ตอนที่แล้วตอนที่ 393 อสูรเพลิงทมิฬ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 395 ศัตรูที่แข็งแกร่ง

ตอนที่ 394 เมืองโกลาหลที่แปลกประหลาด (ฟรี)


ตอนที่ 394 เมืองโกลาหลที่แปลกประหลาด

จากนั้น ซูหยางก็ละความสนใจออกจากเรื่องนี้ และมุ่งความสนใจไปที่การล่าอสูรทมิฬอีกครั้ง

ตอนเย็นมาถึงในชั่วพริบตา ในเวลานี้ เจตจำนงทองคำของเขาก็สั่มสมได้มากพอตามที่ต้องการได้ สติของเขาจึงถูกดึงกลับมา หลังจมอยู่กับการล่าอสูรทมิฬเป็นเวลานาน

"เฮ้อ……"

ซูหยางหายใจออกอย่างหนัก และในที่สุดก็ถึงเวลาแล้ว

เมื่อมองดูแผงคุณสมบัติของตัวเอง เขาตระหนักได้ว่าหลังออกล่าอสูรทมิฬอย่างหนัก แต้มสังหารที่เขามีได้เพิ่มจำนวนดาวเคราะห์ชีวิตจนถึงสามแสนล้านดวงแล้ว นั่นทำให้ถึงขีดจำกัดของจ้าวแห่งเต๋าขั้นกลาง

หากเขาต้องการเพิ่มจำนวนดาวเคราะห์ชีวิตให้มากกว่านี้ ก็ต้องขยายขนาดของจักรวาลภายในเสียก่อน

เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เขาจะได้รับเจตจำนงทองคำ 300 ล้านดวงต่อวัน!

ในเวลาเดียวกัน แต้มสังหารที่เหลือ เขาก็ได้แลกเปลี่ยนมันเป็นผลึกกฎเต๋าเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของกฎ

ในปัจจุบัน หากเขาต้องการเพิ่มความคืบหน้าของระดับกฎหนึ่งในร้อยส่วนต้องใช้เจตจำนงทองคำ 30 ล้านดวง ถ้าแปลงเป็นแต้มสังหารก็เท่ากับ 30 ล้านเหมือนกัน

ด้วยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ เขาจะสามารถทะลวงผ่านเป็นจ้าวแห่งเต๋าขั้นสูงได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่นั่นเป็นเรื่องในอนาคตไม่ใช่ตอนนี้

เมื่อถึงตอนเย็น ซูหยางได้รับเจตจำนงทองคำ 15 ล้านดวง ซึ่งทั้งหมดถูกใช้ไปเพื่อควบแน่นรากฎ เขาได้รวบแน่นรากฎขั้นสองไปมากถึงหนึ่งหมื่นห้าพันเส้น แต่เมื่อเทียบกับขีดกำจัดบนที่สามแสนเส้นแล้ว มันยังขาดอีกมาก

อย่างไรก็ตาม หลังควบแน่นรากกฎเหล่านี้ ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก

แม้จะไม่รู้ว่าจะสามารถจัดการกับอสูรเพลิงทมิฬตนนั้นที่เทียบได้กับจ้าวแห่งเต๋าขั้นกลางที่ผสานกฎถึงสองพันได้หรือไม่ก็ตาม

แต่ซูหยางก็ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ว่ายังไงนี่ก็ไม่ใช่ร่างหลักของเขา ร่างโคลนมีความแข็งแกร่งเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น แค่จัดการกับอสูรทมิฬที่ผสานกฎนับพันก็ยากพออยู่แล้ว นี่มากถึงสองพัน การที่เขาจะไม่มั่นใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

รากกฎของเขามีไม่เท่าศัตรู หากชนะได้นั้นก็คงน่าแปลกใจจริงๆ

แม้จะรู้ว่ามีความเสี่ยง แต่หลังจากได้เห็นแกนกลางของดินแดนแห่งกฎแล้ว ซูหยางก็ต้องการชิงมันมาไว้ในมือให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อที่เขาจะได้มีดินแดนแห่งกฎอีกแห่ง และมันยังอยู่ในระดับสูงกว่าดินแดนชิงมู่อีกด้วย

ท้ายที่สุดแล้ว หลังการสำรวจมากทั้งวัน ยกเว้นหินขนาดยักษ์ก้อนนั้น เขาไม่พบสมบัติอื่นๆ อีก นั้นทำให้ความกังวลในใจของเขาเพิ่มสูงขึ้น

ถ้ามีสมบัติมาก มายเขาก็คงไม่สนใจนัก แต่หากมีเพียงสิ่งเดียว คุณค่าของมันก็จะสูงขึ้น บัดนี้สิ่งนี้อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แต่เขากลับเอามันมาไม่ได้

ซูหยางจึงแทบอดใจไม่ไหว เมื่อเห็นว่าใกล้จะมืดแล้ว เขาก็จะไปลองดู ไม่ว่าสำเร็จหรือไม่นั่นก็ไม่สำคัญ

หลังจากได้ลอง เดิมที เขาคิดว่าตนจะโชคดี คิดว่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก แต่ความเป็นจริงตบหน้าเขาอย่างแง เมื่อเกิดต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ร่างโคลนของเขาถูกสะกดข่มโดยศัตรูอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ใช่เพราะทักษะหลบหนีต่างๆ มากมาย ร่างโคลนคงถูกทำลายไปแล้ว

หลังจากหลบหนีมาได้ ซูหยางก็อดทนรอ เขาจะรออีกสองวัน เมื่อถึงตอนนั้นเขามั่นใจว่าจะสามารถสังหารอสูรเพลิงทมิฬตนนั้นได้ ตอนนี้ต้องปล่อยให้อีกฝ่ายได้ใจไปก่อน

ไม่ว่าเขาจะไม่เต็มใจแค่ไหน เขาก็ต้องอดทนเมื่อเผชิญกับผู้ที่แข็งแกร่งกว่า

ซูหยางหันกลับมา และจับจ้องไปที่อสูรทมิฬตนอื่นๆ ในพื้นที่รอบนอกอีกครั้ง ในเมื่อเขาไม่สามารถจัดการกับอสูรเพลิงทมิฬตนนั้นได้ เขาก็จะเปลี่ยนเป้าหมาย

ด้วยความคิดนี้ในใจ ซูหยางยังคงออกล่าต่อไปอีกสักพัก จากนั้นยามค่ำคืนก็มาถึง และโลกทั้งใบก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง

ในเวลาเดียวกัน ซูหยางก็รู้สึกถึงออร่าพิเศษที่แผ่ออกมาจากเมืองโกลาหล

หลังจากออร่านี้แพร่กระจายออกไป สีหน้าของซูหยางก็เปลี่ยนไปในทันที

เพราะในการรับรู้ของเขา โลกใต้ดินสั่นสะเทือนรุนแรงยิ่งขึ้น และดูเหมือนว่าอสูรทมิฬเหล่านั้นจะตื่นเต้นมากยิ่งกว่าเดิม!

นี่มัน!

นั้นทำให้ซูหยางอดคิดไม่ได้ว่าเมืองโกลาหลมีบางอย่างแปลกๆ จากออร่าที่มันปลดปล่อยออกมาเพื่อกระตุ้นอสูรทมิฬ!

หรือจะเป็นเจตนาที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถปกป้องเมืองได้สำเร็จ?

สักพักหนึ่ง ซูหยางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่จะต้องมีเหตุผลที่เขายังไม่เข้าใจซึ่งนำไปสู่สิ่งนี้

แม้จะไม่รู้อะไรแน่ชัด แต่เขาก็เลือกที่จะแจ้งข่าวให้จื่อหยางทราบ และเพิ่มมาตรการตอบโต้

ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาก็ทำได้เพียงกระตือรือร้นให้มากขึ้น ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับลิขิตสวรรค์แล้ว

ซูหยางไม่กล้าเสียเวลาอีก เนื่องจากเมืองโกลาหลกำลังจะล่มสลาย เขาจึงต้องคว้าโอกาสในทุกนาทีเพื่อสังหารอสูรทมิฬให้ได้มากที่สุด ยิ่งอสูรทมิฬตายไปมากเท่าไร แต้มสังหารในมือของเขาก็จะมากขึ้นเท่านั้น และสิ่งนี้แสดงถึงจำนวนทรัพยากรที่เขาจะได้รับ

ร่างโคลนได้ปิดกั้นทางออกของโลกใต้ดินอีกครั้ง และอสูรทมิฬหลายตนที่ออกมาก็ถูกเขาสังหาร

หลังจากที่เขาต่อสู้ไปได้สักพัก เขาก็ได้เห็นความน่ากลัวของอสูรทมิฬที่เพิ่มพูดขึ้น

ไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของพวกมัน

แต่เพราะกฎหลากหลายที่พวกมันฝึกฝน บางตนฝึกฝนกฎอัคคี บางตนฝึกฝนกฎพฤกษา และบางตนฝึกฝนกฎปฐพี ที่เขาจำแนกถึงเรื่องนี้ได้ก็เพราะสีผิวของพวกมันจะแตกต่างกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของอสูรทมิฬที่เขาเห็นก็ไม่ได้ต่ำ หลายตนเทียบได้กับจ้าวแห่งเต๋าขั้นกลางที่ผสานกฎถึงหนึ่งพันห้าร้อยข้อ

ด้วยความแข็งแกร่งเช่นนี้ พวกมันแข็งแกร่งรองลงมาจากอสูรเพลิงทมิฬที่ซูหยางเห็นเพียงเท่านั้น!

กล่าวอีกนัยหนึ่ง มีอสูรทมิฬหลายประเภทพอๆ กับจำนวนดินแดนแห่งกฎ

หลังมองไปได้สักพัก ซูหยางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะว่าอสูรทมิฬระดับนี้มีไม่มากนัก ส่วนอสูรทมิฬระดับล่าง พวกมันแข็งแกร่งขึ้นกว่าในคืนก่อนเพื่อเล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้การปกป้องเมืองอาจเป็นไปได้

มีอสูรทมิฬที่แข็งแกร่งไม่มากนัก อาจมีเพียงไม่กี่สิบตนเท่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของผู้ฝึกฝน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในการจัดการกับพวกมัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถจัดการกับพวกมันพร้อมๆ กันได้ก็ตาม แต่ต่อให้เสียเวลาสักพักนั้นก็ไม่สำคัญ

ตราบที่พวกเขาถ่วงเวลาจนสามารถผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ เมืองโกลาหลก็จะไม่ถูกทำลา

หลังจากอสูรทมิฬที่ทรงพลังกว่าสิบตนนี้ปรากฏตัวออกมา ก็ไม่มีอสูรทมิฬที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าปรากฏตัวขึ้น หากอิงจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน ศัตรูระดับนั้นคงยังไม่ถึงเวลาปรากฏตัว

อย่างไรก็ตาม ซูหยางกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับอีกสามแนวป้องกันของเมืองโกลาหล

เมื่อเขาอยู่ที่นี่ เขามั่นใจว่าจะสามารถต้านทานศัตรูไว้ได้ แต่เขาไม่รู้ว่าในอีกสามสนามรบจะเป็นอย่างไร

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีกองหนุนอยู่ ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ยังไม่ต้องเคลื่อนไหว เขาจึงไม่ได้กังวลอะไรมากเกินไป แค่ต้องรอผลลัพธ์ในคืนนี้เท่านั้น

ในเวลานี้ ซูหยางมีคำถามหนึ่ง นั่นคือ คืนพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น?

หากในคืนพรุ่งนี้ ออร่าพิเศษนั้นดึงดูดอสูรทมิฬที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ พวกเขาอาจต้านทานไม่ไหวจริงๆ

แต่ทำไมเมืองโกลาหลถึงปล่อยออร่าพิเศษนั่นออกมา?

ซูหยางรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก

ขณะที่ดวงอาทิตย์สีดำลับขอบฟ้า การต่อสู้ป้องกันเมืองครั้งที่สองของผู้ฝึกฝนโกลาหลก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ!

ณ แนวป้องกันของวิหารโกลาหล อสูรทมิฬเปิดการโจมตีอีกครั้ง แม้ว่าจำนวนอสูรทมิฬในคืนนี้จะน้อยลง แต่พวกมันแต่ละตนล้วนแข็งแกร่งขึ้น

ในการต่อสู้เพื่อปกป้องเมืองเมื่อคืนก่อน และการล่าในตอนกลางวัน จำนวนอสูรทมิฬที่ถูกสังหารในมีเพียงประมาณ 40,000 ตนเท่านั้น

จำนวนนี้มากกว่าจำนวนอสูรทมิฬที่ปรากฏตัวในคืนนี้มาก

อย่างไรก็ตาม อสูรทมิฬที่อ่อนแอที่สุดก็เทียบได้กับจ้าวแห่งเต๋าขั้นกลาง และไม่มีอสูรทมิฬระดับจ้าวแห่งเต๋าขั้นต้นสักตนเดียว

อย่างไรก็ตาม ไม่มีจ้าวแห่งเต๋าขั้นต้นคนใดได้เข้าร่วมการต่อสู้ พวกเขาถูกสั่งให้อยู่ในเมือง

ดังนั้นจำนวนผู้ฝึกฝนของวิหารโกลาหล จึงเหลือเพียงประมาณ 13,000 คนเท่านั้น

ซูหยางมองไปที่อสูรทมิฬที่พุ่งเข้ามาหา และยืนอย่างสงบอยู่หน้าสนามรบ

สำหรับเขา นี่เป็นงานฉลอง การอยู่ข้างหน้าจะทำให้มีโอกาสสังหารศัตรูได้มากกว่าคนอื่นๆ

เฉินเทียนเหิง เหรินเฉิงกง และคนอื่นๆ เลือกอยู่ใกล้ๆ เขาในคืนนี้ พวกเขาทุกคนได้รู้แล้วว่าซูหยางแข็งแกร่งมากเพียงใด เพื่อรับประกันความปลอดภัยของตัวเอง พวกเขาอยู่รอบๆ ตัวซูหยางโดยเว้นระยะห่างระดับหนึ่ง

หากพวกเขาตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตจริงๆ พวกเขาสามารถขอความช่วยเหลือจากซูหยาง นั้นเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสู้จนตายไปข้างกันศัตรูเพื่อเอาชีวิตรอด

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด