บทที่ 8 เข้าหอหลิงซวี
"เหง่ง หง่าง เหง่ง หง่าง!"
ยามเช้า ระฆังทองสัมฤทธิ์โบราณของสำนักเสินถูกเคาะตี เสียงระฆังก้องกังวานดังก้องไปทั่วภายในสำนักเสิน
การตีระฆังยามเช้า ตีกลองยามค่ำ เป็นพิธีกรรมของวัดอารามมานาน มีความหมายเตือนสติผู้คนให้รู้แจ้งในชีวิต
พิธีนี้ในปัจจุบันก็ถูกสำนักต่าง ๆ นำมาใช้ เพราะมีความหมายดีงาม สำนักเสินก็จึงมีพิธีนี้เช่นกัน
"ถึงยามอิ๋น*แล้วหรือนี่!" เสินหลิงก็ค่อย ๆ ปิด "ตำราเทพจักรพรรดิ" ลงอย่างแช่มช้า
(ยามอิ๋น เวลา 03.00 - 05.00 นาฬิกา)
"กร๊อบ กร๊อบ" เสินหลิงเหยียดกายคลายเส้นคลายสาย!
เสินหลิงอารมณ์ดีมาก เพราะเวลาทั้งคืนไม่ได้เสียเปล่า เขาพบวิธีเพิ่มระดับวรยุทธ์จริง ๆ
"ก็คือ ฝึกร่างกายเป็นหลัก วิชาเต๋าเป็นรอง"
ในภพการบำเพ็ญเพียรวันนี้ วิถีเต๋าเป็นกระแสหลัก ผู้ฝึกตนวิถีร่างกายหาได้ยากยิ่ง!
ก่อนขั้นสร้างฐาน การฝึกร่างกายและฝึกปราณ ล้วนมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน คือเปิดลมปราณแปลกประหลาดแปดสาย เพียงแต่เสินหลิงฝึกฝน "สวรรค์ลงทัณฑ์" มีความพิเศษ จึงต้องสร้างลมปราณอัสนีเป็นพิเศษ!
หลังผ่านขั้นสร้างฐาน วิถีเต๋ากับวิถีร่างกายก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน
ผู้บำเพ็ญเพียรวิถีเต๋าที่เรียกทั่วไปว่าผู้ฝึกปราณ มักเก็บสะสมปราณวิญญาณในตันเถียน โจมตีด้วยวิชาเต๋าเป็นหลัก
ผู้บำเพ็ญเพียรวิถีร่างกายเรียกสั้น ๆ ว่าผู้ฝึกกายภาพ จะฝึกปราณวิญญาณให้เข้ากับเลือดเนื้อ ในหัวใจจะสร้างหม้อวิญญาณ โจมตีด้วยศิลปะการต่อสู้ประชิดตัวเป็นหลัก
ผู้ฝึกกายภาพเป็นผู้ไร้เทียมทานในระดับเดียวกัน ผู้ฝึกกายภาพที่ฝึกเคล็ดวิชาระดับสูง ร่างกายจะแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเครื่องรางวิญญาณระดับเดียวกัน
ถึงผู้ฝึกกายภาพจะอยู่เหนือทุกคน แต่กลับหาได้ยากยิ่ง
ผู้ฝึกกายภาพหากอยากให้ร่างกายแกร่งเท่าเครื่องรางวิญญาณ ต้องเสียทรัพยากรหลายสิบเท่าของเหล่าผู้ฝึกตนวิถีเต๋าในขั้นเดียวกัน หรืออาจมากกว่านั้น
อีกทั้งยังฝึกฝนได้ช้ามาก แม้แต่หนึ่งในสิบของผู้ฝึกวิถีเต๋าก็ไม่ถึง
ใช้เวลาฝึกปราณเท่ากัน วิถีเต๋าจะสูงกว่าผู้ฝึกกายภาพอย่างน้อยหนึ่งขั้นใหญ่
เพราะต้องเสียทรัพยากรมหาศาล ความเร็วในการก้าวหน้าน่าเป็นห่วง และเหตุผลอื่น ๆ อีกมาก ทำให้ผู้ฝึกกายภาพค่อย ๆ ถูกผลักให้เป็นชายขอบ
ในภพการบำเพ็ญเพียรปัจจุบัน เก้าเกือบสิบส่วนเป็นวิถีเต๋า มีเพียงสำนักใหญ่เท่านั้น จึงจะฝึกผู้ฝึกกายภาพจำนวนน้อยเป็นครั้งคราว
ผู้ฝึกกายภาพใช้ปราณวิญญาณเสริมกำลังเลือดเนื้อ ระดับรากวิญญาณไม่ค่อยส่งผลต่อผู้ฝึกกายภาพมาก รากวิญญาณส่งผลต่อความเร็วในการฝึกตนของวิถีเต๋าเป็นหลัก
ถึงแม้การฝึกฝนของผู้ฝึกกายภาพก็ช้าเช่นกัน แต่เสินหลิงเชื่อว่าต่อหน้าโอสถและศิลาวิญญาณจำนวนมหาศาล ปัญหานี้ก็ไม่ใช่ปัญหาที่น่ากังวลแล้ว!
"กายอมตะโบราณ" ที่จักรพรรดิสวรรค์รุ่นแรกสร้าง เป็นเคล็ดวิชาผู้ฝึกกายภาพขั้นอมตะ เป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดใน "ตำราเทพจักรพรรดิ" เสินหลิงไม่มีทางต้านทานการล่อลวงจากเคล็ดวิชาที่ดีที่สุดในสมัยโบราณได้ นี่ก็คือเหตุผลสำคัญที่เขาเลือกฝึกร่างกาย
ผู้ฝึกฝนจะขัดเกลาพลังทองล้ำค่าเฉพาะตัวจากแร่ธาตุประหลาด แล้วนำพลังทองล้ำค่านั้นมาหลอมรวมเข้ากับร่างกายมนุษย์
ร่างกายก็จะกลายเป็นเหมือนทองคำบริสุทธิ์ เมื่อฝึกร่างกายจนถึงที่สุดก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าอาวุธเทพโบราณ ไม่ตายไม่พินาศ นี่ก็คือ "กายอมตะโบราณ"
เสินหลิงยังพบวิธีเพิ่มพูนวรยุทธ์อย่างรวดเร็วอีกสองวิธี!
อย่างแรกก็คือการฝึกฝน "จิตเทพเก้าภพ" !
"จิตเทพเก้าภพ" เป็นเคล็ดวิชาลับเพียงไม่กี่เคล็ดในตำราเทพจักรพรรดิที่มีขั้นอมตะ พูดได้ว่าเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาลับที่แกร่งกล้าที่สุด
"จิตเทพเก้าภพ" เป็นเคล็ดวิชาลับที่จักรพรรดิสวรรค์รุ่นแรกสร้างขึ้น เมื่อฝึกจนถึงที่สุดก็จะแยกออกเป็นร่างแยกถึงเก้าร่าง
ร่างแยกนี้เปรียบเสมือนอีกชีวิตหนึ่ง ร่างแยกมีจิตสำนึกของตัวเอง สามารถฝึกฝนด้วยตนเองได้!
ที่สุดยอดที่สุดก็คือ วรยุทธ์ของทั้งสองจะซ้อนทับกันได้ เพียงแค่ร่างแยกกลับรวมเข้ากับร่างหลักเท่านั้น!
เสินหลิงคิดจะให้ทั้งสองฝึกฝน สุดท้ายก็รวมวรยุทธ์ทั้งหมดเข้าในร่างจริง แบบนี้ความเร็วในการฝึกฝนของตัวจริงจะเพิ่มขึ้นมากทีเดียว!
อีกเคล็ดวิชาลับหนึ่งคือ "เทพจักรพรรดิเก้าโทสะ" ซึ่งจักรพรรดิสวรรค์รุ่นแรกก็เป็นผู้สร้าง!
เมื่อใช้ "เทพจักรพรรดิเก้าโทสะ" ก็จะสามารถเพิ่มวรยุทธ์ชั่วคราว และจะไม่สร้างความเสียหายให้กับรากฐาน!
การฝึกฝนเคล็ดวิชาสามอย่างนี้ ต้องอาศัยวรยุทธ์แก่นวิญญาณขั้นหนึ่งเป็นพื้นฐาน วรยุทธ์แก่นวิญญาณของเสินหลิงตอนนี้คือขั้นสร้างฐานระยะปลาย เหมาะพอดีที่จะฝึกวิชานี้ได้!
แววตาของเสินหลิงเต็มไปด้วยความครุ่นคิด หลังจากใคร่ครวญสักพัก เขาก็ตัดสินใจเพิ่มวรยุทธ์แก่นวิญญาณอีกหน่อย แบบนี้ถึงจะฝึกเคล็ดวิชาสามอย่างนี้ได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ!
ส่วนวิธีเพิ่มพูนแก่นวิญญาณนั้น เสินหลิงก็คิดไว้แล้ว!
เพียงแค่ปลุกพลังนัยน์ตาโลหิตโบราณ ในชาติก่อนหลังจากเขาปลุกนัยน์ตาโลหิตโบราณ พลังแก่นวิญญาณก็เพิ่มพูนขึ้นไม่น้อยเลย!
หลังจากทุกอย่างชัดเจนแล้ว เสินหลิงก็ลุกขึ้นมุ่งหน้าไปยังหอหลิงซวีเพียงลำพัง!
สำนักเสินมีเก้ายอด หอหลิงซวีอยู่ที่ยอดเขาแรก!
ครึ่งเค่อต่อมา เสินหลิงก็มาถึงด้านนอกหอหลิงซวี
เสินหลิงจ้องมองดู หอหลิงซวีนี้กว้างใหญ่กว่าป้อมปราการใหญ่เสียอีก!
ในชาติที่แล้ว เขาสนใจที่จะขโมยหอนี้ไม่น้อยเลย ต่อมาลองอีกสองสามครั้งก็ไม่สำเร็จ จึงปล่อยวางไป
เพราะหอนี้พูดได้ว่าไม่ใช่ตึกสูง แต่เป็นสมบัติหายากของโลกมากกว่า
ชาติที่แล้วเสินหลิงมีนิสัยชอบสะสมของมีค่า จึงได้คิดถึงหอหลิงซวีตลอดมา
ทั้งหอหลิงซวีนี้ สลักขึ้นจากหยกขาววิญญาณที่มีเพียงในยุคโบราณ ขาวใสและโปร่งแสง
ยามอรุณรุ่งส่องแสง ยิ่งงดงามระยิบระยับ วิจิตรตระการตา
เสินหลิงมาถึงทางเข้าหอหลิงซวี ที่หน้าประตูมียามหยกขาววิญญาณสองตนที่แสนสวยงามผุดผ่องยืนอยู่
เสินหลิงก้าวเข้าไปในหอ ก็เห็นชายชราคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมเต๋าสีขาว นั่งหลับอยู่บนเก้าอี้หวายในหอ!
ชายชราผู้นี้ดูอายุราวห้าสิบกว่า ผมสีขาวพันรอบศีรษะ เสียบด้วยปิ่นไม้ ใบหน้าเหลี่ยม จมูกโด่ง ที่พิเศษที่สุดคือดวงตาสีม่วงดำ ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
คนผู้นี้ เสินหลิงรู้จัก เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสผู้สืบทอดมรดกทั้งเก้าของเสินถู ท่านผู้อาวุโสลำดับที่สอง ฮั่นเฉิงเต๋อ ตอนเด็ก ๆ เขาชอบเล่นกับเสินหลิงไม่น้อย
เสินหลิงก้าวยาวมาข้างหน้าชายชรา ค้อมเอวน้อมคารวะที่สุด กล่าวว่า "คารวะลุงฮั่น!"
"ไม่ใช่ว่าจะมาก่อเรื่องอีกแล้วกระมัง! ไม่เป็นไรหรอก พวกเราพวกคนแก่อยู่ที่นี่ แม้เจ้าจะเจาะรูฟ้า พวกเราก็จะหาทางอุดให้เจ้าเอง!" ชายชราทอดสายตาอันเปี่ยมรอยยิ้มมองเสินหลิง จากนั้นจึงหยอกล้อ
ชายชราเคยช่วยแก้ปัญหาให้เสินหลิงอยู่บ่อยครั้งตอนยังเด็ก จึงถามเช่นนี้ออกมา
"ลุงฮั่น ท่านเองก็คิดเรื่องดี ๆ ให้ข้าบ้างไม่ได้เลยหรือ?" เสินหลิงยิ้มแหย ๆ ด้วยสีหน้าขมขื่น
ใบหน้าเสินหลิงขื่นขม รู้สึกจนใจในใจว่า "ทำไมพอเจอข้าทีไร ก็คิดแต่ว่าข้าก่อเรื่อง แต่พอนึกถึงพฤติกรรมก่อนหน้านี้แล้ว ก็ไม่ว่าหรอกหากเขาจพคิดมาก"
เสินหลิงตอนเด็กนั้นหน้าตาน่ารักมาก ปากยิ่งหวานเป็นที่สุด เก่งในการเอาใจผู้ใหญ่
ผู้อาวุโสผู้สืบทอดมรดกทั้งเก้านี้ ล้วนเห็นเสินหลิงเติบโตมาด้วยกันทั้งนั้น จึงมองเสินหลิงเป็นเหมือนรุ่นหลานของตนเอง
ไม่ว่าเสินหลิงจะก่อเรื่อง หรือก่อเรื่องอีก หรือก่อเรื่องอะไรอีก ก็ล้วนจะปกป้องเสินหลิงสุดกำลัง
อีกอย่างมองเสินหลิงในชาติที่แล้วซี่งรู้จักแต่กินเที่ยว แต่เสินหลิงนั้นเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ดี หมักสุราได้ดีเลิศ ทำอาหารก็เยี่ยมยอด
เวลาเสินหลิงว่าง เขามักจะส่งสุราและอาหารให้เสินถู หงซวง เสินควง เสินเม่ย และผู้อาวุโสอื่น ๆ เสินหลิงเอาใจผู้อาวุโสเก่งมาก
ไม่นานมานี้ ผู้อาวุโสทั้งเก้าก็ทราบมาแล้วว่าเสินหลิงโดนเริ่นอ้าวเทียนเยาะเย้ยดูถูกในงานชุมนุมใหญ่หมื่นสำนัก
ทั้งเก้าคนก็พร้อมจะบุกเข้าไปในหอปรุงโอสถทันที พวกเขาปั่นป่วนหอปรุงโอสถให้ยุ่งเหยิงไปทั้งบนล่าง เพื่อแก้แค้นให้เสินหลิง จึงคลายโทสะลง
ใครจะรู้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ!
ปู่ของเสินเม่ยและปู่ทวดของเสินควงและเสินหลิง พอรู้เรื่องนี้ก็โกรธมาก ถึงกับออกจากการบำเพ็ญเพียรก่อนกำหนด แล้วไปตีหอปรุงโอสถในภพเซียนและภพเทพทั้งสองด้วยข้ออ้างไปเยี่ยมเยือน ทุบตีผู้อาวุโสและเจ้าสำนักในสองภพนี้อย่างสาหัส จากนั้นจึงหยุดมือ
"ลมอะไรพัดนายน้อยท่านนี้มาที่นี่กัน! จะไม่ใช่มาส่งสุรากับอาหารให้ข้าอีกนะ! ครั้งก่อนที่เจ้าเอามาให้ ข้ายังกินไม่หมดเลย!" ชายชราพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะ
"ไม่ใช่ขอรับ ข้าอยากเข้าหอเพื่อฝึกฝน" เสินหลิงมองไปที่ดวงตาของชายชรา แล้วอธิบาย
"อะไรนะ เจ้าจะฝึกฝน หูข้าฟังไม่ผิดใช่หรือไม่!" ชายชรามีสีหน้างุนงงอย่างยิ่ง มองไปที่เสินหลิง ราวกับจะมองว่าคนตรงหน้าคนนี้คือเสินหลิงจริง ๆ ไหม!
"ท่านผู้เฒ่าไม่ได้ฟังผิด ข้าตัดสินใจจะเอาชนะเริ่นอ้าวเทียน แล้วขึ้นสู่จุดสูงสุดของงานชุมนุมใหญ่หมื่นสำนักให้ได้" เสินหลิงกล่าวพร้อมประกายเย็นยะเยือกแวบวาวในดวงตา กำหมัดแน่นอย่างแอบเร้น
"ดี มีความมุ่งมั่น! ตอนนี้ดูเหมือนความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในงานชุมนุมใหญ่หมื่นสำนักครั้งก่อน ก็เป็นแรงกระตุ้นให้เจ้าอีกแบบหนึ่งนะ!" ชายชราลูบเคราที่คางเบา ๆ หัวเราะอย่างปลื้มปิติยิ่ง
"ลุงฮั่น ด้วยวรยุทธ์ของข้าในตอนนี้ จะเปิดการชะลอเวลาได้สูงสุดกี่เท่า!" เสินหลิงถามอย่างร้อนใจ มีแววร้อนรนปรากฏให้เห็นที่หางตาและคิ้ว
"วรยุทธ์ของเจ้ายังไม่เพียงพอจะเปิดการชะลอเวลา! เดี๋ยวข้าจะมาควบคุมการชะลอเวลาให้ แบบนี้จะเปิดได้มากสุดถึงสามเท่า และจะไม่มีผลกระทบต่อตัวเจ้าเองด้วย!" ชายชราตบหน้าอกแห้งที่มีเพียงโครงซี่โครงของตัวเองด้วยมือที่เต็มไปด้วยรอยย่น ทำท่าทีราวกับว่า มีข้าอยู่เจ้าก็วางใจได้
"ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนลุงฮั่นแล้ว ข้าจะเข้าไปแล้วนะขอรับ" เสินหลิงพูดจบ ก็ค้อมคารวะต่อคุณลุงฮั่นอย่างนอบน้อมที่สุด แล้วหมุนกายจะเดินจากไป
"หลิงเอ๋อร์ รอก่อน ข้าจะพาเจ้าไปห้องฝึกฝนส่วนตัว" ชายชราลุกจากเก้าอี้หวายอย่างช้า ๆ ก้าวเดินเข้าไปในหอด้วยท่วงท่าอันแช่มช้า เสินหลิงตามชายชรามาจนสุดชั้นหนึ่ง
เสินหลิงเห็นป้ายชื่อบนห้องฝึกฝน มีคำว่า "เสินหลิง" เขียนไว้ตัวโต ๆ
เขาในชาติที่แล้วกลับไม่รู้เลยว่าในหอหลิงซวีนี้ ยังมีห้องฝึกฝนส่วนตัวเตรียมไว้ให้ตนเองโดยเฉพาะแบบนี้ด้วย
"เฮ่อเฮ่อ เจ้าต้องไม่รู้แน่ ๆ ! ว่ายังมีห้องฝึกฝนส่วนตัวแบบนี้ใช่ไหม!" ฮั่นเฉิงเต๋อหัวเราะพูดพลางมองไปที่เสินหลิงซึ่งมีสีหน้าดูตกใจงงงวยอยู่บ้าง
"จริง ๆ แล้วห้องฝึกฝนนี้ เริ่มก่อสร้างตั้งแต่เจ้าเพิ่งถูกอุ้มมาสำนักเสินแล้วละ! ท่านพ่อเสินถูของเจ้าเป็นคนสร้างเอง แต่เสียดายที่ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ตั้งใจฝึกฝน ทิ้งร้างมาหลายปี" ชายชราส่ายหน้ากล่าว
"เข้าไปเถอะ! ถ้ามีเรื่องอะไรก็เรียกข้า ข้าจะรีบมาทันที ข้ายังต้องเฝ้าหอหลิงซวีต่อ" ชายชรากำชับเสินหลิง
"ถ้าอย่างนั้นข้าเข้าไปก่อนนะขอรับลุงฮั่น!" เสินหลิงกล่าวลาชายชรา ก้าวเดินเข้าไปในประตู แล้วหายลับไปในนั้น