความร่วมมือเหมือนว่านี่จะเป็นเรื่องปรกติ มีเพียงแค่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่ไม่จำเป็นต้องถูกตรวจ บางทีคงจะเป็นกลุ่มคนที่มีชื่อเสียง ดั้งนั้นจึงสามารเดินทางเข้าไปข้างในได้เลย.
"ถึงแล้ว ที่นี่คือเมือง อู่ซวัง!"สุ่ยอู๋เหินที่กล่าวต่อจงซานและหนานป้าเทียน.
อาวุโสจื่อซวินที่ก้าวลงมาบนพื้นก้าวตรงไปยังประตูหยก ก้าวตรงไปยังด้านหน้าเพื่อเข้าไปในเมือง อาวุโสสองคนเองก็ก้าวตามไปติด ๆ ทว่าจงซาน หนานป้าเทียนและสุ่ยอู๋เฉิน ย่อมต้องรักษาระยะห่างแต่พองาม.
จื่อซวินที่เดินตรงเข้าไปโดยไม่แยแส ซึ่งเหล่าทหารคุ้มกันเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ปล่อยพวกเขาก้าวเข้าไปด้านในโดยไม่ต้องตรวจค้น.
ทว่าผู้คุ้มกันประตูสองคนที่เดินตรงมาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการที่จะขวางทางจงซานเอาไว้.
ในเวลาเดียวกัน อาวุโสจื่อซวิน ก็ล้วงป้ายสัญลักษณ์ออกมา ทำให้ผู้คุ้มกันเหล่านั้นเปลี่ยนมาเป็นโค้งคำนับและเร่งรีบถอยไปทันที.
จื่อซวินที่เดินนำหน้า พาทุกคนก้าวผ่านประตูที่มีความกว้าง 800 เมตร เมื่อก้าวผ่านเข้ามาด้านในแล้วสุดท้าย พวกเขาก็เข้ามาในเมืองอู๋ซวังได้ในที่สุด.
จงซานทันทีที่ย่างก้าวเข้ามาในเมือง ก็สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่มากมาย เพียงแค่เมืองทั่วไปก็ดูเทียบเท่ากับสำนักไคหยางแล้ว ที่แห่งนี้เหล่าผู้ฝึกตนคงจะมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นอย่างมากแน่.
ทันทีที่จงซานกวาดตาไปรอบ ๆ ก็พบว่าภายในเมืองอู๋ซวังนั้น มีเกาะลอยฟ้าอยู่มากมายบนท้องฟ้า มีทั้งภูเขาขนาดใหญ่ ลำธารที่ใหญ่โต ทะเลสาบที่สวยงามบนเกาะที่แปลกตา เป็นบรรยากาศที่งดงามเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีฉากสีน้ำเงินและฉากสีแดงแยกพื้นที่บนท้องฟ้ากระจายแยกพื้นที่กั้นเป็นสัดส่วน
ทันทีที่เห็นจงซานและหนานป้าเทียนเห็นก็ ดวงตาเบิกกว้าง สุ่ยอู๋เหินก็สะบัดพัดไปมา เผยยิ้มกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล."ที่นี่คือเมืองอู๋ซวัง ซึ่งพื้นที่ในเมืองแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองอย่าง ม่านสีแดง ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่หวงห้าม ผ่านไปได้เฉพาะคนที่เกี่ยวข้อง คนทั่วไปแล้วเข้าไปไม่ได้ ส่วนมากเป็นพื้นที่ทางการทหาร ส่วนม่านสีน้ำเงิน สถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่สาธารณะพิเศษทุกคนสามารถเข้าไปได้แต่ห้ามบินในเขตพื้นที่แห่งนั้น จะต้องเดินเข้าไปเท่านั้น."
"อืม."จงซานที่พยักหน้าจดจำข้อมูลนี้เอาไว้.
"ส่วนพื้นที่อื่น ๆ สามารถบินได้ ทว่าไม่สามารถบินข้ามกำแพงเมืองได้."สุ่ยอู๋เหินกล่าว.
"โอ้ว?"จงซานที่ค่อนข้างสงสัย เพราะจงซานพบว่าแม้ว่าจะมีเกาะลอยฟ้าอยู่มากมายกระจายไปทั่วสารทิศ และยังมีพื้นที่มีม่านแสงปกคลุมอยู่ และยังมีหอคอยที่สูงขึ้นไปเป็นเหมือนกับบันไดขึ้นไปยังบนเกาะลอยฟ้านั่นด้วย.
"เฮ้เฮ้ เพราะว่ามันอยู่ในเมือง พื้นที่บนท้องฟ้า จึงมีค่ายกลใหญ่สายฟ้าสวรรค์สังหารอยู่ หากมีใครบางคนบินเลยขึ้นไปบนเขตหวงห้ามล่ะก็ จะถูกสายฟ้าสังหารในทันที."สุ่ยอู๋เหินเผยยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวล.
ค่ายกลสายฟ้าสวรรค์สังหารอยู่อย่างงั้นรึ?ที่บนอากาศที่สูงไปนั้นมีหมอกที่กระจายอยู่รอบ ๆ ตัดกับแสงตะวันดูงดงามเป็นอย่างมาก ทว่าก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นพื้นที่ดังกล่าวได้ชัดเจน.
อย่างไรก็ตามจงซานเลือกที่จะเชื่อสุ่ยอู๋เหิน เพราะว่าจากเท่าที่ดูแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าบินสูงขึ้นไป อีกอย่างยังเป็นความสูงที่มากกว่า 1200 เมตรอีกด้วย.
"แล้วหมายความว่าอย่างไรเกี่ยวกับม่านแสง?ทำไมมีเพียงม่านแสงสีน้ำเงิน ถึงไม่สามารถบินได้ล่ะ?"หนานป้าเทียนสอบถามออกมาด้วยความสงสัย.
"ฮ่าฮ่า เกี่ยวกับม่านแสงนั้น ที่จริงมันมีไว้เฉพาะเหล่าเกาะลอยฟ้า เพราะว่าเหตุผลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว ดังนั้นมันจึงมีค่ายกลลวงตาปกคลุม สีแดงก็คือค่ายกลลวงตาของพื้นที่หวงห้าม ส่วนสีน้ำเงินแน่นอนว่าเป็นพื้นที่สาธารณะ จึงมีคนเป็นจำนวนมากเพื่อป้องกันความวุ่นวายจึงได้ห้ามบินยังไงล่ะ"สุ่ยอู๋เหินที่อธิบาย.
"อืม."หนานป้าเทียนพยักหน้า.
สุยอู๋เหินยังคงแนะนำเรื่องต่าง ๆ ให้กับจงซาน จากนั้นอาวุโสที่ทำการโบกสะบัดมือ สร้างเมฆขาวขึ้น ก่อนที่จะพาทุกคนลอยตรงไปยังพื้นที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเมืองอู๋ซวังนั้นนับว่าใหญ่โตมาก ๆ .
แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกตน จำเป็นต้องลอยตรงไปกว่าครึ่งชั่วโมง พวกเขาที่ไปหยุดที่ด้านหน้าของม่านแสงสีแดงขนาดใหญ่ สถานที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้าม ไม่ได้อนุญาตให้ทุกคนเข้าไป หรืออาจจะกล่าวได้ว่า พื้นที่หวงห้ามนี้ เป็นพื้นที่ทางการทหารนั่นเอง.
ทันทีที่ทุกคนบินเข้ามาใกล้ เหล่าทหารมากมายก็เข้ามาล้อมทันที ทว่าหลังจากที่อาวุโสยื่นป้ายหยกออกมาแล้ว เหล่าทหารทุกคนก็เผยสีหน้าท่าทางเคารพออกมาในทันที ก่อนที่จะถอยออกไป.
คนทั้งหก ที่ลอยเข้าไปด้านใน.
ม่านแสงดังกล่าวดูเหมือนว่าจะเป็นม่านพลังป้องกันและปกปิดภาพของพื้นที่ด้านในเอาไว้ เมื่อเข้ามาด้านในแล้วก็มองไม่เห็นม่านแสงสีแดงอีกต่อไป ลึกเข้ามาด้านในอีกมีภูเขาขนาดใหญ่หลายลูก ภูเขาแต่ละลูกจะมีน้ำตกที่ไหลเอื่อย ๆ ดูเป็นภาพฉากที่งดงาม ภูเขาแต่ละลูกเองก็มีพื้นที่หลายแห่ง มีหมู่บ้านขนาดเล็ก ๆ อยู่ เว้นแต่เพียงที่ใจกลางเป็นหุบเขาที่มีภูเขาล้อมรอบ มองดูแล้วเป็นพื้นที่ซับซ้อน และมีสิ่งก่อสร้างที่โอ่อ่าอยู่ใจกลางพื้นที่ดังกล่าวด้วย.
อาวุโสพาพวกเขา ลอยไปบนเมฆสีขาวตรงไปยังพื้นที่ใจกลางที่มีสิ่งก่อสร้างที่ซับซ้อนนั่นเอง.
ที่ห้องโถงขนาดใหญ่มีศิลาจารึกถูกสลักเอาไว้ว่า ทิศใต้ เป็นอักขระสองตัว.
คนทั้งหกที่ก้าวลงจากเมฆสีขาว เดินตรงเข้าไปด้านในทันที ที่ด้านในนั้นมีคนในชุดขุนนาง ทว่าหนึ่งคนในนั้นดูน่าเกรงขาม ดูเหมือนจะเป็นผู้นำขุนนางเหล่านี้.
"ท่านพ่อ."สุ่ยอู๋เหินที่เอ่ยปากออกมาทันที.
ขุนนางที่อยู่ด้านหน้านั้น ทันทีที่เห็นคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา คนที่สุ่ยอู่เหินเรียกว่าบิดานั้น ดวงตาเปล่งประกาย ทันใดนั้นก็หันหน้าไปยังอาวุโสทั้งสาม ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยความเคารพ."ขอบคุณอาวุโสทั้งสาม.
"อืม หนานเฉิงตง. คนเหล่านี้คือคนที่พวกเราเลือกมา เจ้ารู้ว่าควรทำอย่างไร "อาวุโสจื่อซวินที่กล่าวออกมาในทันที.
南城同Nánchéng tóng ขุนนางเมืองทิศใต้
"ครับ อาวุโสโปรดวางใจ ในเมื่อเป็นคนของสำนักไคหยาง แน่นอนว่าข้าจะดำเนินการทุกอย่างให้ในทันที."ชายคนดังกล่าวเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม.
จงซานที่ชำเลืองมองคนผู้นี้ ดูเหมือนว่าสุ่ยอู๋เหินเรียกเขาว่าบิดา นั่นก็หมายความว่าเขามีสกุลว่า สุย ทว่าอาวุโสจื่อซวิน เรียกเขาว่า หนานเฉิงตง นั่นก็หมายความว่า "หนานเฉิงตง"ก็คือตำแหน่งอย่างเป็นทางการนั่นเอง.
"อืม."อาวุโสจื่อซวินพยักหน้าให้.
หลังจากนั้น อาวุโสจื่อซวิน ก็จับจ้องมองมายังจงซานในทันที.
หลังจากที่นางจัดการเทียนชา อาวุโสจื่อซินไม่เคยจ้องมองไปยังจงซานอีกเลย ท้ายที่สุดในเวลานี้ นางก็หันหน้ามามองจงซานอีกครั้ง.
เห็นสายตาที่เย็นชาจ้องมองมายังเขา จงซานที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวออกมาว่า"อาวุโสจื่อซวิน."
ได้ยินคำพูดของจงซาน จื่อซวินที่กำหมัดของนางเบา ๆ ดูเหมือนว่านางจะรู้สึกตึงเครียดอยู่เล็กน้อย ทว่าใบหน้าของนางยังคงเย็นชาอยู่ "เจ้าเป็นคนที่ข้าเลือก ข้าจะมอบสิ่งนี้ให้เจ้า เพื่อใช้รับรอง."
จากนั้นนางได้มอบเหรียญตราทรงกลมให้กับจงซาน ที่ด้านบนมีอักขระ"ศาลาเจ็ดดาว."และที่ด้านหลังมีอักขระ"จื่อซวิน."
"ครับ."จงซานพยักหน้าและรับมา.
สุ่ยอู๋เหินและหนานป้าเทียนเอง ยังแสดงท่าทางเคารพตราดังกล่าวด้วยเช่นกัน.
อาวุโสจื่อซวินหลังจากมอบเหรียญตาให้จงซานแล้ว นางก็ไม่หันมามองที่เขาอีกต่อไป จากนั้นก็หันหน้าไปคุยกับขุนนางเมืองทิศใต้ "คนทั้งสามฝากเจ้าจัดการ."
"ครับ เป็นงานของข้าเอง."หนานเฉิงตงที่พยักหน้ารับในทันที.
จากนั้น อาวุโสจื่อซวินก็ขึ้นไปบนเมฆสีขาวพร้อมกับอาวุโสสองคนที่ตามนางไป.
จงซานที่รับเหรียญตรามาแล้ว จ้องมองไปยังอาวุโสจื่อซวินที่ลอยห่างออกไป พร้อมกับสูดหายใจลึก ใบหน้าสายตาที่เย็นยะเยือบของจื่อซวิน จงซานสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ซับซ้อนอยู่ด้านใน อย่างไรก็ตาม ในเมื่อนางเป็นหญิงสาว การพบเจอหน้ากับจงซานเช่นนี้ นางยังจะสามารถสงบใจได้อย่างงั้นรึ?