Chapter 10 สำนักไคหยาง.
วิชาฝึกร่างกายาเทพอสูรอย่างงั้นรึ?
เมื่อมองเห็นสิ่งดังกล่าว ดวงตาของเหล่าเยว่จื่อจงก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที.
วิชาฝึกร่างกายาเทพอสูร มีอักขระสลักเอาไว้อยู่ราว ๆ 30,000 ตัว เหล่าเยว่จื่อจงได้ทำการศึกษาจดจำมันเอาไว้เหมือนกับเคล็ดวิชาหงหลวนเทียน เขาได้ใช้เวลาตลอดห้าวันในถ้ำแห่งนี้ ก่อนที่จะสามารถจดจำมันได้ขึ้นใจ.
เคล็ดวิชาฝึกร่างกายาเทพอสูร นั้นไม่เชิงว่าเป็นวิชาบำเพ็ญหลักแต่อย่างใด ทว่าดูคล้ายกับว่าเป็นวิชาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพวิชาอื่น ๆ ซะมากกว่า.
พลังปราณ พลังกาย สามารถทำให้หนาแน่นทรงพลังได้ด้วยการใช้วิชากายาเทพอสูร เพียงแค่ใช้ทักษะดังกล่าว ภายในเวลาสองชั่วโมง วิชาฝึกตนนั้น ๆ จะถูกเพิ่มทักษะความสามารถขึ้นอีกหลายเท่า.
มีด้วยกันทั้งหมด 12 ขั้น หากว่าสามารถสำเร็จได้ถึง 12 ขั้น จะสามารถเพิ่มพลังเพิ่มขึ้นได้ถึง 13 เท่า นับว่าเป็นทักษะที่ไม่ธรรมดาเลย?
หากแต่หลังจากผ่านสองชั่วโมงไปแล้ว ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะอ่อนแอ หนึ่งวันถึงห้าวันถึงจะฟื้นฟู ระหว่างนี้พลังทั้งหมดจะลดลงครึ่งหนึ่งจากสภาวะปกติ หรือบางครั้งก็ลดลงเพียงแค่สิบเปอร์เซ็นต์จากสภาพปรกติ.
โดยปรกติเมื่อยู่ในภาวะเหนื่อยล้า ซึ่งจะต้องพักผ่อนเพื่อฟื้นตัว ทว่าด้วยวิชากายาเทพพอสูรนี้แตกต่างจากการเหนื่อยล้าปกติ เพระทักษะกายาเทพอสูรนั้นจะทำให้การเผาผลาญพลังงานเร็วกว่าปกติ เป็นการกลั่นพลังทั่วร่างรีดเร้นให้ร่างกายก้าวไปถึงศักยภาพสูงสุด เหมือนกับร่างกายของเซี่ยงเฉินก่อนหน้านี้ ทำให้เหล่าเยว่จื่อจงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย.
นี่คือวิชากายาเทพอสูรอย่างงั้นรึ?
อีกอย่างยังเป็นวิชาที่ไม่ขัดแย้งกับวิชาบำเพ็ญอื่น ๆอีกด้วย ดังนั้นจึงสามารถฝึกควบคู่ร่วมกับวิชาอื่นๆทุกวิชา?ไม่ว่าอย่างไรเมื่อเขาจดจำทุกอย่างเอาไว้แล้ว เขาจะทำอย่างไรดีกับผ้าคลุมสีดำนี้? ส่งมอบต่อไปยังคนอื่นอย่างงั้นรึ? น่าหัวเราะ ต้องทำลายมันอย่างแน่นอน.
แล้วจะทำลายอย่างไรล่ะ?แม้แต่ปราณหยินยังไม่สามารถทำลายมันได้เลย ต้องทำอย่างไรดี?
ไม่ว่าอย่างไรเหล่าเยว่จื่อจงก็คิดว่าน่าจะลองดู เขาที่เริ่มจุดไฟและทำการเผาผ้าคลุมสีดำในทันที.
"ซี่ๆๆๆ..."
ผ้าคลุมสีดำไม่ไหม้อย่างงั้นรึ?
ด้วยการเฝ้ามองอย่างระมัดระวัง เหล่าเยว่จื่อจงราวกับว่าจะตระหนักถึงบางอย่างได้ ดูเหมือนว่าแม้แต่ปราณหยินยังไม่สามารถทำลายได้ เช่นนั้นปราณหยางจะทำลายง่าย ๆ ได้อย่างไร หนำซ้ำยังเป็นเพียงเปลวเพลิงอันกระจ่อยร่อยอีกด้วย?
แต่แล้วดูเหมือนว่าผ้าคลุมนั่นกลับค่อยๆลุกไหม้ขึ้นช้า ๆ อย่างคาดไม่ถึง ก่อนที่จะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นขี้เถ้า ต่อมาได้ปรากฏไข่มุกที่ส่องประกาย.
เขาจ้องมองออกไปพร้อมกับเก็บไข่มุกราตรีที่ส่องสว่างวับวาว ไร้ซึ่งสิ่งเจือปน เป็นไปได้ว่านี่คือสิ่งที่เซี่ยงเฉินและพรรคพวกของพวกเขานำมา.
เหล่าเยว่จื่อจงเดินออกจากปากถ้ำ ก่อนที่จะชำเลืองมองกลับมาเพ่งพิศอยู่ชั่วขณะ เขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้แล้ว หากคิดใคร่ครวญให้ดี หากว่ายังมีคนอื่น ๆ อีกล่ะ เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย.
เขาที่จดจำก้อนหินและตำแหน่งดังกล่าวเอาไว้ในใจ ก่อนที่จะข้ามเนินเขานี้ไปพร้อมกับเดินทางไปยังทิศเหนือต่อ.
ก่อนที่เขาจะค้นหาหุบเขาที่เหมาะสมและเริ่มฝังไข่มุกราตรีเอาไว้ในพื้นที่ลับ ที่จริงเขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันล้ำค่าหรือไม่อย่างไร ทว่าการเก็บไว้กับตัวมันน่าหวากลัวเกินไปซึ่งอาจจะถูกคนอื่นพบเจอได้ง่าย ไว้เขาทรงพลังมีความแข็งแกร่งพอค่อยกลับมานำมันกลับไปก็ยังไม่สาย.
เหล่าเยว่จื่อจงได้พบเข้ากับสถานที่เงียบสงบและเริ่มฝึกฝนวิชากายาเทพอสูร.
เป็นเหมือนกับเคล็ดวิชาหงหลวน ในขั้นแรกนั้นนับว่าฝึกฝนได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่ผ่านมาหนึ่งเดือน เขาก็สามารถฝึกฝนมันได้สำเร็จ ทว่าเหล่าเยว่จื่อจงนั้นไม่ได้ต้องการทดสอบมันในทันที มันอันตรายเกินไปหากว่าสัตว์อสูรมาพบกับเขาขณะที่กำลังฟื้นพลังล่ะ? ดังนั้นการจะใช้งานนั้นจำต้องคิดใคร่ครวญให้ดี.
สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือต้องเดินทางไปให้ถึงสำนักไคหยาง.
เหล่าเยว่จื่อจงที่ตอนนี้มุ่งตรงไปยังสำนักไคอยางในทันที ระว่างทางนั้นเขาได้พบเข้ากับสัตว์อสูรด้วย ทว่าเป็นโชคดี เขาที่พบเข้ากับเสือดาวทมิฬ ด้วยการใช้ทักษะกายาเทพอสูร เพื่อเพิ่มกำลังกายภายในสองชั่วโมงและยังใช้หมอกกำหนัดหงหลวนมอมเมาอีกที ทำให้เขาสามารถหนีมันพ้นได้.
หลังจากที่ใช้วิชากายาเทพอสูรแล้ว ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลงหนึ่งวัน ทว่า โชคยังดีที่สามารถหาที่หลบและพักฟื้นได้.
ท้ายที่สุดหลังจากนั้นหนึ่งเดือน เหล่าเยว่จื่อจงที่ร่างกายขาดวิ่น พร้อมกับเป้ใบเล็ก ก็เดินทางมาถึงสำนักไคหยางในที่สุด.
สำนักดังกล่าวนั้นตั้งอยู่บนเทือกเขาขนาดมหึมาล้อมรอบไปด้วยเมฆและหมอก.
ไม่สามารถที่จะมองลึกเข้าไปข้างในได้อย่างแน่ชัด ดูเหมือนว่าจะมีค่ายกลที่ทรงพลังล้อมรอบป้องกันเอาไว้.
ประตูด้านนอกนั้น มีแผ่นศิลาขนาดใหญ่ขวางกั้น บางทีอาจจะเรียกว่ามันตั้งผ่านเนินหินขนาดมหึมานี้ โดยเนินหินขนาดมหึมาได้ถูกหั่นออกเป็นสองท่อนอย่างราบเรียบ มีอักขระสามตัว พร้อมกับภาพสลักมังกรวารีที่กำลังไต่ขึ้นไปบนท้องฟ้าและหงสาเพลิงที่กำลังสะบัดปีก เต็มไปด้วยพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่.
"สำนักไคหยาง."
นี่คือประตูทางเข้าของสำนักไคหยาง.
แผ่นหินใหญ่ยักษ์นั่นตั้งตระหง่านขวางทางเข้า ถึงแม้ว่าจะเป็นสัตว์อสูรที่ทรงพลังก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้.
ข้าง ๆ แผ่นศิลาขนาดใหญ่นั้น มีกระท่อมมุงจากอยู่ไม่ไกล มีสวนผักปลูกอยู่หน้ากระท่อม.
ขณะที่เหล่าเยว่จื่อจงจ้องมองไปยังทิศทางดังกล่าว ประตูของกระท่อมก็เปิดออกมา ชายชราหนวดขาวที่จ้องมองแล้ว ดูแก่กว่าเหล่าเยว่จื่อจงมากค่อย ๆ เดินออกมาจากกระท่อมดังกล่าว.
ขณะที่เขาจ้องมองมายังเหล่าเยว่จื่อจง ดวงตาที่ซับซ้อนผสมปนเป ปรากฏขึ้นในสายตาของเขาก่อนที่จะเดินเข้ามาหาอย่างช้าๆ.
"เจ้าต้องการอะไรอย่างงั้นรึ?"ชายชราผมขาวที่สอบถามออกมาอย่างนุ่มนวล.
"เสี่ยวจื่อ มีนามว่าจงซาน คารวะผู้อาวุโส."เหล่าเยว่จื่อจงที่กล่าวออกไปในทันที.
"จงซาน?"ชายชราเริ่มครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขาไม่สามารถนึกได้เลยว่าจงซานเป็นใคร เขารู้จักจงซานมาก่อนอย่างงั้นรึ?.
"ข้าใคร่ขอถามอาวุโส ไม่ทราบว่าท่านคือสมาชิกของสำนักไคหยางอย่างงั้นรึ?"จงซานถามออกมาด้วยความเคารพ.
"ถูกแล้ว ข้าคือผู้เฝ้าประตูของสำนักไคหยาง เจ้าต้องการอะไรอย่างงั้นรึ?"ชายชราผมขาวกล่าวออกมาด้วยโทนเสียงไร้อารมณ์ ไร้ซึ่งความสนใจใด ๆ ต่อจงซาน.
สัมผัสได้ถึงท่าทางของชายชราผมขาวที่มีต่อเขา จงซานรู้สึกไม่ดีนัก พลังฝึกตนของเขานั้นอ่อนแอกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปมาก ทว่าก็ไม่น่าจะต่างจากผู้ฝึกตนระดับต้นมากมายขนาดนั้น.
55 ปีกับการทำธุรกิจในโลกใบนี้ จงซานสามารถที่จะรับรู้ได้ถึงนิสัยของคนมากมาย เขาพอจะอ่านใจคนอื่น ๆ ได้ ท่าทางของมนุษย์เกือบทุกคน ในเวลานี้ เขาเข้าใจได้ดี หากอาวุโสผู้นี้เป็นผู้พิทักษ์ประตู ไม่มีทางที่เขาจะแสดงท่าทางเช่นนี้.
"เสี่ยวจื่อ ขอถามนามที่ทรงเกียรติของอาวุโสได้หรือไม่?"จงซานสอบถาม.
"นามอันทรงเกียรติ? ข้ามีนามอันทรงเกียรติด้วยอย่างงั้นรึ? ข้าที่ล้มเหลวในการฝึกฝนจวบจนได้มาถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตแล้ว ข้ามาเป็นผู้พิทักษ์ประตูนั้นก็เพื่อพักผ่อนชีวิตในบั้นปลาย เจ้าเรียกข้าว่า โฉวซาน ก็แล้วกัน"ชายชราผมขาวเผยยิ้มออกมาอย่างนุ่มนวล.
守山Shǒushān Mountain Protector ผู้พิทักษ์แห่งขุนเขา.
"อาวุโสโฉวซาน เสี่ยวจื่อจงซานนั้นได้รับการไหว้วานจากอาวุโสของสำนักไคหยานคนหนึ่งให้มาส่งชิ้นส่วนของหยก เขาได้กล่าวว่าโปรดมอบมันให้กับประมุขของสำนัก ได้โปรดอาวุโสส่งข้อความนี้ได้หรือไม่?"จงซานกล่าว.
"ชิ้นส่วนหยกอย่างงั้นรึ?" โฉวซานขมวดคิ้วสงสัย.
จงซานเร่งรีบนำชิ้นส่วนหยกที่อยู่ในอกเสื้อออกมาในทันที.
ขณะที่โฉวซานเห็นชิ้นส่วนของหยกนั้น ดวงตาที่ขุ่นมัวของเขาก็ใสกระจ่างขึ้นมาทันที เขาที่ยื่นมือออกมาคว้ามันเอาไปไว้ในมือ ทว่าหลังจากนั้นหลายวินาที สายตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นดำมืดและพยักหน้าให้กับจงซาน.
"ข้าจะนำชิ้นส่วนหยกนี้ไป พร้อมกับไปแจ้งข่าวด้านใน "โฉวซานพยักหน้าให้.
"ครับ อาวุโส"จงซานที่ตอบรับในทันที.
ท่าทางและสายตาของโฉวซานที่เปลี่ยนไปในทันที ไม่รอดพ้นจากจงซาน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้แสดงมันออกมา ทว่าก็พอจะให้จงซานคาดเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้.
โฉวซานที่ถือชิ้นหยกและเดินตรงไปยังเนินเขา จากนั้น พริบตาเดียว ก็หายไปลับตาจงซานไป เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาเข้าไปในค่ายกล.
จงซานที่รอคอยอยู่ด้านนอกนั้นอยู่ไม่นานนัก.
ทันใดนั้น ก็มีคนสามคนที่เหินออกมาจากค่ายกลขนาดใหญ่นั่น.
พวกเขาที่เหินลอยตัวอยู่บนเมฆ หนึ่งในนั้นที่อยู่ตรงกลางเป็นชายวันกลางคนที่มีอายุราว ๆ หกสิบ สวมชุดคลุมนักพรต ถือชิ้นส่วนหยกในมือ อีกคนด้านซ้ายนั้นเป็นหญิงสาวในชุดสีขาว แม้ว่านางจะมีอายุ ทว่าก็ยังดูงดงาม ส่วนทางขวานั้นเป็นชายวัยกลางคนที่มีคิ้วตรงดิ่ง ดวงตาเป็นประกาย.
คนทั้งสามที่ออกมาจากค่ายกล พร้อมกับชำเลืองมองมายังจงซานและขมวดคิ้วไปมา.
"เสี่ยวจื่อ จงซาน คารวะอาวุโสทั้งสาม "จงซานเร่งรีบคำนับพวกเขาทันที.
"เจ้าเป็นคนที่นำชิ้นส่วนของหยกมาอย่างงั้นรึ?"ชายชราที่อยู่ตรงกลางถามออกมา.
"ครับ อาวุโส."จงซานตอบรับในทันที.
"อืม เช่นนั้นเจ้าเข้ามาในห้องโถงสำนักไคหยางกับข้า."ชายชรากล่าว.
ชายชราที่สะบัดมือเบา ๆ ไร้ซึ่งการบอกกล่าวก็ปรากฏเมฆขาวขึ้นที่เท้าของจงซาน พร้อมกับพาจงซานเข้ามาในค่ายกลพร้อมกับพวกเขาทั้งสามคน.
เมฆสีขาวที่พาเขาลอยไปยังเส้นทางที่แปลกประหลาด ขณะที่พาเขาเหินไปนั้น สิ่งที่มองเห็น ไม่ได้เป็นภาพฉากของเทือกเขาแห่งหนึ่งแล้ว ซึ่งแตกต่างจากที่มองเห็นจากข้างนอกมากราวกับว่ามันเป็นแค่เพียงภาพลวงตา.
ข้างในหุบเขานี้ มีน้ำตก ทะเลสาบ ป่าไผ่ บ้านเรือน สิ่งก่อสร้างต่างๆมากมายภายในนี้.
พวกเขาที่เหินตรงไปยังยอดเขาด้วยความเร็ว ที่บนยอดเขานั้น มีพื้นที่สีเหลี่ยมขนาดใหญ่และมีตำหนักที่โอ่อ่าอยู่ด้วย.
พวกเขาทั้งสี่ที่เหินลอยเข้าไปในตำหนัก ก่อนเข้าไปในตำหนักนั้นจงซานที่มองเห็นป้ายโลหะที่หน้าตำหนักสลักเอาไว้ว่า.
"ห้องโถงไคหยาง."
ข้างในนี้เป็นห้องโถงเดียวที่มีขนาดใหญ่เป็นอย่างมาก.