ตอนที่แล้วChapter 11 เมฆเหินหาว.
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 13 กุยเอ๋อ

Chapter 12 คัดเลือกตำรา.


หอตำรานั้นเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีความยาว 30 เมตร กว้าง 20 เมตร ภายในเต็มไปด้วยตำรามากมาย มีเคล็ดวิชาหลายพันเล่มที่วางซ้อนกันอยู่บนหิ้ง.

ตำราแต่ละเล่มเป็นวิชาสำหรับระดับเซียนเทียน สามารถที่จะฝึกฝนไปจนถึงระดับแกนทองได้ ซึ่งสำหรับโลกภายนอกแล้ว มันคือตำราลับที่หายาก ไม่สามารถหาพบได้ในโลกมนุษย์ ซึ่งถูกรวบรวมเอามาไว้ภายในหอคัมภีร์แห่งนี้แล้ว.

เหล่าศิษย์ทั้ง 55 คน ได้พบวิชาลับที่หมายตาไว้ ตอนนี้เริ่มท่องวิชาดังกล่าวแล้ว.

จงซานที่ใช้เวลาไม่น้อยในการสำรวจตำราทีละเล่ม ๆ.

ซึ่งมีตำราถึง 16 เล่ม ที่เขาได้นำออกมา ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นปกสีดำตัวหนังสือสีขาว ซึ่งเป็นวิชาที่ยอดเยี่ยมที่สุด.

จงซานได้ใช้เวลาถึงครึ่งวันในการตรวจสอบตำราที่เขานำออกมาทั้งหมดอย่างระเอียด ท้ายที่สุดก็เลือกได้สองเคล็ดวิชาออกมา.

ดาบสวรรค์กายสุริยันและกระบี่หยินร่างจันทรา.

แต่ละวิชามีอยู่ด้วยกันสิบขั้น หกขั้นเพื่อสร้างแก่นแท้ หลังจากนั้นหากฝึกครบทั้งสิบขั้นก็จะทะลวงไปยังขั้นแกนทองได้.

ดาบสวรรค์กายสุริยันแน่นอนว่าสำหรับให้เขาเป็นคนฝึก ส่วนกระบี่หยินร่างจันทรานั้นสำหรับร่างแยกเงาของเขาที่อยู่คฤหาสน์ตระกูลจง.

วิชาทั้งสองนั้นไม่ได้มีอักษรมากมายเหมือนกับเคล็ดวิชาหงหลวนหรือเคล็ดวิชากายาเทพอสูร.

เขาที่จำเป็นท่องจำอยู่แต่ในหอตำรา เมื่อหิว ก็ต้องกลับมายังที่พัก แน่นอนว่าไม่สามารถคัดลอกคัมภีร์ได้ ทำได้แค่ท่องจำอย่างเดียว มันไม่ได้เลวร้ายอะไรนักสำหรับจงซาน เขารู้ดีถึงการท่องจำเคล็ดวิชาเหล่านี้ มันมีผลต่อความตั้งใจและพยายามในการฝึกด้วย.

หลังจากผ่านไปทั้งหมดแปดวัน จงซานก็สามารถจดจำคัมภีร์ทั้งสองได้.

จงซานอาศัยอยู่ภายในหุบเขาแห่งหนึ่ง บรรยากาศค่อนข้างน่าพอใจทีเดียว มีน้ำตกและสระน้ำลึกที่ลานบ้าน มีลานขนาดเล็กและมีที่ดินที่กว้างขวาง เป็นพื้นที่ของสำนักไคหยางที่สามารถใช้เพาะปลูก.

จงซานรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจทีเดียวเมื่อเห็นเมล็ดพันธ์จำนวนมากในบ้านพักของเขา.

พึ่งพาตัวเอง? สำนักไคหยางไม่มีบ่าวรับใช้ ทุกคนจะต้องดูแลตัวเอง หากว่าไม่ทำฟาร์มเพื่อเลี้ยงตัวเองล่ะก็ ก็สามารถล่าสัตว์และเก็บผลไม้จากเทือกเขามาประทั่งชีวิตได้ ซึ่งพื้นที่รอบ ๆ นี้นับว่าอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งอาหาร อย่างไรก็ตามแน่นอนว่าย่อมมีสัตว์ร้ายต่าง ๆ ด้วย หากไม่ระวังอาจถึงกับเสียชีวิตได้.

โดยรวมแล้วมีแค่ที่พักอาศัยของพวกเขาเท่านั้นที่ปลอดภัย เพราะว่ามีค่ายกลที่ถูกสร้างไว้สามารถที่จะกันแมลงพิษและสัตว์ร้ายไม่ให้เข้ามาใกล้ได้.

เป็นเรื่องปรกติสำหรับผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนที่ยังจำเป็นต้องกินอาหาร ทว่าเมื่อไหร่ที่ก้าวไปถึงระดับแกนทองแล้ว จะสามารถดูดซับพลังของสวรรค์และปฐพีมาทดแทนอาหารที่กินปรกติได้.

จงซานเห็นเมล็ดพืชเหล่านั้น ก็ประหลาดใจ ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ทำการคัดแยกเหล่าเมล็ดพันธ์เหล่านั้นออกจากกัน ทั้งเมล็ดผักและเมล็ดข้าว.

เขาใช้เวลาหลายวันทีเดียวในการทำสวน แบ่งแยกแปลงผัก แปลงข้าวออกจากกัน ด้วยกำลังกายที่ไปถึงระดับเซียนเทียน ทำให้การทำสวนในครั้งนี้ไม่ใช่งานยากอะไรนัก.

มีอุปกรณ์ครบครันภายในบ้านหลังนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าภายในบ้านหลังนี้นั้นเคยมีใครอาศัยอยู่มาก่อน.

วิชากระบี่หยินร่างจันทรานั้น เป็นวิชาที่ต้องบำเพ็ญพลังหยิน ซึ่งเป็นหนึ่งในเพลงกระบี่ที่ร้ายกาจ ซึ่งเขาได้ให้ร่างแยกเงาฝึกฝน ต้องไม่ลืมว่าร่างแยกเงาของเขาเองก็ก้าวไปถึงระดับเซียนเทียนตามเขาด้วย ทำให้ตอนนี้สามารถฝึกฝนวิชาได้เช่นกัน.

ส่วนวิชาดาบสวรรค์กายสุริยันนั้นเป็นวิชาที่ใช้ร่วมกับเพลงดาบ ตลอดจนฝึกฝนกับเปลวเพลิง เพื่อควบคุมพลังหยาง.

เปลวเพลิงเหรอ? แล้วเขาจะไปหาเปลวเพลิงที่ใหนกัน? เขาจะต้องเดินทางเข้าไปในเทือกเขาเพื่อตัดต้นไม้หาฟืนมาจุดไฟ นี่คือสิ่งที่จงซานต้องทำในตอนนี้ เขาเป็นเหมือนกับชาวนาที่ยากจน ก่อนหน้านี้เขาต้องการสิ่งใดก็ได้ทุกอย่าง ตอนนี้ได้กลายเป็นเหมือนกับชาวนาที่แร้นแค้นที่สุดไปแล้ว.

ทว่าเพื่อมุ่งสู่ความเป็นอมตะ จงซานจะต้องทนให้ได้.

จงซานที่เริ่มนั่งหลับตาบำเพ็ญวิชาดาบสวรรค์กายสุริยันขั้นแรก ซึ่งเป็นการใช้ปราณที่แท้จริงในการสกัดกลั่นเลือดเนื้อ ผิว เส้นเอ็นและกระดูก ตั้งแต่เที่ยงถึงเย็น แทบจะไม่หยุดพัก.

หลังจากเสร็จสิ้นการฝึกก็จัดเตรียมอาหาร โดยการจับปลาในสระน้ำเพื่อนำมาทำอาหารสำหรับตัวเอง.

ในเวลากลางคืนก็บำเพ็ญพลังไม่มีหยุด เช้าวันถัดมา เขาได้นำดาบสั้นเดินออกจากบ้านขึ้นไปบนภูเขาเพื่อเก็บฟืน.

เมื่อใดที่เขาออกจากหุบเขา ที่มีค่ายกลปกป้องอยู่ ในป่าก็จะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป จงซานไม่กล้าที่จะเข้าลึกไปในป่า เขาตัดต้นไม้สองสามต้นที่ริม ๆ ป่า ก่อนที่จะผูกรวมกันแล้วลากกลับมายังที่พัก.

เขาที่นำต้นไม้กลับมาก่อนที่จะสับออกเป็นท่อนๆเตรียมไว้และใช้ฝึกฝนไปพร้อม ๆ กัน.

ต้องไม่ลืมว่า จงซานนั้นฝึกฝนเพลงดาบ.

ดาบสวรรค์กายสุริยัน เป็นเพลงดาบ โดยมีสองกระบวนท่า กระบวนท่าแรก "ทลายภูเขาสวรรค์ "อีกกระบวนท่าคือ"ฟันทลายสรรพสิ่ง"เนื่องจากมันเป็นเพลงดาบ จำเป็นต้องใส่ใจในการฟันและตัด ทุกสรรพสิ่งนั้น ล้วนแล้วแต่มีจุดอ่อน หากว่าสามารถค้นหาจุดอ่อนของมันได้ เพียงแค่ฟันครั้งเดียวก็สามารถทำให้เขาสามารถเพิ่มพลังการทำลายเป็นหลายเท่าได้.

เช่นนั้นเขาจึงได้ขยันขันแข็งในการผ่าฟืน เพื่อที่จะค้นหาวิธีการฟันที่ยอดเยี่ยมที่สุดของวิถีดาบไปพร้อม ๆ กันด้วย.

จงซานนั้นจำต้องออกมาฝึกฝนในการผ่าฟืนในทุก ๆ เช้า จนเวลานี้เขาเป็นผู้ชำนาญการ ในการผ่าฟืนไปแล้ว.

เขาที่ทำตามคำแนะนำในการฟันตามเพลงดาบสวรรค์กายสุริยันครั้งแล้วครั้งเล่า ชีวิตของเขาที่กลายเป็นจับกังผู้ใช้แรงงานอย่างหนัก.

ในตอนแรกนั้น การเคลื่อนไหวของเขาไม่ค่อยถูกต้องสะเปะสะปะ ไม่สามารถที่จะหาจุดฟันได้อย่างถูกต้อง ทว่าหลังจากผ่านการฟาดฟัน เหล่าต้นไม้มานับไม่ถ้วน ท้ายที่สุดก็สามารถที่จะสับมันขาดได้ในดาบเดียว.

อย่างไรก็ตาม จงซานก็ยังคงผ่าฟืนอยู่เหมือนเดิม.

สองวันหลังจากนั้นความแม่นยำและมุมในการฟันได้พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามยังไม่เป็นที่พึงพอใจของจงซานเลยแม้แต่น้อย เขาที่ยังคงฟันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนพบว่าท่อนไม้ ท่อนฟื้น เหลือเพียงแค่ชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้น.

ไม่มีฟืนให้เขาใช้ฟันอีกต่อไปแล้ว.

จงซานที่เก็บฟืนทั้งหมดไว้ใช้ทำอาหาร ก่อนที่จะออกมายังลานบ้าน พร้อมกันนี้ก็ขุดหลุมขนาดใหญ่และใช้ดินสร้างเป็นอิฐก่อขึ้นมาเป็นขอบให้มั่นคง.

จากนั้นก็นำฟืนทั้งหมดใส่ลงไปในหลุม.

จงซานที่กระโดดลงไปอยู่ตรงกลาง นั่งอยู่บนกองฟื้น พร้อมกับเริ่มจุดไฟให้ลุกไหม้โดยที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลาง ท่ามกลางเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นมารอบ ๆ กาย จงซานที่เริ่มบำเพ็ญวิชาดาบสวรรค์กายสุริยัน

เป็นความจริงในการฝึกวิชานี้ให้ก้าวหน้าจะต้องใช้เปลวเพลิงในการเข้าช่วย จงซานที่รับรู้ได้ว่าเปลวเพลิงที่ลุกโชนไปทั่วร่างนั้นช่วยเขาฝึกฝนวิชาเป็นอย่างดี เขาสามารถดูดซับพลังงานหยางจากเปลวเพลิงเข้ามาช่วยฝึกฝนได้ ตอนนี้ร่างกายของเขาที่อาบไปด้วยความร้อน.

ผิวกายทั่วร่างเวลานี้ได้กลายเป็นสีแดงด้วยความร้อน ทว่าจงซานรับรู้ได้ว่ามันเพิ่มความเร็วในการฝึกฝน กว่าเมื่อก่อนมาก ดูเหมือนว่าจะเร็วกว่าวิธีปกติถึงสองเท่า.

ยิ่งเห็นผลลัพธ์ดีเช่นนี้ จงซานก็ยิ่งฝึกฝนอย่างจริงจังจวบจนเปลวเพลิงที่เผาไหม้ฟืนกลายเป็นเถ้า เปลวเพลิงที่ดับไปแล้ว.

จงซานจึงได้ออกมาจากเถ้าของเปลวเพลิงและนำเถ้าที่เหลือไปใช้ทำปุ๋ยต่อไป.

ทั้งการฝึกฝนผ่าฟืน บำเพ็ญเพียรบนกองไฟ แทบจะไม่พักผ่อน จงซานที่เอาจริงเอาจัง ฝึกฝนวิชาดาบสวรรค์กายสุริยันอย่างหนักหน่วง.

ท้ายที่สุด หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งเดือน เขาก็สามารถก้าวผ่านระดับ 1 ของวิชาดาบสวรรค์กายสุริยันได้ สร้างความดีใจต่อจงซานเป็นอย่างมาก.

ในเวลาเดียวกันนั้น เขาได้สร้างบ้านดินขนาดใหญ่เอาไว้ในสวน ถัดออกมาจากแปลงผัก ซึ่งกระท่อมดังกล่าวนี้ มีฟืนมากมายกองอยู่ข้างใน  ซึ่งจะใช้เป็นเชื้อเพลิง เพื่อสร้างเตาเผาร่างของเขานั่นเอง.

เพื่อการฝึกฝนแล้ว จงซานที่นั่งอยู่ภายในเตาเผา พร้อมกับบำเพ็ญวิชาดาบสวรรค์กายสุริยัน ซึ่งแน่นอนว่าบ้านดินนี้สร้างขึ้นมาจากอิฐดินเพื่อใช้เป็นเตาเผาโดยเฉพาะ.

ด้วยการฝึกร่างนั้นได้ทำให้เขาก้าวไปถึงเซียนเทียนระดับหนึ่งแล้ว.

ขณะที่เขาเดินออกมาจากเตาเผา ขนทั่วร่างกายที่ไหม้กลายเป็นเขม่าทำให้ร่างกายทั่วร่างของเขาที่เต็มไปด้วยเขม่า.

จงซานกระโดดลงยังสระน้ำเพื่อชำระร่างกาย เขาที่รู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมากหลังจากอาบน้ำ พร้อมกับเตรียมอาหาร เขาที่ฝึกฝนวิชาดาบสวรรค์กายสุริยันและยังมีการฝึกฝนวิชาหงหลวนเทียนและวิชากายาเทพอสูรอีกด้วย แม้ว่าวิชาทั้งสองนั้นจะเป็นเพียงแค่วิชาสนับสนุน ทว่าก็ยังมีประโยชน์ในการใช้งานอยู่.

เพราะว่าระหว่างฝึกนั้นเสื้อผ้าของเขาจะถูกเผาไหม้ไป ดังนั้นในเวลาปรกติเขาจะใส่เพียงชุดครึ่งร่าง.

วันถัดมา จงซานที่ออกจากหุบเขา เพื่อที่จะไปตัดไม้หาฟื้นมาเพิ่ม.

ในเวลาเดียวกันนั้น ในห้องโถงไคหยาง เทียนซวินจื่อ กู่ซ่างจื่อและเสวียนซวินจื่อได้กลับสำนักแล้ว เวลานี้พวกเขากำลังปรึกษาหารือเรื่องราวบางอย่างอยู่ แต่ละคนถึงกับหน้านิ่วคิ้วขมวดทีเดียว.

เทียนหลิงเอ๋อ ที่ได้ยินข่าวว่าพวกเขากลับมา ก็เร่งรีบเดินทางมายังห้องโถงในทันที.

"เตี่ย ท่านได้รับเมฆเหินหาวกลับมาหรือไม่?"เทียนหลิงเอ๋อที่เร่งรีบสอบถามออกไปทันทีที่นางเข้ามาในห้อง.

"เมฆเหินหาว?"เทียนซวินจื่อที่สับสนขึ้นมาทันที คนทั้งสองเองก็จ้องมองไปยังเทียนหลิงเอ๋อด้วยท่าทางแปลกประหลาด.

เมฆเหินหาว? อะไรคือเมฆเหินหาวอย่างงั้นรึ?

"ชายคนนั้น จงซาน บอกข้าทุกอย่างแล้ว ท่านไม่ต้องปิดข้าอีกต่อไปแล้ว."เทียนหลิงเอ๋อที่กล่าวออกมาเหมือนกับเด็กที่ถูกตามใจ.

"เขาบอกอะไรเจ้าอย่างงั้นรึ?"เทียนซวินจื่อที่ขมวดคิ้วจ้องมองเทียนหลิงเอ๋อด้วยท่าทางแปลก ๆ.

"ก็เมฆเหินหาวไง ที่ตีลังกาหนึ่งรอบก็เดินทางได้นับหมื่นลี้."เทียนหลิงเอ๋อกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น.

คนทั้งสามที่จ้องมองหน้ากันและกัน ก่อนที่จะมองไปยังเทียนหลิงเอ๋อ พร้อมกับอ้าปากหวอ.

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด