Chapter 157 เถี่ยเสวี๋ย.
ชายคนหนึ่งที่มีหนวดเครารุงรัง บินตรงออกมาจากหุบเขา ดูมุทะลุ ทว่า ด้วยการเหยียบสายลม ลอยออกมานั้น อย่างน้อยที่สุดก็เป็นผู้ฝึกตนระดับก่อตั้งวิญญาณ.
"ใครกัน กล้าบุกรุกค่ายทหารของพวกเรา?"ชายคนดังกล่าวที่คำรามออกมาเสียงดัง.
"แม่ทัพเข้าใจผิดแล้ว พวกเราแค่ผ่านทางมา."อาวุโสกล่าวออกมาทันที.
"เข้าใจผิดอย่างงั้นรึ?ชิ! ไว้ชนะข้าได้ค่อยพูดอีกครั้ง "ชายคนดังกล่าวที่ตะโกนออกมาเสียงดัง จากมุมมองของจงซานแล้วการที่เห็นคนอื่นผ่านมา เป็นเหมือนกับลอบมาดูการฝึกฝนทหารของพวกเขา.
ไม่สามารถที่จะต่อรองอะไรได้อีก ดาบยักษ์ที่ถูกเงื้อฟันไปยังอาวุโสที่ถือกระบี่อยู่ในทันที.
ปราณดาบยักษ์ที่มีขนาดห้าสิบเมตรที่พุ่งตรงออกไป กลายเป็นประกายแสงยืดยาวกว่า 800 ฟุต ตรงไปด้านหน้าในทันที.
ทั่วทั้งท้องฟ้าสว่างจ้า เต็มไปด้วยประกายแสงของปราณดาบ ส่องประกายส่งคลื่นพลังออกไปรอบ ๆ .
ดูเหมือนว่าปราณดาบนั้นจะทรงพลังแทบจะปิดกั้นท้องฟ้าทั้งหมด.
ปราณดาบขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยพลังที่รุนแรงไร้ขีดสุด ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลออกไป จงซานยังสัมผัสได้ถึงแรงกดดันวิญญาณมหาศาล แทบจะทำให้หายใจติดขัดเลยทีเดียว.
ชายคนนี้เป็นแม่ทัพอย่างงั้นรึ? เป็นแม่ทัพที่น่าหวาดกลัวขนาดนี้เลยรึ?
ด้วยจงซานที่ฝึกฝนเพลงดาบ เขาย่อมตระหนักได้ถึงพลังที่ไร้ที่เปรียบนั่นได้ดี ไม่เพียงแต่มีขนาดใหญ่ ปราณดาบนั้น จงซานลองคำนวณดูแล้ว เขาน่าจะมีพลังฝึกตนระดับหลอมกายธาตุ หรือไม่ก็อยู่ในระดับก่อตั้งวิญญาณที่กำลังก้าวไปยังระดับหลอมกายธาตุ.
ปราณดาบที่ทรงพลังนี้ กล่าวอีกอย่างหนึ่งปราณดาบนี้ราวกับว่าจะกลืนกินพื้นที่รอบ ๆ ไป ดูเหมือนกับเป็นสัตว์ร้ายที่กำลังล่าเหยื่อ ดูทรงพลังเป็นอย่างมาก เพียงแค่สับลงมาเท่านั้น ราวกับทะเลแห่งความตายที่ประทุออกมา พร้อมกับตรงไปยังอาวุโสที่ถือกระบี่.
อาวุโสไม่ได้คิดที่จะหลบ เขายังคงถือกระบี่รับการโจมตีของชายคนดังกล่าว.
กระบี่ของเขา ที่ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนเป็นอุกกาบาต ถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยแสงที่สว่างเจ้า ดาบของเขาก็ปรากฏเป็นเพลิงที่ลุกไหม้เหมือนกับดวงตะวันที่ลุกโชน จงซานที่สัมผัสได้ถึงพลังที่รุนแรง คลื่นพลังทะเลของปราณดาบ ที่ปะทะเข้ากับอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่ลุกโชนเข้าปะทะกัน.
อุกกาบาตและทะเลปราณดาบเข้าปะทะกันเสียงดังสนั่น.
"ตูมมมมม"
เสียงดังก้องกังวาน จงซานสัมผัสได้ถึงอากาศรอบ ๆ ที่สั่นสะเทือน จากนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดที่ใบหู พื้นที่รอบ ๆ เป็นสีแดงสีน้ำเงิน เกิดเป็นความโกลาหลขึ้นมาทันที.
"ตูมมม ตูมมม ตูมมม ตูมมม ตูมมมม!"
บนท้องฟ้าที่เกิดเสียงดังสนั่นดังติด ๆ ต่อกันไม่หยุด.
กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น จงซานที่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ได้อย่างชัดเจน.
ที่จริงตอนแรกอาวุโสที่ถือกระบี่นั้นและชายหนวดเฟิ้มที่บินตรงมาต่างก็ยั้งมือเอาไว้ โดยชายแม่ทัพนั่นกลัวว่าเหล่าทหารของตัวเองอาจจะได้รับลูกหลง ส่วนอาวุโสถือกระบี่เองก็เกรงว่า จงซาน หนานป้าเทียนและและคนอื่น ๆ จะได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ดังนั้นจึงได้ลอยขึ้นไปบนอากาศสูงขึ้น จึงทำให้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยแสงสีแดงและน้ำเงินส่องประกายแปบ ๆ ๆ .
จงซานที่แหงนหน้าขึ้นมองด้านบน ได้ยินเพียงแค่เสียงระเบิดดังออกมาเป็นระลอก แสงสีน้ำเงินและแสงสีแดงที่เข้าปะทะกันเป็นระยะ ไม่สามารถที่จะมองเห็นร่างของทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน รู้แค่เพียงว่าเป็นการต่อสู้ที่หนักหน่วงมาก ทั้งสองคนถือว่าเป็นยอดฝีมือที่สูสีกันเลยทีเดียว ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันและกัน เป็นสัตว์ร้อยสองตนที่เข้าปะทะกันไปมา.
อาวุโสจื่อซวินและอาวุโสชายอีกคนที่เงยหน้าจ้องมองท้องฟ้า เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนมากกว่าจงซานมาก.
จงซานนั้นไม่สามารถมองเห็นบนท้องฟ้าได้ชัดเจนนัก เขาที่อาศัยจากการวิเคราะห์บรรยากาศพื้นที่รอบ ๆ เอาเท่านั้น.
ที่ไกลออกไปนั้น มีมือธนูประจำการอีกมากมาย ทว่าพวกเขายังไม่ลงมือเท่านั้นเอง ในเวลานี้มีมือธนูกว่า 3000 พันคนที่จ้องมองมาทางนี้ ตลอดจนง้างคนศรเอาไว้แล้ว เป็นศรปราณทะลวงทั้งหมด ตราบเท่าที่ได้รับคำสั่ง ศรปราณทะลวงกว่า 3000 ดอกก็จะพุ่งตรงมาอย่างแน่นอน.
จงซานและหนานป้าเทียนที่จ้องมองหน้ากันและกัน พร้อมกับจ้องมองไปยังสุ่ยอู๋เหิน คนทั้งสองที่ดูจริงจังขึ้นมาทันที เพราะว่าอาวุโสทั้งสองตอนนี้ได้ลอยขึ้นไปบนอากาศ หากว่าในเวลานี้เหล่าทหารได้ปล่อยธนูออกมา อาวุโสทั้งสองที่กำลังจ้องมองไปยังด้านบน พวกเขาทั้งสามไม่ต้องการเป็นเป้านิ่งหรอกรึ?
ดูเหมือนว่ามือธนูเหล่านี้ถูกฝึกมาอย่างดี หากไม่ได้รับคำสั่ง พวกเขาย่อมไม่มีใครกล้ายิ่งลูกธนูออกมา.
ขณะที่การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ส่งผลให้เหล่าทหารทั่วทั้งหุบเขาเวลานี้ต่างก็สนใจจนต้องมองขึ้นไปบนอากาศมากขึ้นเรื่อย ๆ .
การต่อสู้ของยอดฝีมือ ย่อมสร้างความสนใจให้กับพวกเขาอย่างแน่นอน เหล่าผู้ชมมากมายยังคงรอคอยอย่างใจเย็น และเริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเรื่อย ๆ .
การต่อสู้ในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าเหล่าทหารที่ฝึกอยู่ ต่างก็หยุดรอคอยผลที่เกิดขึ้นบนอากาศ.
จงซานเองก็หยุดนิ่งรอคอย พร้อมกับวิเคราะห์ความแข็งแกร่งของการต่อสู้ในครั้งนี้.
จากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นนี้ กองทัพของราชวงศ์สวรรค์ต้าโหลวคงไม่กล้ากระทำเช่นนี้แน่นอน ทว่าจากที่สุ่ยอู๋เหินกล่าวออกมาก่อนหน้านี้ ที่แห่งนี้เป็นพรมแดนระหว่างราชวงศ์สวรรค์ต้าโหลวและราชวงศ์ราชันย์ต้ายวี.
นั่นก็หมายความว่าที่แห่งนี้จะต้องเป็นกองกำลังของราชวงศ์ราชันย์ต้ายวี.
เป็นกองกำลังที่ทรงพลังขนาดนี้เลยรึ? คนผู้นี้น่าจะเป็นผู้นำแนวหน้าเท่านั้น ด้วยนิสัยที่บ้าการต่อสู้เช่นนี้ ไม่น่าจะใช่แม่ทัพ ทว่าอยู่ในระดับหลอมร่างธาตุเลยรึ? นี่มัน ทรงพลังเกินไปแล้ว.
หากดูผิวเผินแล้ว!จงซานที่ทำการคาดเดา คนผู้นี้น่าจะเป็นขุนพล แม่ทัพไม่ควรมีนิสัยที่มุทะลุเช่นนี้.
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง คนทั้งสองที่ต่อสู้กันไปมาบนอากาศ ทว่าก็ยังไม่สามารถตัดสินได้ ยังเกิดเสียงดังสนั่นยังกับฟ้าถล่มดังขึ้นไม่หยุด.
"ตูมมมมม!"
เสียงดังสนั่นติด ๆ กันมากกว่าสามครั้งแล้ว.
หลังจากนั้น บอลแสงสีแดงและสีน้ำเงินที่เข้ากระแทกกันไปมา ก่อนที่จะระเบิดกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง ก่อนที่ร่าง ๆ หนึ่งจะล่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า ตรงลงมายังหุบเขาด้านล่าง.
"ตูมมมมม!"
ระเบิดเสียงดังสนั่น พื้นดินที่กลายเป็นหลุมรัศมีกว้างห้าเมตร เห็นได้ชัดเจนว่าสองคนที่ต่อสู้กันอยู่นั้น มีหนึ่งในนั้นล่วงหล่นลงมาบนพื้น.
ทว่าจงซานเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นอาวุโสถือกระบี่คงอยู่ที่ใบหน้าของเขาที่มีโลหิตไหลออกมาจากมุมปากก่อนที่จะค่อย ๆ ลอยลงมาจากฟ้าช้า ๆ .
"วู๊ซซ วู๊ซซ วู๊ซซ วู๊ซซ วู๊ซซ."
มีขุนพลกว่าสิบคนที่บินตรงมายังเมฆสีขาว.
อาวุโสถือกระบี่ที่ลอยลงมาอยู่ด้านหลังอาวุโสจื่อซวินช้า ๆ .
แทบจะในทันที เหล่าขุนพลที่เข้ามาล้อมกรอบจงซานและพรรคพวกเอาไว้ แต่ละคนมีอาวุธครบมือ สายตาที่จ้องมองด้วยความโกรธเกรี้ยวกับคนที่รุกล้ำอาณาเขตของพวกเขา พร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันวิญญาณ เข้าข่ม วาดอาวุธไปมาพร้อมจะเข้าโจมตี.
ด้วยแรงกดดันวิญญาณที่โถมกระหน่ำลงมา ทำให้เมฆสีขาวที่จงซานกำลังยืนอยู่ส่ายไปมา ดูเหมือนว่ามันกำลังถูกบีบจนทำให้เริ่มแตกร้าว.
ทว่าหลังจากนั้น บางทีเพราะว่าอาวุโสจื่อซวินที่เริ่มแสดงท่าที ทำให้แรงกดดันที่โถมมายังร่างของจงซานเบาบางลง อาวุโสจื่อซวินที่ก้าวออกไปเพียงแค่สองก้าว ดูเหมือนว่าแรงกดดันวิญญาณที่แผ่ออกมาจากร่างนางนั้นจะสามารถปิดผืนฟ้าเอาไว้ได้ ทำให้จงซานเริ่มหายใจสะดวกขึ้น.
แรงกดดันวิญญาณมหาศาลที่กดทับไปยังเหล่าขุนพลทั้งสิบ.
ขุนพลทั้งสิบต่างก็จ้องมองกันและกันจับจ้องมองไปยังอาวุโสจื่อซวิน สายตาของพวกเขาที่เต็มไปด้วยความจริงจัง เพราะว่าพวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ของอาวุโสจื่อซวิน ทรงพลัง มีแรงกดดันวิญญาณที่กดข่มคนทั้งสิบได้อย่างราบคาบ.
"แค๊ก แค๊ก สนุกจริง ๆ สะใจจริง ๆ !"เสียงหัวเราะอย่างไม่แคร์ดังลั่นขึ้นในหลุม แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง แต่ใบหน้าท่าทางกลับแสดงว่าเต็มไปด้วยความสุข.
ทว่าในเวลาเดียวกัน จงซานทีจับจ้องมองไปยังร่าง ๆ หนึ่งที่เต็มไปด้วยความน่าพิศวง.
ทีใจกลางของกระโจมสีแดง มีชายคนหนึ่งที่สวมหมวกเหล็กและชุดเหล็กที่ก้าวออกมาช้า ๆ ผ้าคลุมหลังที่โบกสะบัดไปมาช้า ๆ ขณะที่ปรากฏตัวออกมาก็ปลดปล่อยพลังกดดันวิญญาณที่รุนแรงออกมาด้วย.
ทันทีที่ชายคนดังกล่าวก้าวออกมาจากกระโจม แทบจะในทันที เหล่าทหารทั้งหมดที่แสดงความเคารพ สถานะของเขาแน่นอนว่าจะต้องเป็นแม่ทัพอย่างไม่ต้องสงสัย.
กับท่าทางที่น่าเกรงขามนั่น จงซานสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่น่าเกรงขาม ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นศูนย์กลางของกองทัพ ทันทีที่ชายในหมวกเหล็กและชุดเกราะสีแดงปรากฏ ก็เหมือนกับดวงตะวันที่ทำให้ทหารทั้งหมดเต็มไปด้วยแรงใจที่เปี่ยมล้น.
“” “”...
ในหลุมนั่น ชายคนหนึ่งที่ค่อย ๆ คลานออกมา แม้ว่าจะไม่มีคาบโลหิต แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อย กับการต่อสู้นั่นได้ทิ้งอาการบาดเจ็บภายในไม่น้อย จนถึงกระแทกหล่นลงมาจมพื้นเลยทีเดียว.
"ท่านแม่ทัพ ทำท่านขายหน้า กองกำลังที่หนึ่งแล้ว."ชายที่คลานออกมา กล่าวออกมาด้วยท่าทางอับอาย.
"ไปพักได้."แม่ทัพหมวกเหล็กและชุดเกราะสีแดงที่กล่าวออกมาอย่างนุ่มนวลเห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่ได้ตำหนิชายคนดังกล่าว.
"ครับ."ชายคนดังกล่าวตอบรับ ขณะที่เขาคลานออกมาจากหลุมใหญ่ พร้อมกับนั่งสมาธิ ควบคุมลมหายใจบำเพ็ญโคจรพลังทันที.
แม่ทัพในชุดเกราะและหมวกเหล็ก กล่าวกับคนของเขาเสร็จก็เหินลอยขึ้นมาบนฟ้าในทันที.
ทว่าจงซานที่เห็นก็ทำให้หัวใจเขารัดแน่นขึ้นมาเหมือนกัน!เพียงแค่มอง จงซานยังสัมผัสได้ถึงแรงกดข่ม ที่หนักหน่วงรุนแรงได้.
"กองกำลังโลหิตเหล็ก? แม่ทัพกองกำลังที่หนึ่งราชวงศ์ราชันย์ต้ายวี เถี่ยเสวี๋ย?"สุ่ยอู๋เหินที่กล่าวออกมาด้วยท่าทางประหลาดใจ.
ขณะที่สุ่ยอู๋เหินเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แม่ทัพเถี่ยเสวี๋ยที่ลอยขึ้นมา พริบตาเดียวก็มาอยู่ด้านหน้าของทุกคนแล้ว.
ขุนพลทั้งสิบที่ลอยออกไปอยู่ด้านหลังแม่ทัพเถี่ยเสวี๋ย แสดงความเคารพเป็นอย่างมาก เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแม่ทัพเถี่ยเสวี๋ยนั้นมีพลังที่แข็งแกร่งมาก ไม่เพียงแต่มีพลังฝึกตนที่สูงสง เกียรติยศและชื่อเสียงของแม่ทัพเถี่ยเสวี๋ยยังมากมายยิ่งใหญ่อีกด้วย.
แน่นอนว่าค่ายทหารแห่งนี้ก็คือค่ายทหารของแม่ทัพเถี่ยเสวี๋ย.
"ศาลาเจ็ดดาว ไคหยาง จื่อซวิน."อาวุโสจื่อซวินที่กล่าวออกมาในทันที.
เห็นได้อย่างชัดเจนเมื่ออยู่ต่อหน้ายอดฝีมือ อาวุโสจื่อซวินเองก็แสดงความเคารพออกมา และยังเป็นคนเอ่ยนามออกมาก่อนด้วย.
ได้ยินอาวุโสจื่อซวินแสดงตัว แม่ทั่พเถี่ยเสวี๋ยก็ขมวดคิ้วไปมา จากนั้นก็ทำการตรวจสอบอีกหกคนที่เหลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จงซาน หนานป้าเทียน และสุ่ยอู๋เหิน.
กับสายตาที่จ้องมอง จงซานรู้สึกไม่ดีนัก ทำให้เขาขมวดคิ้วไปมา ทว่าก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ จงซานรู้ดีว่าตัวตนของแม่ทัพเถี่ยเสวี๋ยนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นภายในทวีปศักดิ์สิทธิ์เอง ยังเป็นตัวตนที่น่าเกรงขามเป็นอย่างมาก.
"โอ้ว? อาวุโสไคหยางที่ทำการคัดเลือกขุนนางใหม่ให้กับราชวงศ์ต้าโหลวอย่างงั้นรึ?"เถี่ยเสวี๋ยที่เผยยิ้มออกมาในทันที นอกจากนี้สายตาที่ดูจะสนใจในตัวของจงซานเป็นพิเศษ กับพรสวรรค์ทางร่างกายเช่นนี้ ด้วยพลังฝึกตนเช่นนี้ กับได้รับเลือกให้กลายมาเป็นขุนนางระดับห้าของราชวงศ์สวรรค์ต้าโหลวรึ?
เกี่ยวกับข้อตกลงของศาลาเจ็ดดาวและราชวงศ์สวรรค์ต้าโหลวนั้น เถี่ยเสวี๋ยย่อมรับรู้ดี เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไรนัก นอกจากนี้ทั้งสองราชวงศ์ต่างก็ต่อสู้กันมาหลายต่อหลายปี ข้อมูลต่าง ๆ เขาย่อมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง.