บทที่ 99 พวกเจ้าต้องชดใช้เป็นสองเท่า!
“ซุนหยิงหยาง!”
หลัวหงจ้องซุนหยิงหยางพลางกำหมัดกระชับแน่นโดยไม่รู้ตัว ด้วยความโกรธและชิงชังหยั่งรากลึกเข้าไปถึงกระดูกดำจนมิอาจปล่อยวางได้!
เหตุการณ์ในตอนนั้น มารดาของหลัวเฉิงถูกตระกูลจีพาตัวกลับไป หลัวหงจึงออกไปตามหานางโดยลำพัง ทว่าระหว่างทาง เขาก็ได้พบกับซุนหยิงหยางโดยบังเอิญ
ซุนหยิงหยางขอร้องให้หลัวหงช่วยเลือกสมุนไพร เมื่อก่อน ทั้งสองเคยเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันระหว่างฝึกฝนในสำนักเมฆาอัสนี ซึ่งเป็นธรรมดาที่ต้องมีไมตรีอันดีต่อกัน
แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็บังเกิด ในขณะที่หลัวหงกำลังคัดสรรสมุนไพรอยู่นั้น ซุนหยิงหยางก็ลอบโจมตีในขณะที่หลัวหงมิทันระวังตัว
เมื่อหลัวหงถูกอีกฝ่ายรอบโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ได้เอาชีวิตรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ทว่า รากฐานการฝึกฝนกลับถูกทำลายโดยสมบูรณ์ ทั้งกล้ามเนื้อและเส้นลมปราณขาดสะบั้น พานให้ระดับพลังยุทธ์ที่เดิมอยู่ในขั้นก่อเกิดชีพจร ร่วงหล่นสู่ขั้นเขตแดนลึกลับ นั่นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะกล้าไปเยือนตระกูลจีด้วยสภาพเช่นนี้!
“ท่านพ่อ ชายผู้นี้เป็นใครงั้นหรือ?”
บุรุษหนุ่มอาภรณ์ขาวเอ่ยถามซุนหยิงหยางด้วยสีหน้าฉงนใจ
ซุนหยิงหยางเหยียดยิ้มกล่าวว่า “ซวนหวู่ นี่คืออัจฉริยะที่ครั้งหนึ่งเคยโด่งดังในบรรดาลูกศิษย์ฝ่ายนอกของสำนักเมฆาอัสนีเรา ในตอนนั้นเขาโดดเด่นยิ่งกว่าพ่อเสียอีก ก็เช่นเดียวกับเจ้าในตอนนี้ เขาได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในสิบอัจฉริยะฝ่ายนอก ด้วยความสามารถที่ไร้ขีดจำกัด”
“โอ้ เช่นนั้นเองหรือ”
บุรุษหนุ่มชุดขาวคือซุนซวนหวู่ ซึ่งเป็นบุตรชายรองของซุนหยิงหยาง เขามองยังหลัวหงแล้วกล่าวน้ำเสียงเหยียดหยาม
“เขาแค่อยู่ในขั้นเขตแดนลึกลับระดับสาม แต่ท่านพ่ออยู่ในขั้นก่อเกิดชีพจรระดับหกแล้ว เช่นนี้เขาจะมีความสามารถเอาชนะท่านพ่อได้อย่างไร”
ซุนหยิงหยางเหยียดยิ้มกระหยิ่มขณะมองหลัวหง แล้วกล่าวว่า
“ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ศิษย์พี่หลัวหง ข้าไม่ได้พบท่านมานานหลายปีแล้ว…”
บูม!
รัศมีอันแข็งแกร่งแผ่ซ่านออกจากร่างของหลัวหงทันใด ยามนี้เขาแทบไม่สามารถระงับความเกรี้ยวกราดที่ปะทุขึ้นในใจได้
แต่เมื่อพบว่าหลัวเฉิงอยู่ข้างๆ หลัวหงก็สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบโทสะในใจ พานให้มือเกร็งกระชับแน่นจนสั่นสะท้าน
“พอเท่านี้ ข้าไม่อยากทำลายมิตรภาพระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง”
ซุนหยิงหยางขยับมุมปากยิ้มอย่างลำพองแล้วหันมองหลัวเฉิง
“นี่คงเป็นบุตรชายท่านและนายน้อยของตระกูลจี ข้าก็เคยได้ยินเรื่องของเขามาบ้าง”
“ฮ่าๆ เขาเป็นเด็กหนุ่มผู้น่าสงสารที่ปลุกวิญญาณยุทธ์ที่ไม่ถือกำเนิดขึ้นมา ซ้ำร้ายยังไร้ดาวแม้เพียงดวง ตอนแรกที่ข้าได้ยินข่าวนี้ รู้หรือไม่ว่าหูของข้าราวกับได้ยินเสียงฟ้าร้องเชียวล่ะ”
ซุนซวนหวู่แสดงสีหน้าประหลาดใจพลางกล่าวว่า “วิญญาณยุทธ์ที่ไร้ซึ่งดาวแม้เพียงดวง มีสิ่งไร้ค่าเช่นนี้อยู่ในโลกจริงหรือ”
ซุนหยิงหยางมองหลัวหงแล้วกล่าววาจาเย้ยหยัน “ศิษย์พี่หลัวหง ด้วยคุณสมบัติของบุตรชายท่าน ข้าเกรงว่า ในสามสำนักหลักคงไม่มีผู้ใดอยากให้ไปเป็นศิษย์เฝ้าประตูสำนักอย่างแน่นอน”
“อย่าได้กล่าวหาว่าข้านั้นแล้งน้ำใจ ตอนนี้ข้าเป็นผู้อาวุโสของสำนักเมฆาอัสนีฝ่ายนอก หากว่าท่านเอ่ยขอร้องข้าอย่างนอบน้อม ข้าสามารถให้โอกาสแก่บุตรชายท่านเข้าร่วมกับสำนักเมฆาอัสนี ในฐานะศิษย์รับใช้สำนักก็เป็นได้”
“พอแล้ว!”
ใบหน้าของหลัวหงเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ซุนหยิงหยาง อย่ารังแกคนอื่นให้มากนัก! หากเจ้าดูถูกฆ่า ข้าก็พอจะทำเมินเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้ แต่หากดูถูกหลัวเฉิงบุตรชายข้าอีกครั้ง ข้าจะสู้กับเจ้าให้ตายกันไปข้าง!”
ฮึ่ม!
ซุนหยิงหยางสูดจมูกอย่างเย็นชา แล้วแผ่รัศมีอันแข็งแกร่งที่ราวกับจะกดพื้นให้เป็นหลุมด้วยแรงกดดันอันมหาศาล ทำเอาหลัวหงถึงกับล่าถอยหลายก้าวพร้อมหน้าอันซีดเซียว
ซุนหยิงหยางมองหลัวหง ด้วยแววตาของผู้เหนือกว่าแล้วกล่าวน้ำเสียงหยามหมิ่น
“แล้วหากว่าข้าต้องการรังแกเจ้าเล่า! เจ้ายังหลงผิดคิดว่าตนนั้นเป็นอัจฉริยะผู้โดดเด่นของสำนักที่สามารถบงการชีวิตข้าได้หรืออย่างไร? ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงแค่คนพิการเท่านั้น! เจ้ารู้หรือไม่! คนพิการ! คนพิการ! ถ้าไม่…”
ซุนหยิงหยางเหมือนคล้ายจะสัมผัสอะไรได้บางอย่าง จนน้ำเสียงต้องชะงักขาดหาย
หลัวเฉิงมาพยุงร่างของบิดาเขา ความโกรธแค้นในใจก็พลันปะทุดุจดั่งภูเขาไฟระเบิด ดวงตาเพ่งยังซุนหยิงหยางและบุตรชายเขา ก่อนกล่าวน้ำเสียงทุ้มลึก
“ข้าจะจำเรื่องราวที่เกิดในวันนี้ไว้ วันหน้าข้าจะให้พวกเจ้าต้องชดใช้เป็นสองเท่า!”
ฮ่าฮ่า!
ซุนซวนหวู่หัวร่อแล้ว “ไอ้เด็กเหลือขอ เจ้ากล้าดีอย่างไรมากล่าววาจาเหลวไหลต่อหน้าข้า”
“ฮ่าฮ่า เจ้าคงไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของข้าผู้นี้ ข้าเป็นถึงหนึ่งในสิบอัจฉริยะของศิษย์ฝ่ายนอกสำนักเมฆาอัสนี แค่คนเช่นเจ้า ข้าสามารถสังหารได้ด้วยนิ้วเดียวเท่านั้น”
“เจ้าคนไร้ค่านี่ ช่างกล่าววาจาไร้ยางอายยิ่งนัก ฮ่าๆ”
เมื่อได้ยินวาจาของหลัวเฉิง ลูกศิษย์สำนักเมฆาอัสนีอีกสองคนก็สายศีรษะพลางหัวเราะ
“เอาล่ะ เราไปกันเถอะ”
ซุนหยิงหยางมิได้ใส่ใจต่อน้ำเสียงของหลัวเฉิง ทันทีที่เขาขยับปลายเท้า ร่างก็พริ้วกายไปยืนอยู่บนหลังของวิหคยักษ์อย่างรวดเร็ว
เมื่อทุกคนขึ้นไปบนหลังของวิหคยักษ์กันครบแล้ว ซุนหยิงหยางก็เตรียมจะจากไปทันที
ทันใดนั้น หลัวหงก็ถามอย่างกะทันหันว่า “ซุนหยิงหยาง มีคนสั่งให้เจ้าทำเรื่องเช่นนี้หรือ?”