ตอนที่ 3 ชายที่ถูกเล่าลือ...
ทั้งสามคนเดินเคียงข้างกันออกจากร้านเกมและมุ่งหน้าสู่โรงเรียนศรีสตรี เวลานี้คือปลายเดือนเมษายน เป็นช่วงที่มีแดดแรงที่สุดของปี โดยปกติผู้หญิงส่วนใหญ่จะเดินถือร่มกันแดดเพื่อรักษาผิวพรรณของตัวเอง
แต่นั่นไม่ใช่สำหรับกิ่ง เธอเดินอย่างสบายๆ ภายใต้แสงแดด โดยมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ปรากฏบนหน้าผากของเธอ
หลังจากเดินไปได้ไม่ไกล โจ้เห็นลุงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่พื้นข้างถนน โดยใช้ร่างกายพิงกับเสาไฟเพื่อหลบแสงแดด
เขารู้สึกคุ้นตาลุงคนนี้เหลือเกิน แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน
เมื่อเห็นอาการนั่งอ่อนแรงอยู่ข้างถนนของอีกฝ่าย โจ้คาดเดาเอาเองว่าชายตรงหน้าคงจะไม่ได้กินอะไรมานาน
เขาจึงหยุดเดินและล้วงเอาแซนด์วิชในกระเป๋าออกมายื่นใส่มือของอีกฝ่าย…
ลุงเงยหน้าขึ้นมามองเขาสลับกับมองแซนด์วิชในมืออย่างงุนงง
“รับไปกินเถอะนะครับลุง” โจ้พูดพลางส่งรอยยิ้มให้
ลุงไม่ได้พูดอะไรตอบกลับ ทำเพียงหยิบแซนด์วิชที่ได้รับใส่กระเป๋าผ้า
เมื่อเห็นอีกฝ่ายรับของที่ตนให้แล้ว โจ้จึงเอ่ยปากขอตัว “ถ้างั้นผมไปก่อนนะครับ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วยนะครับลุง” เขาส่งยิ้มให้ชายวัยกลางคนอีกครั้งก่อนจะเดินออกมา
“นายก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ” กิ่งกล่าวขณะที่เดินข้างเขา
โจ้ยักไหล่ “พ่อสอนตั้งแต่เด็กน่ะว่าถ้าเจอใครที่ลำบากอยู่ หากช่วยเหลือได้ก็จงช่วยเหลือเขา”
“ถ้าอย่างงั้น...พอดีช่วงนี้ฉันกำลังช็อตซะด้วยสิ นายช่วยฉันสักสองสามร้อยได้ไหมเพื่อน?” เต้พูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อ
“เอามะเหงกฉันไปก่อนไหมล่ะไอ้เต้” โจ้พูดพร้อมกับยกกำปั้นใส่อีกฝ่าย หลังจากสิ้นเสียงเด็กทั้งสามก็หัวเราะออกมา...
ชายวัยกลางคนมองกลุ่มเด็กที่เดินจากไปพร้อมกับหยิบขวดโลหะที่บรรจุเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออกมาดื่มสองสามอึก โดยที่ใบหน้าของเขาเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ครู่ต่อมาเขาได้ลุกขึ้นและจัดการใช้สองมือปัดฝุ่นที่ก้น ก่อนจะเดินไปทางเดียวกับกลุ่มเด็กทั้งสาม…
เมื่อมาถึงหน้าโรงเรียนศรีสตรี เขาหยุดเดินและใช้สายตาหรี่มองภายใน จากนั้นเดินไปเคาะกระจกที่ป้อมยามข้างประตูพร้อมถามด้วยรอยยิ้มว่า “ขอโทษนะครับ ที่นี่รับสมัครภารโรงไหม…?”
ในเวลานี้โจ้ เต้และกิ่งเดินมาถึงหอพักเด็กใหม่ที่อยู่ฝั่งตะวันตกของโรงเรียนแล้ว ตัวอาคารเป็นตึกเก่าสามชั้นทาด้วยสีครีม สภาพแวดล้อมโดยรอบประกอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงา สร้างความรู้สึกร่มรื่น พร้อมกับมีม้านั่งหินอ่อนตั้งอยู่ตามมุมต่างๆ ให้คนมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ สร้างความน่าอยู่อาศัยให้กับอาคารแห่งนี้ไม่มากก็น้อย
โจ้จัดการเปิดประตูห้องพักและพบเข้ากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งเล่นเกมบนคอมพิวเตอร์ ใบหน้าไร้อารมณ์ของเขาจ้องมองหน้าจออย่างตั้งใจพร้อมกับขยับมือไปมาอยู่ตลอดเวลา
“โอ้โห...นายขนคอมมาเล่นถึงที่นี่เลยเหรอ?” เต้อุทานเมื่อเห็นสิ่งที่เพื่อนร่วมห้องคนใหม่นำมาอยู่หอ
ในการย้ายมาอยู่หอพัก ทั้งโจ้และเต้นำมาแต่ของที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันเท่านั้น โดยเต้เอามามากกว่าเขาอย่างเดียวนั่นก็คือโน้ตบุ๊คหนึ่งเครื่อง และเหตุนี้เองทำให้เด็กทั้งสองเริ่มเบื่อหน่ายการอยู่หอและชักชวนกันไปยังร้านเกมบริเวณใกล้เคียง
กิ่งรีบเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งเกมอยู่ทันที เธอที่ดูเคร่งขรึมมาโดยตลอด ในเวลานี้กลับแสดงอาการเริงร่าอย่างเห็นได้ชัด
“นายคือกายใช่ไหม?” เธอถามโดยไม่ได้มองหน้าของอีกฝ่าย แต่จ้องไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
กายทำเพียงพยักหน้าตอบรับ
กิ่งไม่สนใจอาการเฉยชาของอีกฝ่ายและถามต่อ “แล้วนายเล่นกับใครล่ะ...กดคนเดียวเหรอ?”
กายพยักหน้าตอบอีกครั้ง
กิ่งยังคงถามต่อไป “นายไม่กลัวเจอกับพวกที่กดมาเป็นตี้เหรอ?”
กายส่ายหน้าโดยจ้องหน้าจอแบบตาไม่กะพริบ
“มันแปลว่าอะไรเหรอเต้?” โจ้สะกิดถามเด็กหนุ่มด้านข้าง
“อธิบายง่ายๆ เลยก็คือ...ถ้ากดเริ่มเกมคนเดียวจะเรียกว่าโซโล่ ส่วนปาร์ตี้หรือเรียกย่อสั้นๆ ว่าตี้ ผู้เล่นจะกดเริ่มเกมมาด้วยกัน” เต้ตอบ
“อ๋อ...โซโล่ที่ใช้สามดาบปะ” โจ้พูดด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“นั่นแหละออกล่าวันพีชแล้วก็เดินหลงมาตีฮอน ถุย! นั่นโซโร” เต้พูดตบมุกให้อีกฝ่าย
ขณะที่คนทั้งสองพูดคุยกันเรื่องไร้สาระ กิ่งยังคงถามต่อไปเรื่อยๆ โดยที่กายจะพยักหน้าหรือตอบสั้นๆ ว่า ‘อืม’ เบาๆ เท่านั้น
ท่าทีนี้ของกายทำให้โจ้เริ่มไม่พอใจอีกฝ่าย ‘หมอนี้ไม่หยิ่งไปหน่อยเหรอ?’
โจ้มองมือของกายขณะใช้เมาส์คลิกอย่างต่อเนื่อง จากนั้นเลื่อนสายตาขึ้นไปมองใบหน้าและเห็นสีหน้าที่ดูมั่นอกมั่นใจจนน่าหมั่นไส้
“โจ้ ท่าทางเขาตอนนี้เหมือนกับนายตอนที่เล่นเกมตีตัวตุ่นเลยเพื่อน” เต้ก็กระซิบบอกเขา
โจ้แค่นเสียงหัวเราะ “ตอนที่ฉันตั้งใจเล่นเกมมีสีหน้าอวดดีแบบนี้เหรอ?”
“ก็ไม่รู้สินะ...” เต้ยักไหล่
ทันใดนั้นกายเริ่มกดเมาส์กับคีย์บอร์ดเร็วขึ้น โจ้หันไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์และเห็นคลื่นทรายกำลังพุ่งเข้าหากลุ่มตัวละครในเกม
“นายสู้ไฟต์นี้ไม่ไหวหรอก…” กิ่งเอ่ยปากทักท้วงกาย เสียงของเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความสับสน ทว่าในไม่ช้าน้ำเสียงก็เปลี่ยนไป
เสียงดังออกมาจากลำโพงคอมพิวเตอร์ ‘Triple Kills!’
แววตาของกายแสดงถึงความพึงพอใจ ในขณะที่โจ้ไม่เข้าใจอะไรเลย เขาเห็นข้อความที่มุมซ้ายล่างหน้าจอคอมพิวเตอร์เขียนว่า ‘GuyKs ได้กำจัดศัตรูต่อเนื่อง 3 ตัว!’
โจ้ไม่เข้าใจว่าในช่วงสิบวินาทีสั้นๆ นี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง และปฏิกิริยาของกิ่งก็ยิ่งทำให้เขาสับสนมากยิ่งขึ้นไปอีก
“สวย!” กิ่งตะโกนเสียงดังพลางเขย่าตัวกาย ท่าทางที่ดูกระดี๊กระด๊าของเธอต่างจากครั้งแรกที่พบกันราวกับคนละคน
โจ้ไม่เข้าใจว่าทำไมกิ่งถึงได้ดูตื่นเต้นมากนัก เพราะเขาเห็นเพียงคลื่นทรายวิ่งเข้าไปในกลุ่มตัวละคร และจากนั้นไม่นานพวกตัวละครก็ถูกกายสังหาร
“ทำไมนายถึงกล้าเข้าไปทั้งๆ ที่ไม่มี BKB ล่ะ?” กิ่งถามหลังจากหยุดแสดงอาการดีใจ
“เพราะฝั่งนั้นใช้สกิลหมดแล้ว” กายเริ่มพูดเป็นครั้งแรก
“อ๋อ...แปลว่าที่นายไม่ยอมเข้าไฟต์สักทีก็เพราะรอให้อีกฝ่ายใช้สกิลจนหมดสินะ” กิ่งพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“ใช่...และถ้าฉันไม่ถูกลาส ฉันจะฆ่าได้สี่ตัว” กายตอบด้วยท่าทางอวดดี
‘แปลว่าเขาเพิ่งเก็บสามได้ด้วยตัวคนเดียวสินะ’ โจ้พอจะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบ้างเล็กน้อยหลังจากฟังคนทั้งสองคุยกัน
ทันใดนั้นมีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น
“โคตรสวยเลย!” เต้ตะโกนออกมาบ้างแต่เสียงฟังดูแย่กว่ากิ่งเป็นร้อยเท่า
“ทั้งไทม์มิ่ง การจ่ายสกิลรวมถึงสกิลเพลย์ ทุกอย่างพอดีราวกับได้ถูกขีดเขียนเอาไว้...นายนี่เก่งเหมือน 5678 เลย” เต้วิเคราะห์พลางกล่าวชื่นชม
แม้ว่าโจ้จะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เต้พูดเท่าไรนัก แต่เขาก็รู้ว่าเต้กำลังพูดเวอร์เกินไป
ด้วยคำพูดที่เกินจริงของเต้มันได้ทำให้มุมปากของกายกระตุกยิ้มเล็กน้อย และตอนนั้นเองที่กิ่งยื่นมือของเธอมาหาเขา “ขอต้อนรับสู่ทีม HON ของโรงเรียนศรีสตรี”
กายยื่นมือไปจับกับมืออีกฝ่ายแล้วถามว่า “ไม่ต้องเทสฝีมืออะไรก่อนเหรอ?”
“ความเก่งของนายดีพอที่จะเป็นกัปตันทีมเราด้วยซ้ำ” กิ่งแสดงสีหน้ายิ้มแย้ม
“เล่นเก่งแค่อย่างเดียวเป็นกัปตันทีมไม่ได้หรอกนะ” กายพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
กิ่งสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับ “หวังว่าฉันจะมีคุณสมบัติการเป็นกัปตันทีมในสายตานายนะ”
“ถ้างั้นฉันจะคอยดู...” กายตอบอย่างเย็นชา
กิ่งพยักหน้าแล้วหันไปทางเต้ “นายบอกว่าเล่น HON ด้วยใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นช่วยเล่นให้ฉันดูแบบกายได้หรือเปล่า?”
เต้ตอบกลับด้วยความประหม่า “ฉันชินแต่กับการเล่นเป็นทีม ฉันเล่นโซโล่แบบนี้ไม่ได้หรอก” กิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่งและพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเรามา 1-1 กัน แสดงฝีมือของนายให้ฉันเห็นก็พอ”
“1-1 มันไม่ได้บอกอะไรมากหรอก เพราะสุดท้ายแล้วนี่คือเกมที่ต้องเล่นเป็นทีม” เต้พูดด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ
“แล้วนายจะแสดงฝีมือยังไงล่ะ?” โจ้เองก็ถามอย่างสงสัย
“ฉันมีวิธีแล้วกันน่า...” เต้พูดขณะจ้องไปที่คีย์บอร์ดและเมาส์ในมือของกาย