Chapter 110 สำนักทวนเหล็ก.
ครึ่งเดือนหลังจากนั้น หุบเขาแห่งหนึ่งเลยไปทางทิศตะวันออกของสำนักไคหยาง.
ในเวลานี้มีคนสามคนที่กำลังร่อนลงไปในหุบเขาดังกล่าว.
จงซาน เทียนชาและเป่ยชิงซือ พวกเขาเดินทางมาห้าวันแล้ว ตามคำสั่งของเทียนซวินจื่อ พวกเขากำลังเดินทางไปยังดินแดนหมาป่าเพื่อหาหนี่ปูซา ตอนแรกนั้นเทียนชาและเป่ยชิงซือไม่จำเป็นต้องพัก ทว่าจงซานอยู่ในระดับเซียนเทียน ตอนนี้บินมาห้าวันแล้ว พวกเขาจึงจำเป็นต้องพักบ้าง.
จนซานที่นอนพักในเปลบนต้นไม้ใหญ่ ดวงตาของเขาหลับลง นอกจากนี้พื้นที่รอบ ๆ ยังมืดไปหมด พวกเขาทั้งหมดตัดสินใจที่จะเดินทางต่อไปพรุ่งนี้.
ต้องไม่ลืมว่าเป่ยชิงซือเป็นสตรี นางยิ่งไม่สามารถพักร่วมกับบุรุษทั้งสองได้ หลายปีมาแล้วนางก็ระมัดระวังเรื่องนี้มาตลอด ส่วนจงซานเองก็ไม่ได้พักร่วมกันกับเทียนชา ในหุบเขาแห่งนี้นับว่าเป็นสถานที่ปลอดภัย ดังนั้น คนทั้งสามจึงได้เลือกแต่ละมุมของหุบเขาแห่งนี้ในการพัก.
จงซานที่ได้หลับไป ระหว่างที่เป่ยชิงซือได้ปักธวัชสร้างค่ายกลรอบ ๆ นางที่หลับตาบำเพ็ญโคจรพลัง หมอกสีขาวที่ปกคลุมไปทั่ว จนด้านนอกนั้นไม่สามารถมองเข้าไปในด้านในได้.
เทียนชาเองที่บำเพ็ญโคจรพลังอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ทว่าภายในใจไม่ค่อยสงบนัก ดวงตาของเขาลืมขึ้นเป็นครั้งคราวจ้องมองไปยังพื้นที่หมอกสีขาวปกคลุม ก่อนที่จะจ้องมองไปยังจงซานที่อยู่บนต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลออกไป.
ภายในสายตาของเทียนชานั้นเต็มไปด้วยจิตสังหาร ห้าวันมานี้ เทียนชาที่ลอบมองเป่ยชิงซือที่ดูเหมือนว่านางจะสนิทสนมกับจงซานไม่น้อย ทั้งที่นางเป็นคนที่น่าจะเรียกได้ว่าธิดาน้ำแข็ง ในอดีตนั้นนางเป็นคนเย็นชาเป็นอย่างมาก แม้แต่เขาที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ เป่ยชิงซือยังแสดงท่าทางเย็นชาใส่อย่างไม่แยแสเลย.
อย่างไรก็ตาม หลายครั้งหลายคราวในเวลานี้นางกับพูดคุยกับจงซาน ด้วยท่าทางอ่อนโยนอย่างคาดไม่ถึง ความอ่อนหวานนั้นคืออะไร อีกอย่างก่อนหน้านี้เขาเห็นนางออกมาจากน้ำพุร้อนด้วยกัน เทียนชาที่อดจะสงสัยเรื่องนี้เอาไว้ไม่ได้เลย.
สายตาที่เย็นชาของเขาจับจ้องมองไปยังจงซาน ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงคืน เทียนชาที่ลุกออกไปในทันที ประกายแสงในดวงตาที่เต็มไปด้วยความเป็นปฏิปักษ์ ก้าวไปยังทิศทางของจงซาน.
จงซานที่พักผ่อนอยู่ราวกับว่าเขาได้ตายไปแล้ว ด้วยเทียนชากำลังพักจนเหมือนรู้สึกว่าจงซานหลับลึกราวไร้ซึ่งลมหายใจ ไม่เช่นนั้นแล้วเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะก้าวเข้ามาใกล้.
เขาที่ก้าวเข้าไปช้า มือขวาที่กระชับด้ามจับกระบี่แน่น.
ห่างออกมาไม่ไกลจากจงซานเท่าใดนัก เทียนชาที่หยุด สายตาที่จ้องมองไปยังทิศทางของจงซาน ในเวลานั้นหากว่าเขาปล่อยปราณกระบี่ออกไป เป็นเรื่องง่ายมากที่จะสามารถสังหารจงซานได้ในดาบเดียว แน่นอนว่าจากนั้น มารหัวใจของเขาก็จะหายไป ทว่าเทียนชาก็รั้งรอก่อนที่จะค่อย ๆ ปล่อยด้ามจับกระบี่ออกไป.
การสังหารจงซานนั้นเป็นเรื่องง่ายมาก แต่หากว่าเขาลงมือ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องดีนัก ไม่เพียงแต่เขาไม่มีข้อแก้ตัวกับอาจารย์ เป่ยชิงซือที่อยู่ไม่ไกลออกไปก็ยากที่จะอธิบายกับนางได้ ทำให้เขาล้มเลิกความคิดไปนั่นเอง.
อย่างไรก็ตาม กับจิตสังหารที่เทียนชาแผ่ออกมานั้น จงซานสามารถรับรู้ได้ย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะหลับตาพักหยุดนิ่ง ทว่าก็ได้ยินเสียงการย่างเท้าของเทียนชาที่ก้าวเขามาใกล้ ก่อนที่เขาจะหยุดลง เห็นได้อย่างชัดเจนทำให้หัวใจของเขาบีบรัดทีเดียว.
การหลับของจงซานนั้นไร้ซึ่งเสียงใด ๆ แต่หลังจากที่เทียนชาจากไป เขาก็ลืมตาขึ้นมาในทันที ก่อนที่จะเริ่มลุกกลับมานั่ง.
จงซานที่จ้องมองไปรอบ ๆ เห็นธวัชสร้างค่ายกลของเป่ยชิงซือ ดูเหมือนว่าเป่ยชิงซือจะสามารถรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของเทียนชาหรือไม่?
จ้องมองไปยังทิศทางที่เทียนชาที่บินจากไป ดวงตาของจงซานที่หรี่เล็กลง การที่เขากระทำเช่นนี้มันไม่เป็นประโยชน์ต่อเขาเลยไม่ใช่รึ?
ก่อนหน้านี้ จงซานที่พักผ่อนเสมือนตาย จนทำให้ร่างกายของเขาที่ไม่สามารถมีใครจับสัมผัสได้ หลายวันมานี้เขาลอบสังเกตเฝ้ามองเทียนชาอยู่ แม้ว่าจะอยู่ในเวลานอน เขาเองก็ไม่ได้ประมาท เขาที่ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา รับรู้ได้ว่าเทียนชากำลังก้าวเข้ามาหาเขา.
ที่จริงแล้ว จงซานที่เลือกพักอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ไม่ใช่ว่าเขาประมาทแต่อย่างใด แม้ว่าจงซานจะมีพลังฝึกตนไม่สูง ทว่าในการใช้ชีวิตของจงซานในโลกปุถุชนจงซานเป็นคนที่ระมัดระวังตัวอยู่เสมอ.
ก่อนนอนนั้น จงซานที่ใช้ผงแมลงที่แปลกประหลาดกระจายออกไปรอบ ๆ ซึ่งเป็นวิธีการที่พิเศษมาก ซึ่งผงดังกล่าวนี้มีลักษณะที่เฉพาะเจาะจงเป็นอย่างมาก เมื่อผงดังกล่าวกระจายออกไป ตราบเท่าที่มีสิ่งมีชีวิตเคลื่อนที่เข้าใกล้ในรัศมีร้อยเมตร จะทำให้ผงเกษรของมันเปลี่ยนไปทำให้เขาสามารถรับรู้กลิ่นที่แปลกประหลาดได้ และจงซานก็จะตื่นขึ้นมาในทันที.
การที่จงซานแสร้งหลับต่อหน้าเทียนชา ในเวลากลางคืนเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน.
เขาที่ลุกขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่จะก้าวออกไปด้านหน้า เขาที่จับจ้องมองไปยังสถานที่ของเทียนชาที่บินออกไป ตอนนี้เขาได้เคลื่อนไหวเข้าไปอยู่ใกล้ ๆ สถานที่ค่ายกลของเป่ยชิงซืออยู่.
การที่เขาเคลื่อนที่เข้าใกล้ค่ายกลของนาง เป่ยชิงซือที่อยู่ด้านในสามารถรับรู้ได้อย่างแน่นอน.
เป่ยชิงซือที่ลุกขึ้น พร้อมกับเก็บธวัชของนาง ก่อนที่จะจ้องมองไปยังจงซาน.
"จงซาน เจ้าไม่พักอย่างงั้นรึ?มีอะไรหรือไม่?"เป่ยชิงซือที่สอบถามด้วยความสงสัย จับจ้องมองไปยังอีกซึ่งหนึ่งของหุบเขา ซึ่งเขาเห็นว่าเทียนชาได้ออกไปสำรวจยังสถานที่ดังกล่าว.
"ชิงซือ ข้าคุยกับท่านได้หรือไม่?"จงซานที่เอ่ยปากออกมาในทันที.
"อืม."เป่ยชิงซือพยักหน้า.
ทั้งคู่ที่ขึ้นไปนั่งบนก้อนหินก้อนใหญ่.
"ก่อนหน้านี้ที่สำนักไคหยาง ข้าเห็นชุดของท่านมีรอยขาดวิ่นจากการต่อสู้ เจ้าไปพบกับอันตรายใดเข้าอย่างงั้นรึ?"จงซานที่สอบถามออกมา.
"อืม เป็นกลุ่มพวกทรยศ ที่ถูกส่งออกมาค้นหาข้า."เป่ยชิงซือที่ถอนหายใจออกมาอย่างนุ่มนวล.
"กลุ่มผู้ทรยศที่เคยเข้าโจมตีตระกูลเจ้าอย่างงั้นรึ?"จงซานที่ขมวดคิ้วสอบถามออกมาทันที.
"ใช่แล้ว เป็นพวกเขา ข้าที่หนีออกมาได้ พวกเขาน่าจะรับรู้แล้วว่าข้ามีชีวิตอยู่ พวกเขาจึงต้องส่งคนจำนวนออกมาไล่ล่าแน่ ดังนั้นข้าจึงต้องการได้หลักฐานชิ้นที่สามให้ได้เร็วที่สุดนั่นเอง."เป่ยชิงซือที่กล่าวออกมาเสียงดังชัดเจน.
เขาได้ยินคำพูดของเป่ยชิงซือก็ขมวดคิ้ว แล้วสอบถามออกมา "พวกเขาพบเจ้าได้อย่างไร?"
จ้องมองไปยังจงซาน เป่ยชิงซือที่ส่ายหน้าไปมาพลางถอนหายใจ "นั่นเป็นเพราะสีผมและคิ้วที่เด่นเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะมีพลังฝึกตนเท่าไหร่ ด้วยสัญลักษณ์เช่นนี้ มันได้กลายเป็นเครื่องหมายแสดงถึงลักษณะเฉพาะของสายโลหิตของตระกูลเป่ย ดังนั้นทุกคนจะเห็นข้าได้ในทันที."
เขาที่จ้องมองไปยังเส้นผมสีขาวเงินที่ดูน่าดึงดูดนั่น จงซานที่ขมวดคิ้วไปมาและกล่าวออกไปอีกว่า"เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนสีมันได้อย่างงั้นรึ?"
"ข้าไม่มีทักษะพอ เมื่อสายโลหิตแสดงออกมา สถานะของของข้าจึงถูกเผยในทันที แม้ว่าข้าจะได้รับพลังจากสายโลหิตของข้าก็ตาม ในอดีตนั้น หากไม่ใช้วิชาเฉพาะ ข้าคงไม่สามารถมายืนอยู่ที่นี่ได้."เป่ยชิงซือที่กล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล.
กับความหนาวเย็นในคำพูดของนาง จงซานสามารถเห็นความข่มขื่นในท่าทางของนางได้.
"ทักษะของสายโลหิตของตระกูลเป่ยคืออะไรเหรอ ไม่ ๆ ความแข็งแกร่งของเจ้าตอนนี้?อยู่ในขั้นใหน เทียบได้กับเทียนชาได้หรือไม่?"จงซานที่อยากรู้เกี่ยวกับสายโลหิตของตระกูลเป่ย ทว่าทันใดนั้นเขาก็หยุดเอาไว้ทันที เขารับรู้ได้ เกี่ยวกับหนานป้าเทียนที่มีทักษะสายโลหิตเช่นกัน แม้แต่เทียนหลิงเอ๋อสนิท ยังดื้อรั้นไม่สามารถบอกออกมาได้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงเห็นได้ชัดว่าเป็นหัวข้อต้องห้าม.
เป็นความจริงอยู่แล้ว สิ่งดังกล่าวนี้เปรียบเหมือนกับการรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ เรื่องนี้จะให้คนอื่นรู้ได้อย่างไร?ดังนั้นจงซานจึงหยุดกลางคันและเปลี่ยนหัวข้อไปในทันที.
เห็นท่าทางของจงซานแล้ว เป่ยชิงซือเผยยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ดูเหมือนว่าจงซานเองก็รู้ดี เรื่องของความลับสายโลหิตนั้นไม่สามารถที่จะบอกใครได้ ทว่านางก็ครุ่นคิดกับอีกคำถามพร้อมกับกล่าวออกมาว่า"เทียบกับศิษย์พี่ใหญ่ หากไม่สู้ก็คงไม่รู้."
หากไม่สู้ก็คงไม่รู้? ในสายตาของจงซานที่เปล่งประกาย ด้วยนิสัยของเป่ยชิงซือที่ชอบเก็บตัว หากไม่สู้ก็คงไม่รู้ แน่นอนว่านางจะต้องแข็งแกร่งกว่าเทียนชาอย่างแน่นอน.
อาจารย์เคยบอกว่าความแข็งแกร่งของเทียนชานั้น สามารถจัดการกับผู้ฝึกตนก่อตั้งวิญญาณระดับต้นได้ เช่นนั้นความแข็งแกร่งของเป่ยชิงซือก็ไม่ได้ด้อยกว่าสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนก่อตั้งวิญญาณระดับต้นได้หรือ?
"อีกนานเท่าไหร่ที่พวกเราจะเข้าเขตแดนหมาป่า?"จงซานที่คิดได้และเปลี่ยนหัวข้อในทันที.
"น่าจะอีกไม่นาน ที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีหมู่บ้านกระบี่พิสุทธิ์และสำนักทวนเหล็ก หากเข้าใกล้ทั้งสองสำนักก็จะเข้าใกล้เขตแดนหมาป่าแล้ว ซึ่งหากบินตรงไปยังทิศตะวันออกแค่ชั่วโมงครึ่ง ก็เข้าเขตแดนหมาป่า."เป่ยชิงซือคิดครู่หนึ่งและกล่าวออกมา.
"นิกายทวนเหล็กอย่างงั้นรึ?"จงซานขมวดคิ้วไปมาในทันที.
"มีอะไรอย่างงั้นรึ? หรือว่าเจ้ารู้จัก?"เป่ยชิงซือที่เอ่ยถามด้วยความสงสัย.
"อืม สหายของข้าอยู่ที่นั่น หากเป็นไปได้ พรุ่งนี่ผ่านไปทางสำนักทวนเหล็กได้หรือไม่?"จงซานกล่าวต่อเป่ยชิงซือ.
นางที่จ้องมองไปยังจงซานเงียบ ๆ ก่อนที่เป่ยชิงซือจะพยักหน้าให้.
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ จวบจนถึงรุ่งเช้า ก่อนที่จงซานจะเปลี่ยนหัวข้อเกี่ยวกับผมและคิ้วสีเงินของนางอีกครั้ง.
"ขอข้าดูเส้นผมของท่านได้หรือไม่?"จงซานที่กล่าวออกมาในทันที.
"หืม?"เป่ยชิงซือที่ชำเลืองมองตาโต สายตาของนางที่เต็มไปด้วยท่าทางสงสัย.
"อย่าได้เข้าใจผิด ข้าเพียงแต่ต้องการเห็นสภาพลักษณะของมันเท่านั้น บางทีข้าอาจจะสามารถเปลี่ยนสีผมของท่านได้."จงซานที่กล่าวอย่างจริงจัง.
"หืม?"สายตาของเป่ยชิงซือที่แสดงท่าทางประหลาดใจ ก่อนที่นางจะพยักหน้าให้.
เมื่อได้รับอนุญาตจากเป่ยชิงซือ จงซานที่ยื่นมือออกไป สัมผัสกับชายผมของเป่ยชิงซืออย่างระมัดระวัง.
ผมที่ยาวสลวยของเป่ยชิงซือนั้น ดูนุ่มนวลเป็นอย่างมาก เป็นความนุ่มลื่นที่ยากจะทานทนได้ นอกจากนี้ยังแผ่กลิ่นอายที่เย็นยะเยือบออกมา.
จงซานที่ถอนหายใจลึก จ้องมองด้วยความระมัดระวัง ก่อนที่จะเผยสีหน้าออกมาด้วยความมั่นใจ.
ทว่าในเวลานั้น เทียนชาที่อยู่บนกระบี่เหิน กำลังจ้องมองมาจากที่ไกลออกไป.
แทบจะในทันทีที่เทียนชากลับมา เขาก็โกรธเกรี้ยวปอดแทบระเบิด เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?ชายโฉดหญิงชั่ว.
กับสิ่งที่เทียนชาเห็น?เป่ยชิงซือและจงซานนั่งเคียงคู่กันกับนาง สายตาของนางที่เต็มไปด้วยความชอบพอ อีกทั้งจงซานยังจับไปที่ผมของนางอย่างนุ่มนวล พร้อมกับรอยยิ้มที่แปลกประลาด นี่มัน ชายโฉดหญิงชั่ว!
ใบหน้าของเทียนชาที่แดงซ่านด้วยความโกรธ หมัดที่กำแน่นเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ มืออีกข้างที่กุมไปที่ด้ามกระบี่พร้อมจะสับร่างของจงซาน เป่ยชิงซือที่เต็มไปด้วยความอหังการ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเย็นชา ปรกติชอบทำตัวเหมือนกับภูเขาน้ำแข็ง ที่ดูต่างจากหญิงสาวทั่ว ๆ ไป แต่ตอนนี้ กลับไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ชิ!
แต่แล้วจิตสังหารของเขาแผ่ออกมา ทันใดนั้นก็เก็บกลับไป ใบหน้าที่ค่อย ๆ ฟื้นกลับมาเป็นดังเดิม ก่อนที่จะร่อนลงยังหุบเขา.
ในเวลานั้นจงซานก็พบว่าเทียนชากลับมาแล้ว เขาที่ปล่อยผมของเป่ยชิงซือไป ก่อนที่จะหันหน้ากลับมามองเทียนชา ทว่าใบหน้าของเป่ยชิงซือก็เปลี่ยนกลับไปเป็นไม่แยแสเหมือนเดิม.
เห็นท่าทางใบหน้าของเป่ยชิงซือที่เปลี่ยนไป สายตาของเทียนชาก็ดูราวแฝงไปด้วยความชั่วร้าย.
"จงซาน ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องพักหรอกรึ?"เทียนชาที่ขมวดคิ้วไปมาจ้องมองไปยังจงซาน สายตาที่เต็มไปด้วยความดุร้าย.
ทว่าจงซาน จำเป็นต้องหวาดกลัวอย่างงั้นรึ?
"ครับ ศิษย์พี่ พวกเราสามารถเดินทางต่อได้เลย."จงซานที่พยักหน้าและกล่าวออกมา.
"อืม."เทียนชาที่พยักหน้า.
เป่ยชิงซือที่นำกระบี่สีขาวออกมา คนทั้งสามก็เหินบินต่อไปอีกครั้ง.
แม้ว่าความเร็วในการบินของจงซานจะไม่ได้เร็วนัก ทว่าก็ดีกว่าเดินทางด้วยเท้าผ่านภูเขาและหุบเหว.
ในขณะที่บินอยู่นั้น จงซานและเป่ยชิงซือที่เบี่ยงตัวเล็กน้อยมุ่งไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ เทียนชาที่ขมวดคิ้วไปมาจ้องมองไปยังที่จงซาน.
"ศิษย์พี่ใหญ่ สำนักทวนเหล็กนั้น มีสหายของข้าอยู่ ข้าต้องการไปพบกับเขาสักครั้ง."จงซานที่กล่าวออกมา.
เทียนชาที่เห็นว่าเป่ยชิงซือก็เห็นดีเห็นงามด้วย ภายในใจของเขาที่เต็มไปด้วยความโกรธ นี่มันชายโฉดหญิงชั่วจริง ๆ ทว่าเทียนชาก็ยังคงสุขุมพยักหน้าให้ ต้องไม่ลืมว่าจงซานและเขาต่างก็เป็นศิษย์หลักของเทียนซวินจื่อ นอกจากนี้ยังมีเป่ยชิงซือ เขาไม่สามารถทำอะไรอย่างเปิดเผยได้.
ตอนบ่ายแก่ ๆ คนทั้งสามที่อยู่ห่างจากสำนักทวนเหล็กไม่ไกลแล้ว ทว่าคนทั้งสามก็หยุดพักไม่เข้าไป.
เพราะว่าท้องฟ้าของสำนักทวนเหล็กนั้น มีประกายแสงลำหนึ่งที่พุ่งขึ้นมาหลายร้อยจั้งเป็นปราณหอกนั่นเอง ส่องประกายแสงสว่างไปทั่วหุบเขา.
"ตูมมม ตูมมม ตูมมม..."
เกิดเป็นประกายแสงและเสียงการระเบิดดั่งสนั่นไปทั่วทิศบนยอดเขา ปราณหอกและปราณกระบี่ เข้าปะทะโรมรัน แต่ละฝ่ายต่างก็สร้างหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมา.
เสียงระเบิดที่เกิดจากการต่อสู้ดังติดต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่า ฝุ่นผงที่ฟุ้งกระจาย เศษหินและต้นไม้ที่หักโค่น เป็นการต่อสู้ที่รุนแรงเป็นอย่างมาก.
"ทรงพลังมาก!"เป่ยชิงซือที่เอ่ยปากออกมาเบา ๆ .
เป็นพลังที่แข็งแกร่งจริง ๆ จงซานที่ชำเลืองมองตาโตกับกลิ่นอายที่แผ่จนมาถึงที่แห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างข้ามภูเขาออกมาหลายลูกยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังของปราณหอกที่ทรงพลังเป็นอย่างมากจากทิศดังกล่าว.
พลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ ต้องไม่ใช่ระดับแกนทองแน่ ไม่มีทางที่ปราณหอกของผู้ฝึกตนระดับแกนทองจะทรงพลังขนาดนี้.
ผู้ฝึกตนระดับก่อตั้งวิญญาณ?
สำนักทวนเหล็กนั้นมีผู้ฝึกตนระดับก่อตั้งวิญญาณเพียงคนเดียว นั่นก็คือประมุขของพวกเขา ดูเหมือนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับสำนักทวนเหล็กที่จ้าวโส่วเซี่ยงได้ข่าวไป ทำให้ประมุขของพวกเขากลับมาแล้วเป็นแน่.
เป่ยชิงซือที่จ้องมองไปยังจงซาน และเทียนชาเองก็จ้องมองไปยังเขาด้วยเช่นกัน ท่าทางของทั้งคู่นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง.
เป่ยชิงซือที่ต้องการสอบถามจงซานว่าจะเดินทางต่อไปด้านหน้าหรือไม่ ต้องไม่ลืมว่าจงซานนั้นต้องการมาพบกับสหายของเขา ส่วนเทียนชานั้นก็แอบลุ้นให้จงซานเดินทางไปต่อ เพราะเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าด้านหน้านั้นมีการต่อสู้กันอยู่ หากว่าจงซานเข้าไปใกล้ โดยไม่ระมัดระวัง เขาจะถูกสังหารไปอย่างง่ายดาย โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องลงมือเองเลยด้วยซ้ำ.
"ศิษย์พี่ใหญ่ ชิงซือ พวกเราเข้าไปใกล้กว่านี้ได้หรือไม่?"จงซานที่ครุ่นคิดครู่หนึ่งและกล่าวออกมา.
"อืม."เป่ยชิงซือที่พยักหน้าให้อย่างนุ่มนวล.
ทว่าเทียนชาที่ลอบมองอย่างเงียบ ๆ ไปยังเป่ยชิงซือ "ชิงซือ"? คาดไม่ถึงเลยว่าจงซานจะเรียกนางเช่นนั้น? อย่างไรก็ตามเป็นความคิดที่ดีแล้ว.
"ได้ ในเมื่อเป็นสหายของศิษย์น้องก็เป็นเหมือนสหายของข้าด้วย."เทียนชาที่กล่าวออกมาในทันที.
จงซานพยักหน้า เขาจะไม่รู้ว่าเทียนชาแสร้งทำได้อย่างไร เขาย่อมรับรู้ความตั้งใจของเทียนชาได้.
"ไปกันเถอะ."จงซานที่ยืนอยู่บนดาบฝันร้ายก่อนที่จะนำหน้าพุ่งตรงไปยังสถานที่ดังกล่าว.
พวกเขาที่เคลื่อนที่เข้าไปใกล้และแอบซ่อนตัวอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ลอบมองลงไปด้านล่าง.
กับภาพฉากด้านล่าง ดวงตาของจงซานที่หดเกร็งไปเหมือนกัน มีศพอยู่มากมาย กระจายไปทั่วทั้งหุบเขา น่าจะมีอยู่ราว ๆ 500 ศพ นอกจากนี้ยังเป็นผู้ฝึกตนจากสำนักที่แตกต่างกัน กับศพของผู้ฝึกตนที่มีมากมายขนาดนี้ ทำให้จงซานตื่นตกใจเป็นอย่างมาก.
เพราะว่าสำนักไคหยางเป็นสำนักใหญ่ เท่าที่เขารู้นั้น มีคนอยู่ราว ๆ 200 คนในสำนัก แน่นอนว่าอาจจะมีอยู่มากกว่านั้นที่จงซานไม่รู้ ทว่ากับจำนวนที่เขาเห็นตอนนี้ ก็ไม่มีมากมายนัก.
กับศพผู้ฝึกตนถึงห้าร้อยคน ไม่ว่าจะมีพลังฝึกตนเท่าไหร่ก็ตาม คนที่ตายไปในครั้งนี้ถือว่าเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว.
เห็นท่าทางของจงซานที่เต็มไปด้วยความสงสัย เป่ยชิงซือที่กล่าวออกมาทันที "สำนักเซียนทั่วไปเองก็ไม่ได้มีมากมายเท่าไหร่นัก ทว่าที่มีจำนวนมากมายขนาดนี้ เป็นเพราะมีหลายสำนักมารวมตัวกัน.
"อืม."จงซานที่พยักหน้าและจ้องมองไปยังข้างล่างต่อ.
ศพผู้ฝึกตนกว่าห้าร้อยคน พวกเขาที่อาวุธที่ไม่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหอกยาว ซึ่งมีอยู่ราว ๆ 300 ศพ ส่วนศพอื่น ๆ นั้นมีอาวุธที่แตกต่างกันไป ทั้งกระบี่ ดาบและยังมีไม้เท้าอีกด้วย.
ถึงจะมีคนตายไปจำนวนไม่น้อย แต่ผู้ฝึกตนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มีอยู่ไม่น้อย.
ที่เชิงเขาทิศเหนือ มีคนสิบคนที่กุมหอกยาวอยู่และมีคนเก้าคนที่อยู่ด้านหลัง ร่างกายแต่ละคนเต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ร่างกายโชกไปด้วยโลหิต ดูเหมือนว่าจะเริ่มอ่อนแรงแล้ว ทว่าสายตาของพวกเขายังคงมั่นคง สายตาที่ไม่ยอมแพ้พร้อมจะต่อสู้จนตัวตาย คนที่ยืนอยู่ที่หน้าคนทั้งเก้าคนนั้น ก็คือสหายของจงซาน จ้าวโส่วเซี่ยง.
ใบหน้าที่บวมปูดที่แก้มด้านซ้าย ที่มุมปากมีโลหิตไหลออกมา ทว่าสายตาของเขายังคงจ้องมองปลดปล่อยจิตสังหารที่รุนแรงออกมา.
คนทั้งเก้าที่ยืนอยู่ด้านหลังของพวกเขา ทุกคนต่างก็กุมหอกยื่นไปด้านหน้าระวังภัยให้กันและกัน.
เวลานี้ทุกคนต่างก็ยังเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ร่างกายทั่วร่างที่เต็มไปด้วยรอยช้ำ ทว่าใบหน้าก็ยังเต็มไปด้วยความมั่นใจ สายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด.