ตอนที่แล้วบทที่ 100 ไม่หนีก็ตาย 
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 102 ปราณมังกร!

บทที่ 101 โชคลาภครั้งใหญ่


“อวดดีนัก!”

“ช่างเป็นวาจาที่ไร้สาระสิ้นดี! วันนี้ข้าจะหลั่งเลือดเจ้าให้นองพื้น ล้างแค้นให้กับสหายข้า!”

เมื่อได้ยินถ้อยคำของหลัวเฉิง นักดาบทั้งสองรวมถึงผู้ที่สวมหมวกกุยเล้ยในแววตาก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน แล้วบุกเข้าไปพร้อมกันทันใด

หลัวเฉิงยกมุมปากขึ้นยิ้มเย้ยหยัน ก่อนก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า พร้อมกระบี่ในเมืองพุ่งสูงเหนือนภากาศ!

“สะบั้นเมฆา!”

ฉัวะ! ฉัวะ!

ก่อนที่สองนักดาบซึ่งวิ่งกรูเข้ามาจะทันได้โต้ตอบ ร่างพวกเขาก็ถูกสะบั้นขาดไปครึ่งท่อนทำเอาอวัยวะภายในทะลักออกมากระจัดกระจายอยู่ตามพื้น พร้อมเลือดที่สาดกระเซ็นอย่างน่าสยดสยอง

มีเพียงนักดาบสวมหมวกกุยเล้ยเท่านั้น ที่ตอบสนองได้เร็วที่สุด ทันทีที่ปราณกระบี่ฟาดฟันเข้ามาเขาก็ใช้ดาบของตนสกัดกั้นเอาไว้อย่างหวุดหวิด สีหน้าเผยให้เห็นความตกใจขณะแรงปะทะส่งร่างเขาล่าถอยบอกไปเจ็ดก้าว

“นี่มันอะไร!”

นักดาบผู้สวมหมวกถึงกับเบิกตากว้างตกตะลึงในทันใด สหายเขาสองคนเมื่อครู่อยู่ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับหนึ่ง แต่กลับถูกสังหารด้วยการฟันกระบี่เพียงครั้งเดียว!

ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสาม เขาถึงกับสะท้านตื่นกลัวแทบกระชับดาบไว้ไม่อยู่

“เจ้าแค่อยู่ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสอง จะมีพลังมหาศาลเช่นนี้ได้อย่างไร!”

นักดาบหมวกกุยเล้ยมองยังหลัวเฉิงด้วยความไม่อยากจะเชื่อระคนหวาดผวา

“ตาย!”

หลัวเฉิงขี้เกียจเกินกว่าจะกล่าววาจาให้มากความ ดังนั้นเขาจึงไหวกายไปข้างหน้าแล้วง้างหมัดหมายซัดเพื่อสังหาร

“ไปตายซะ!”

นักดาบแผดเสียงคำรามเกรี้ยวกราด พร้อมกับปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของตนออกมา มือพลันกระชับด้ามดาบฟาดฟันออกไปในทันใด

เสียงหมัดปะทะกับดาบดังสนั่น นักดาบสวมหมวกกุยเล้ยถึงกับคว้าดาบตนไม่อยู่ ทันทีที่ดาบนั้นหลุดจากมือมันก็เสียบเข้าลำคอของเขาอย่างฉับพลัน

ฉัวะ!

ครั้นปลายดาบเสียบเข้าที่ลำคอของนักดาบสวมหมวก มันก็ทะลุลำคอเขาจนโผล่ไปด้านหลัง ปรากฏปลายดาบโผล่ออกมาราวสิบชุ่น พร้อมกับเลือดที่ไหลหยดจากปลายมันอย่างต่อเนื่อง

ผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามธรรมดาทั่วไป เขาจะมีความแข็งแกร่งคล้ายดั่งเสือซึ่งมีกำลังมหาศาลราวหมื่นจิน!

นับแต่บ่มเพาะปราณแท้มังกร พละกำลังของหลัวเฉิงก็เพิ่มขึ้นอย่างน้อยหมื่นสองพันจิน เมื่อโจมตีผสานกับเพลงกระบี่ทะลายสวรรค์สี่กระบวน อาจกล่าวได้ว่าเขาสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามได้อย่างง่ายดาย

หลังจากลงมือสังหารทั้งสี่คนแล้ว หลัวเฉิงก็กวาดสายตาสังเกตพื้นที่โดยรอบ เมื่อพบว่าไร้ซึ่งผู้คนเขาก็นั่งขัดสมาธิเข้าฌานสมาธิ ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ตนออกมา แล้วเริ่มกลืนกินวิญญาณยุทธ์พวกเขาทันใด

ในบรรดาสี่คน นักดาบสวมหมวกกุยเล้ยเป็นผู้มีวิญญาณยุทธ์ระดับสูงสุด ซึ่งมันเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับสี่ดาว ส่วนอีกสามคนที่เหลือล้วนเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับสามดาวทั้งสิ้น

บูม!

หลังกลืนกินวิญญาณยุทธ์ของทั้งสี่ลงไปในคราเดียว หลัวเฉิงก็รู้สึกถึงปราณแท้อันมหาศาลที่พวยพุ่งออกจากร่าง โคจรรวดเร็วราวกับแม่น้ำสายหนึ่งที่เชี่ยวกราก หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อและเส้นลมปราณทั่วร่างทันที

ทันใดนั้น หลัวเฉิงก็รู้สึกชาที่หน้าอกตน ทั่วทั้งอวัยวะภายในคล้ายกำลังสั่นสะท้าน

มันเป็นเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อหลัวเฉิงลืมตาขึ้น สีหน้าเขาก็เผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ

ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสาม อวัยวะภายในแข็งแกร่งประดุจเหล็กกล้า!

ความรู้สึกเขาตอนนี้ ชัดเจนแล้วว่ามีปราณแท้กำลังหลั่งไหลเข้าสู่อวัยวะภายใน

หรือกล่าวให้ถูก เขาเหลืออีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นก่อนที่จะทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสาม!

“ตามที่คาดไว้ วิญญาณยุทธ์ของผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์นั้นมีพลังมากกว่าจริงๆ!”

ทันใดสีหน้าของหลัวเฉิงก็แสดงถึงความเสียดายเป็นที่สุด เมื่อนึกถึงเหล่าปรมาจารย์ของตระกูลหลินในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์หลายคนที่เขาได้สังหารในเมืองหนานเฉิงฟาง

หากเขากลืนกินวิญญาณยุทธ์ของคนเหล่านั้นทั้งหมด ก็คงได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามไปแล้วแท้ๆ

หลัวเฉิงส่ายศีรษะหยุดความคิด แล้วเริ่มค้นหาของมีค่าจากศพทั้งสี่ร่างนั้น

ซึ่งเมื่อนำเงินจากทั้งสี่คนมารวมกัน ก็เป็นโชคลาภครั้งใหญ่ เพราะมันมีเกือบล้านตำลึง

ในตอนนี้ หลัวเฉิงจึงมีเงินติดตัวมากมายเกือบห้าล้านตำลึง ซึ่งถือได้ว่าเป็นโชคลาภอันมหาศาลอย่างแน่นอน

“เมื่อไปถึงเมืองหลินเจียงข้าต้องไปซื้อโอสถ เพื่อทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามให้สำเร็จ อีกทั้งยังต้องเปลี่ยนกระบี่ใหม่อีกด้วย”

แม้นกระบี่เล่มนี้จะมีคุณภาพดีใช่น้อย แต่ก็หาใช่ศาสตราวุธระดับดาว เพราะพลังความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ น้ำหนักของกระบี่ยังคงไม่เพียงพอ

หลัวเฉิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย

“เจ้าบอกว่าตนเป็นหนึ่งในศิษย์สิบอันดับของสำนักเมฆาอัสนีงั้นหรือ อีกไม่นานเกินรอเราจะได้เห็นดีกันแน่!”

หลัวเฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเก็บสัมภาระของตนรีบเดินทางต่อในทันที

เมื่อเดินทางจวนถึงเวลาพลบค่ำ เมืองขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นมาในคลองจักษุ

เมืองแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าเมืองฉีซานมาตรว่าสิบเท่าเห็นจะได้ ทางด้านซ้ายก็เป็นมหานทีกว้างใหญ่ไพศาล เมื่อยามที่แสงสุริยันสาดส่องต้องยังประตูเมือง ก็ปรากฏอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้อย่างชัดเจน “เมืองหลินเจียง”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด