บทที่ 2 ผู้ฝึกตนที่ใช้คะแนนเสน่ห์หมดไปแล้ว
หลินทิงไห่ลุกขึ้นยืน เดินช้าๆ ไปยังกระจกเงาประดับในห้อง
ในกระจกทองสะท้อนภาพของเด็กหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวปีศาจ!
ผมยาวสีแดงโลหิตวิหคปักษากระจายบนบ่าทั้งสองข้างอย่างอิสระ ผิวที่ขาวผ่องนั้นเนียนกว่าสาวน้อยเสียอีก
ทั้งนี้ ผิวพรรณยังส่องประกายสีแดงอ่อนอีกด้วย นั่นสอดคล้องกับสำนวนที่ว่า ขาวจนแดงระเรื่อ มีใบหน้ารูปเมล็ดแตงโมขนาดเล็กและบอบบางละเอียดอ่อน
บนหน้าผากมีลวดลายแปลกประหลาดของลายบุปผาสุริยันจันทรา นี่เป็นลวดลายที่ผสมกันของพระอาทิตย์และพระจันทร์
คิ้วก็ดำขลับหนา มีขนตายาวสวยงาม ดวงตาคู่งามดูเปล่งประกายมีชีวิตชีวา
ที่โดดเด่นที่สุดคือดวงตาสีแดงอันเย้ายวนชวนหลงใหล ม่านตามีสัญลักษณ์อัสนีสีฟ้า
ในดวงตายังมีสัญลักษณ์ดวงดาวสีฟ้าสุกสกาวอีกเก้าดวง
"ตาเต็มไปด้วยดวงดาวและมหาสมุทร งดงามจริง ๆ" หลินทิงไห่รู้สึกว่าสิ่งที่งดงามที่สุดในตัวเสินหลิงก็คือดวงตาคู่นี้แล้ว
มองลงต่ำมาคือสันจมูกโด่งโดดเด่น ริมฝีปากแดงอมชมพูโดยไม่ต้องแต่งแต้มใด ๆ ใบหน้าอันสมบูรณ์แบบซึ่งประกอบขึ้นด้วยโครงหน้าที่ไร้ตำหนิเช่นนี้ นี่เสินหลิงก็นับเป็นบุรุษหน้าตาดีเลิศจริง ๆ
หากกล่าวว่าผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์จะมีโชคชะตาสิบส่วน ใช้เก้าส่วนเพื่อฝึกฝนพรสวรรค์ ส่วนอีกหนึ่งส่วนใช้เพื่อรูปลักษณ์ภายนอก
เสินหลิงนี้ก็ถือเป็นผู้โชคดีที่มีโชคชะตาร้อยส่วน เพียงแต่เขาใช้โชคชะตาร้อยส่วนไปกับรูปลักษณ์ภายนอกหมด นี่เป็นผู้ฝึกตนที่ใช้คะแนนเสน่ห์ไปหมดแล้ว หากให้กล่าวถึงระดับวรยุทธ์ก็พอจะนึกภาพออก
หลินทิงไห่กลับมาที่เตียงต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์สร้างสรรพสิ่ง นั่งขัดสมาธิ ยกสองมือขึ้นฟ้า หลับตาลง กำหนดจิตใจให้ลงลึกไปเรื่อย ๆ
หลินทิงไห่ใช้แก่นวิญญาณตรวจสอบระดับวรยุทธ์ของตัวเอง สักพักจึงลืมตาขึ้น "เฮ้อ! จริงอย่างที่คิด สวยแต่รูปภายในไร้ประโยชน์"
หลินทิงไห่อดถอนหายใจกับตัวเองไม่ได้ "ฝึกปราณระดับแปด พลังแก่นวิญญาณกลับแกร่งกล้ามากอย่างผิดวิสัยเพราะการผสานของวิญญาณ ถึงกับไปขั้นสร้างฐานระยะต้นแล้ว ตัวเองมีรากวิญญาณขั้นต้นระดับเจ็ด ถ้าไม่ได้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์สร้างสรรพสิ่งบำรุงเลี้ยงมาทุกปี ยังมีผลไม้วิญญาณที่ท่านแม่หงซวงของเสินหลิงป้อนให้ทุกวัน เกรงว่าระดับรากวิญญาณอาจจะต่ำยิ่งกว่านี้"
"เฮ้อ ทั้งที่มีพรสวรรค์น่าตกใจขนาดนี้ แต่ในงานชุมนุมใหญ่หมื่นสำนักกลับทำให้สำนักเสียหน้าไม่เหลือชิ้นดี!" หลินทิงไห่ส่ายหน้าถอนหายใจ
หลินทิงไห่คิดว่าเสินหลิงนี่คงไม่เก่งเกม "ต่อสู้กับเจ้าของที่" แค่ไพ่ระเบิดคิงก็ยังแพ้เริ่นอ้าวเทียนได้
ทุกหนึ่งร้อยปี สำนักทั้งหลายจะจัดงานชุมนุมใหญ่หมื่นสำนักขึ้นครั้งหนึ่ง จุดประสงค์หลักในการจัดงานกันถี่ขนาดนี้ ก็เพื่อหวังให้การแข่งขันช่วยยกระดับความแข็งแกร่งของลูกศิษย์ในสำนัก ซึ่งนั่นก็จะยกระดับวรยุทธ์ไปด้วย เพื่อรับมือการรุกรานจากภพมาร
นี่คือเหตุผลแรก ส่วนเหตุผลที่สอง คือการจัดสรรสมบัติที่จักรพรรดิสวรรค์ทิ้งไว้
หลังจากงานชุมนุมใหญ่หมื่นสำนัก ก็จะได้รับรางวัลตามลำดับ เสินหลิงเพิ่งเข้าร่วมงานเมื่ออายุครบสิบห้า นั่นก็คือไม่นานมานี้
นับตั้งแต่การต่อสู้ครั้งนั้นเป็นต้นมา เสินหลิงก็มีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วใต้หล้า อย่างแรกเพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่ทำให้ผู้ฝึกตนทั้งแผ่นดินต้องหลงใหล ไม่ว่าชายหญิงล้วนหันมองหลายครั้ง
ประการที่สองคือการมีชื่อเสียงเป็นคนไร้ค่า สำนักเสินต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายเพื่อทำให้เสินหลิงมีระดับวรยุทธ์ชั่วคราวถึงเซียนอิสระระดับสอง เสินหลิงแม้จะสวมใส่อาวุธวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับไม่สามารถติดอันดับหนึ่งในร้อยได้
ชื่อเสียงที่สำนักเสินสะสมมาหลายล้านปีต้องมลายหายไปเพราะเสินหลิงเพียงชั่วข้ามคืน
อัจฉริยะเหนือโลกอันดับหนึ่งในงานชุมนุมใหญ่หมื่นสำนัก ดันเป็นเริ่นอ้าวเทียนผู้สืบสกุลของเริ่นฝานเฉิน เจ้าหอแห่งหอปรุงโอสถ และเริ่นอ้าวเทียนผู้นี้ยังชื่นชอบหลิวเยว่เอ๋อร์อย่างมาก เป็นธรรมดาที่เขาจะเต็มไปด้วยความเป็นศัตรูต่อเสินหลิง
ในรอบคัดเลือก ระหว่างที่เริ่นอ้าวเทียนต่อกรกับเสินหลิง เขาใช้เพียงกระบวนท่าเดียวก็เอาชนะเสินหลิงได้ แล้วยังเยาะเย้ยด่าทอเสินหลิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับของเสินหลิงทำให้ชื่อเสียงของสำนักเสินเสียหายอย่างหนัก
เจ้าสำนักรุ่นที่สาม เสินถู เพราะเรื่องนี้จึงบุกเข้าไปหาเรื่องก่อกวนวุ่นวายในหอปรุงโอสถด้วยข้ออ้างว่ามาฝึกปรือวรยุทธ์ จนกระทั่งพรรคพันธมิตรสังหารมารต้องออกหน้าเข้าแทรกแซง เสินถูจึงจำใจหยุดมือ!
"งานชุมนุมใหญ่หมื่นสำนักเพิ่งจบลงเมื่อเจ็ดวันก่อน นั่นแปลว่ายังมีเวลาอีกร้อยปีกว่าจะถึงงานครั้งต่อไป เริ่นอ้าวเทียน เริ่นฝานเฉิน ข้าจัดการพวกเจ้าในหอปรุงโอสถให้ได้ก่อนเริ่มงานชุมนุมใหญ่หมื่นสำนัก" หลินทิงไห่ประกาศด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยเจตจำนงสังหาร
เมื่อวิญญาณทั้งสองผสานรวมกัน เจตจำนงของเสินหลิงก็คือเจตจำนงของหลินทิงไห่
"สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเริ่มบำเพ็ญเพียร ร่างเทพสวรรค์โปรดปรานนี้ไม่ได้มีข้อดีมากนักในช่วงแรก ความเร็วและแรงผลักดันในการฝึกฝนก็ช้ามากด้วย" หลินทิงไห่ขมวดคิ้วพูดด้วยสีหน้าสิ้นหวัง
"ระดับวรยุทธ์ของข้ากับเริ่นอ้าวเทียน คิดเป็นขั้นใหญ่ก็ถือว่าต่างกันถึงเก้าขั้น ถ้านับขั้นเล็กแล้ว เริ่นอ้าวเทียนเป็นเซียนอิสระระดับสี่ ส่วนข้าอยู่ในช่วงฝึกปราณระดับแปด ขั้นเล็กของข้าถือว่าสูงกว่าเริ่นอ้าวเทียน แต่ระดับของเริ่นอ้าวเทียนนั้นเป็นเซียนอิสระ ซึ่งฝึกฝนยากที่สุด ส่วนข้าเป็นช่วงฝึกปราณซึ่งง่ายที่สุด มันแทบจะเทียบกันไม่ได้เลย!" หลินทิงไห่บ่นอุบอิบกับตัวเอง ดูทุกข์ร้อนใจมาก
หลินทิงไห่คิดในใจ "นี่ถ้าไม่ได้มีข้อดีที่ได้เกิดใหม่ จะไปพูดถึงการแก้แค้นได้อย่างไร ถ้ามีเวลาอีกสักสองสามร้อยปีก็ดีสิ แค่ให้สรวงสวรรค์มาบำรุงเลี้ยงอีกสองสามรอบ การไต่เต้าไปถึงเซียนอิสระน่าจะสบายมาก"
หลินทิงไห่ลูบลายบุปผาวิญญาณสุริยันจันทราบนหน้าผาก เขารู้ว่า "ของเล่นชิ้นนี้" สามารถทำให้เสินหลิงเกิดใหม่ได้
เดิมทีบนลวดลายบุปผาวิญญาณสุริยันจันทรา ทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์นั้นเต็มไปด้วยรัศมีแห่งแสงสว่าง
เพราะเสินหลิงได้เกิดใหม่ครั้งหนึ่งแล้ว มีเพียงลวดลายดวงอาทิตย์เท่านั้นที่ส่องสว่าง ส่วนลวดลายดวงจันทร์กลับมัวหม่น
"ตามสถานการณ์นี้แสดงว่า ลวดลายดวงอาทิตย์น่าจะทำให้เสินหลิงเกิดใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง" หลินทิงไห่คาดเดาอย่างกล้าหาญ สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้
หลินทิงไห่ขมวดคิ้ว คิดอย่างเศร้าโศกในใจว่า "ข้าจำเป็นต้องหยุดภัยพิบัติครั้งใหญ่นี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่แน่ว่าจะเป็นอย่างไร ครั้งแรกที่เสินหลิงเกิดใหม่ก็มีวิญญาณของข้าเพิ่มขึ้นมาด้วย ถ้าข้าตายอีกครั้ง ในการเกิดใหม่ครั้งต่อไปจะมีวิญญาณของคนอื่นเพิ่มเข้ามาอีกคนหรือเปล่า ภาพนี้งดงามเกินไป ไม่กล้าจะจินตนาการเลย แค่ร่างกายหนึ่งร่างกับวิญญาณสองดวงก็แออัดพอแล้ว ถ้ามาเพิ่มวิญญาณอีกดวง จะไม่ระเบิดเอาหรือไร ตั้งสามวิญญาณจะให้มาเล่นไพ่ต่อสู้ในร่างเดียวกันหรือ!"
"เอาเถอะ ยังไงก็ต้องฝึกฝนต่อไป ยิ่งเวลากระชั้นชิด ยิ่งต้องเร่งภารกิจ! ในตอนนี้ยังมีภารกิจเร่งด่วนที่สุดอีกอย่าง นั่นก็คืออีกหนึ่งเดือนก็จะถึงการแข่งขันภายในสำนักแล้ว ความคาดหวังเดิมของเสินหลิงคือการแสดงศักยภาพในการแข่งขันภายในสำนัก เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเขาไม่ใช่พวกไร้ค่า!" ดวงตาของหลินทิงไห่ฉายแววครุ่นคิด หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีแผนการในใจแล้ว
"พี่ชาย! ไม่ต้องห่วง! ความเสียใจทั้งหมดเมื่อชาติก่อนของเจ้า ข้าจะช่วยเจ้าเยียวยาให้หมด เจ้าเริ่นอ้าวเทียนนั่น ข้าจะเหยียบมันไว้ใต้ฝ่าเท้า! นับจากนี้ไป ไม่มีหลินทิงไห่อีกต่อไป เจ้ากับข้าสองคนรวมเป็นหนึ่งเดียว ต่อไปมีแต่เสินหลิงเท่านั้น" หลินทิงไห่เป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่แรก ไม่ได้มีอะไรผูกพันมากนัก ด้วยหลักการที่ว่ามาถึงแล้วก็ต้องทำใจ เขาจึงตัดสินใจที่จะตั้งรกรากอยู่ในสำนักเสินตั้งแต่บัดนี้
หลินทิงไห่ปรับตัวเข้ากับตัวตนใหม่ในฐานะเสินหลิงได้อย่างรวดเร็ว ต่อไปก็จะมีเพียงตัวตนของเสินหลิงเท่านั้น