บทที่ 101 โชคลาภครั้งใหญ่
“อวดดีนัก!”
“ช่างเป็นวาจาที่ไร้สาระสิ้นดี! วันนี้ข้าจะหลั่งเลือดเจ้าให้นองพื้น ล้างแค้นให้กับสหายข้า!”
เมื่อได้ยินถ้อยคำของหลัวเฉิง นักดาบทั้งสองรวมถึงผู้ที่สวมหมวกกุยเล้ยในแววตาก็เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน แล้วบุกเข้าไปพร้อมกันทันใด
หลัวเฉิงยกมุมปากขึ้นยิ้มเย้ยหยัน ก่อนก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า พร้อมกระบี่ในเมืองพุ่งสูงเหนือนภากาศ!
“สะบั้นเมฆา!”
ฉัวะ! ฉัวะ!
ก่อนที่สองนักดาบซึ่งวิ่งกรูเข้ามาจะทันได้โต้ตอบ ร่างพวกเขาก็ถูกสะบั้นขาดไปครึ่งท่อนทำเอาอวัยวะภายในทะลักออกมากระจัดกระจายอยู่ตามพื้น พร้อมเลือดที่สาดกระเซ็นอย่างน่าสยดสยอง
มีเพียงนักดาบสวมหมวกกุยเล้ยเท่านั้น ที่ตอบสนองได้เร็วที่สุด ทันทีที่ปราณกระบี่ฟาดฟันเข้ามาเขาก็ใช้ดาบของตนสกัดกั้นเอาไว้อย่างหวุดหวิด สีหน้าเผยให้เห็นความตกใจขณะแรงปะทะส่งร่างเขาล่าถอยบอกไปเจ็ดก้าว
“นี่มันอะไร!”
นักดาบผู้สวมหมวกถึงกับเบิกตากว้างตกตะลึงในทันใด สหายเขาสองคนเมื่อครู่อยู่ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับหนึ่ง แต่กลับถูกสังหารด้วยการฟันกระบี่เพียงครั้งเดียว!
ในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสาม เขาถึงกับสะท้านตื่นกลัวแทบกระชับดาบไว้ไม่อยู่
“เจ้าแค่อยู่ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสอง จะมีพลังมหาศาลเช่นนี้ได้อย่างไร!”
นักดาบหมวกกุยเล้ยมองยังหลัวเฉิงด้วยความไม่อยากจะเชื่อระคนหวาดผวา
“ตาย!”
หลัวเฉิงขี้เกียจเกินกว่าจะกล่าววาจาให้มากความ ดังนั้นเขาจึงไหวกายไปข้างหน้าแล้วง้างหมัดหมายซัดเพื่อสังหาร
“ไปตายซะ!”
นักดาบแผดเสียงคำรามเกรี้ยวกราด พร้อมกับปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ของตนออกมา มือพลันกระชับด้ามดาบฟาดฟันออกไปในทันใด
เสียงหมัดปะทะกับดาบดังสนั่น นักดาบสวมหมวกกุยเล้ยถึงกับคว้าดาบตนไม่อยู่ ทันทีที่ดาบนั้นหลุดจากมือมันก็เสียบเข้าลำคอของเขาอย่างฉับพลัน
ฉัวะ!
ครั้นปลายดาบเสียบเข้าที่ลำคอของนักดาบสวมหมวก มันก็ทะลุลำคอเขาจนโผล่ไปด้านหลัง ปรากฏปลายดาบโผล่ออกมาราวสิบชุ่น พร้อมกับเลือดที่ไหลหยดจากปลายมันอย่างต่อเนื่อง
ผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามธรรมดาทั่วไป เขาจะมีความแข็งแกร่งคล้ายดั่งเสือซึ่งมีกำลังมหาศาลราวหมื่นจิน!
นับแต่บ่มเพาะปราณแท้มังกร พละกำลังของหลัวเฉิงก็เพิ่มขึ้นอย่างน้อยหมื่นสองพันจิน เมื่อโจมตีผสานกับเพลงกระบี่ทะลายสวรรค์สี่กระบวน อาจกล่าวได้ว่าเขาสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามได้อย่างง่ายดาย
หลังจากลงมือสังหารทั้งสี่คนแล้ว หลัวเฉิงก็กวาดสายตาสังเกตพื้นที่โดยรอบ เมื่อพบว่าไร้ซึ่งผู้คนเขาก็นั่งขัดสมาธิเข้าฌานสมาธิ ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ตนออกมา แล้วเริ่มกลืนกินวิญญาณยุทธ์พวกเขาทันใด
ในบรรดาสี่คน นักดาบสวมหมวกกุยเล้ยเป็นผู้มีวิญญาณยุทธ์ระดับสูงสุด ซึ่งมันเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับสี่ดาว ส่วนอีกสามคนที่เหลือล้วนเป็นวิญญาณยุทธ์ระดับสามดาวทั้งสิ้น
บูม!
หลังกลืนกินวิญญาณยุทธ์ของทั้งสี่ลงไปในคราเดียว หลัวเฉิงก็รู้สึกถึงปราณแท้อันมหาศาลที่พวยพุ่งออกจากร่าง โคจรรวดเร็วราวกับแม่น้ำสายหนึ่งที่เชี่ยวกราก หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อและเส้นลมปราณทั่วร่างทันที
ทันใดนั้น หลัวเฉิงก็รู้สึกชาที่หน้าอกตน ทั่วทั้งอวัยวะภายในคล้ายกำลังสั่นสะท้าน
มันเป็นเช่นนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อหลัวเฉิงลืมตาขึ้น สีหน้าเขาก็เผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ
ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสาม อวัยวะภายในแข็งแกร่งประดุจเหล็กกล้า!
ความรู้สึกเขาตอนนี้ ชัดเจนแล้วว่ามีปราณแท้กำลังหลั่งไหลเข้าสู่อวัยวะภายใน
หรือกล่าวให้ถูก เขาเหลืออีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้นก่อนที่จะทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสาม!
“ตามที่คาดไว้ วิญญาณยุทธ์ของผู้ฝึกยุทธ์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์นั้นมีพลังมากกว่าจริงๆ!”
ทันใดสีหน้าของหลัวเฉิงก็แสดงถึงความเสียดายเป็นที่สุด เมื่อนึกถึงเหล่าปรมาจารย์ของตระกูลหลินในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์หลายคนที่เขาได้สังหารในเมืองหนานเฉิงฟาง
หากเขากลืนกินวิญญาณยุทธ์ของคนเหล่านั้นทั้งหมด ก็คงได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามไปแล้วแท้ๆ
หลัวเฉิงส่ายศีรษะหยุดความคิด แล้วเริ่มค้นหาของมีค่าจากศพทั้งสี่ร่างนั้น
ซึ่งเมื่อนำเงินจากทั้งสี่คนมารวมกัน ก็เป็นโชคลาภครั้งใหญ่ เพราะมันมีเกือบล้านตำลึง
ในตอนนี้ หลัวเฉิงจึงมีเงินติดตัวมากมายเกือบห้าล้านตำลึง ซึ่งถือได้ว่าเป็นโชคลาภอันมหาศาลอย่างแน่นอน
“เมื่อไปถึงเมืองหลินเจียงข้าต้องไปซื้อโอสถ เพื่อทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสามให้สำเร็จ อีกทั้งยังต้องเปลี่ยนกระบี่ใหม่อีกด้วย”
แม้นกระบี่เล่มนี้จะมีคุณภาพดีใช่น้อย แต่ก็หาใช่ศาสตราวุธระดับดาว เพราะพลังความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ น้ำหนักของกระบี่ยังคงไม่เพียงพอ
หลัวเฉิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย
“เจ้าบอกว่าตนเป็นหนึ่งในศิษย์สิบอันดับของสำนักเมฆาอัสนีงั้นหรือ อีกไม่นานเกินรอเราจะได้เห็นดีกันแน่!”
หลัวเฉิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเก็บสัมภาระของตนรีบเดินทางต่อในทันที
เมื่อเดินทางจวนถึงเวลาพลบค่ำ เมืองขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นมาในคลองจักษุ
เมืองแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าเมืองฉีซานมาตรว่าสิบเท่าเห็นจะได้ ทางด้านซ้ายก็เป็นมหานทีกว้างใหญ่ไพศาล เมื่อยามที่แสงสุริยันสาดส่องต้องยังประตูเมือง ก็ปรากฏอักษรขนาดใหญ่เขียนไว้อย่างชัดเจน “เมืองหลินเจียง”