บทที่ 85 ตามติด
หนุ่มขี้เมาคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลินเป่ย
เขาแอบตามเซียอันมาตลอดทางจนถึงศาลาเล็กๆ ในป่าแห่งนี้ ตั้งใจว่าจะเข้าไปหาขุนนางหนุ่มและถามคำถามบางอย่าง อย่างไรก็ตาม หลินเป่ยกลับเห็นขุนนางหนุ่มนั่งลงในศาลานั้น ราวกับว่ากำลังรอคอยใครบางคน
ใบหน้าของหลินเป่ยฉายแววเจ้าเล่ห์ทันใด
ผู้ที่คิดเหมือนกันย่อมมีความผูกพันลึกลับต่อกัน หลินเป่ยรับรู้ได้ว่าขุนนางหนุ่มผู้นี้ย่อมเป็นคนเจ้าชู้เช่นกัน
เขาแอบหลบมาแถวนี้อย่างจงใจเพื่อรอพบใครบางคน.. เขานัดหมายมาพบคนรักสาวหรือ
เดินเข้าป่าหลังดื่ม... ตามติด แอบดู...
ชุดคำหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ ทำให้หลินเป่ยหยุดชะงักอยู่กับที่ แทนที่จะตรงเข้าไปหาเซี่ยอัน หลินเป่ยกลับยืนนิ่ง เขาต้องการดูว่าขุนนางหนุ่มกำลังทำอะไรหรือรอใครอยู่
เซียอันก็เป็นผู้บ่มเพาะเช่นกัน แต่ระดับการบ่มเพาะของเขาไม่ได้สูงมากนัก ดังนั้นเขาจึงมักจะพึ่งพาการปกป้องของอาจารย์ลู่อยู่เสมอ ถึงอย่างนั้น เซียอันไม่คิดว่าจะมีอะไรสำคัญเกิดขึ้นและได้ให้ลู่ไปจัดการเรื่องอื่น ซึ่งนั่นเป็นโอกาสให้หลินเป่ยได้ตามเซียอันมาได้ถึงเพียงนี้ หากอาจารย์ลู่อยู่ด้วย หลินเป่ยคงไม่สามารถตามเซี่ยอันได้ง่ายๆ
หลังจากนั้นเสี่ยหู่ก็เดินเข้าไปในศาลาแต่ก็ไม่ได้เจอหลินเป่ย
นั่นเป็นเพราะว่าเสี่ยหู่ไม่ใช่ผู้บ่มเพาะแต่เป็นนักต่อสู้ และประสาทสัมผัสของนักต่อสู้ก็สามารถรับรู้ถึงการไหลของพลังลมปราณและเสียงได้ดีกว่า กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขามีประสาทสัมผัสที่ไวต่อการเคลื่อนไหวของร่างกายมากกว่า
ดังนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะมีระดับการฝึกอันสูงส่ง แต่เสี่ยหู่ก็ไม่ได้สังเกตเห็นหลินเป่ยเช่นกัน นั่นเป็นเพราะว่าหลินเป่ยได้แอบซ่อนตัวและกลั้นหายใจอยู่พักหนึ่งก่อนที่เสี่ยหู่จะมาถึง
เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นที่กำลังพบกับเซียอันนั้นเป็นชายร่างกำยำ หลินเป่ยก็แปลกใจ
เขาต้องนัดพบกันอย่างลับๆ เช่นนี้เพราะมันเป็นเรื่องชายรักชายงั้นหรือ
หลินเป่ยเริ่มรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้แอบฟังเรื่องราวที่ผู้ชายทั้งสองคุยกันไม่นาน เขาก็พบว่าพวกเขาทั้งสองคุยเรื่องแปลกๆ บางอย่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าไว้วางใจ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจินตนาการไว้ก่อนหน้า
ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าการสนทนาของพวกเขาจบลงแล้ว หลินเป่ยตั้งใจหันหลังและจากไปก่อน
ช่วงเวลานี้เองที่หลินเป่ยได้ก้าวถอยหลัง เสี่ยหู่จึงรู้สึกถึงการปรากฏของหลินเป่ยและรีบพุ่งเข้าไปด้วยความตั้งใจที่จะฆ่า
หลินเป่ยบอกได้ว่าระดับการฝึกฝนของเสี่ยหู่สูงกว่าของตัวเองมาก การพยายามหลบหนีจึงไม่น่าจะเป็นผลดี เขาต้องการหนทางอื่น จิตใจของเขาวิ่งเร็วเท่าสายฟ้า เขาฉลาดปราดเปรื่องอย่างฉับพลันทันทีเมื่อเขาอยู่ในวิกฤตการณ์ หลังจากค้นหาความทรงจำของเขา หลินเป่ยตัดสินใจที่จะพึ่งพาทักษะที่เขาเชี่ยวชาญมาตลอดหลายปีและ...
ในชั่วพริบตาต่อมา เขาก็ถอดกางเกงของเขาออก
บังเอิญที่หลินเป่ยดื่มเหล้าไปเยอะก่อนหน้านี้ เขาต้องทำเพียงแค่หรี่ตา แล้วแกล้งทำเป็นเมามาย ดังนั้นเมื่อเสี่ยหู่พบหลินเป่ย สิ่งที่เขาเห็นก็คือชายขี้เมาซึ่งกำลังปลดทุกข์
หลินเป่ยได้เปรียบกว่าด้วยการลงมือเป็นฝ่ายแรก โดยเสียงตำหนิของเขาที่มีต่อเสี่ยหู่ดังกระหึ่ม สีหน้าที่เต็มไปด้วยจิตสังหารของเสี่ยหู่แข็งทื่อไปชั่วขณะแล้วจึงเปลี่ยนไป
เสี่ยหู่จึงตะโกนเสียงเข้มสวนไป "ใครบอกเจ้าว่าเจ้าจะถ่ายที่ใดก็ได้อย่างใจนึกแบบนี้ สกปรก"
"บ้าเอ้ย.." หลินเป่ยด่าแล้วรูดกางเกงขึ้นเดินจากไป "ไอ้บ้านี่มาขัดคนกำลังขี้ได้อย่างไร ตัวดูเหมือนนักเลง แต่ทำเป็นมีกิริยาทางสังคมเสียนี่.."
หลินเป่ยเดินจากไปอย่างนั้นเลย เขาด่าไปด้วยขณะเดิน หลังจากที่เขาเดินหายไปแล้ว หลินเป่ยยังคงแกล้งทำต่อไปแล้วเช็ดมือกับกางเกง
เสี่ยหู่มองไปที่หลินเป่ยที่หายลับไปในระยะไกล หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ความตึงเครียดอันโหดที่หว่างคิ้วของเสี่ยหู่ก็ค่อยๆ สลายไป
เซียอันเดินเข้ามาหาเสี่ยหู่และถาม "มีอะไรหรือ"
"ไม่มีอะไร" เสี่ยหู่ส่ายหัว "แค่คนเมา"
จากนั้นชายทั้งสองกลับไปที่ห้องจัดเลี้ยงแยกกัน และปฏิบัติตามหน้าที่ทางสังคมของตนราวกับว่าพวกเขาไม่รู้จักกันเลย..
...
เมื่อกินเลี้ยงเสร็จ เซียอันก็รีบกลับไปยังคฤหาสน์ของเขา อาจารย์ลู่รอคอยเขาอยู่ก่อนแล้ว
"เป็นอย่างไรบ้าง" เซียอันเอ่ยถาม
"นางผู้นั้นแท้จริงคือปีศาจปลาคาร์พ ทันทีที่ลงน้ำก็หนีหายไปฉับพลัน ข้าใช้วิชาแทงด้วยกระบี่ระยะสิบกว่าลี้ ไม่รู้ว่าตายหรือไม่ แต่ได้สั่งคนให้ล้อมหาไว้ทั้งคืนแล้ว หากตายคงจะได้ศพขึ้นมา" ท่านอาจารย์ลู่ตอบ
"เมื่อวานท่านเพิ่งจัดการกับนางไปมิใช่หรือ ท่านไม่รู้ได้อย่างไรว่านางคือปีศาจ" เซียอันดุด่าพลางรู้สึกไม่พอใจนัก
“ไม่ว่าจะเป็นคนหรือปีศาจชั้นต่ำ มันช่างอ่อนแอเสียจนข้าแทบแยกไม่ออก นอกจากนี้ นางก็มิได้ปล่อยกลิ่นอายของปีศาจออกมา จึงยากมากที่จะบอกได้ว่านางเป็นปีศาจ” อาจารย์ลู่อธิบายอย่างใจเย็น “นอกจากนี้.. หากท่านให้ข้าฆ่านางเสียตั้งแต่ตอนนั้น ก็คงไม่สำคัญแล้วว่านางจะเป็นคนหรือปีศาจ”
ขุนนางหนุ่มอึ้งไปชั่วขณะ
เขาได้ช่วยชีวิตหลิวเสี่ยวหยูไว้จริงแต่ใครจะไปคาดคิดว่าจะกลายมาเป็นเช่นนี้ และเขาก็ไม่สามารถที่จะตำหนิอาจารย์ลู่ได้
"เอาล่ะ ปีศาจตนนั้นโดนเพลงกระบี่ของเจ้าฟันไปแล้วนางคงอยู่ไม่ได้หรอก แม้จะยังไม่ตาย แต่ปีศาจกระจอกอย่างนางจะคงเปิดเผยความลับของพวกเรามิได้" เซียอันกล่าว
เขาไม่รู้ว่าจะตั้งใจให้คำพูดเหล่านั้นเพื่ออาจารย์ลู่ หรือจะใช้โน้มน้าวตัวเอง แต่เขาก็พูดออกมาอยู่ดี..
อาจารย์ลู่กล่าวลาแล้วจากไป
เซียอันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วรู้สึกโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาใช้เงินจำนวนมาก เพื่อซื้อกู่ฉินรูปว่าวนั้นไปให้กับซูหลิงเสวีย แต่สุดท้ายเขาก็โดนชายหนุ่มจากนิกายฉูซานแย่งความสนใจไป แล้วพอสายกู่ฉินขาดเขายังมาโจมตีข้าอีก ทั้งยังกล่าวหาว่ากู่ฉินที่ข้ามอบให้ซูหลิงเสวี่ยนั้นเป็นของปลอมอีกต่างหาก
ข้าไม่ได้ต่อว่าคนผู้นั้นสักคำ ข้าเป็นอะไรไป.. ข้ายอมแพ้ได้ง่ายๆ และยอมรับผิดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับกู่ฉินงั้นหรือ..
และมีเหตุการณ์นั้นของปีศาจที่หลบหนี...
เหตุการณ์ไม่ดีซ้ำๆ เหล่านี้ทำให้ขุนนางหนุ่มโกรธมากราวกับว่าหน้าอกของเขาจะระเบิดจากความโกรธ หากว่าชูเหลียงไม่ใช่ศิษย์นิกายชื่อดัง เซี่ยอันคงจะอยากระบายความโกรธด้วยการขอให้อาจารย์ลู่ฆ่าชูเหลียงในคืนนั้นเลย
แต่น่าเสียดายที่เซี่ยอันทำได้เพียงระงับความโกรธที่เกิดขึ้นล่าช้าของตนลง ด้วยตัวตนของชูเหลียง การฆ่าลูกศิษย์ของนิกายฉูซาน เขาจะต้องพุ่งเข้าไปเผชิญกับอันตรายครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
เซี่ยอันประกาศกับพื้นที่ว่างเปล่า "ไม่ต้องเร่งรีบ ซูหลิงเสวี่ย อย่างไรเสีย เจ้าก็ต้องเป็นของข้า!"
...
วันถัดมา เซียอันไปที่คฤหาสน์ของตระกูลหลี่อีกครั้งและขอพบกับซูหลิงเสวี่ย
เซียอันเป็นตัวแทนของขุนนางสกุลจื่อซาน ดังนั้น ซูหลิงเสวี่ยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะจัดเวลาเพื่อพบเขา
เมื่อนั่งตรงข้ามกับเซียอัน แม่นางซูที่หน้าตาขาวผ่องถามอย่างนุ่มนวล "คุณชายเซีย มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่"
เซียอันนั่งนิ่งเฉยหลงใหลความงามของซูหลิงเสวี่ย
จากนั้นเซียอันก็ยิ้มอย่างสุภาพและกล่าวว่า "เมื่อวานนี้ข้าได้กลับไปและสอบถามกับพ่อของข้าเกี่ยวกับกู่ฉิน พ่อของข้าไม่คิดเลยว่ากู่ฉินไม้จันทน์หอมทรงว่าวซึ่งท่านได้มาด้วยราคาที่สูงลิบลิ่วจะเป็นของปลอม และมันยังทำให้มือของเจ้าบาดเจ็บอีกด้วย.. ท่านได้กำชับข้าให้มาขอโทษต่อคุณเจ้า"
นี่คือกลยุทธ์ที่เซียอันคิด เขาพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการอธิบายไปแล้ว ทุกคนเชื่อว่ากู่ฉินรูปว่าวงามทำจากไม้จันทน์เป็นของปลอมไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงควรยอมรับความผิดพลาด จากนั้นเขาสามารถใช้เป็นข้ออ้างเพื่อพบกับซูหลิงเสวี่ยเป็นการส่วนตัว เซียอันกำลังถอยหลังเพื่อก้าวต่อไป
"ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ" ซูหลิงเสวี่ยตอบด้วยรอยยิ้ม "อย่างไรก็ตาม ข้าเองก็เป็นผู้บ่มเพาะ บาดแผลเล็กน้อยเช่นนั้นไม่มีผลใดต่อข้าเลยเจ้าค่ะ”
"แม่นางซู เจ้าช่างใจกว้างยิ่งนักที่กล่าวเช่นนั้น แต่ข้าอดรู้สึกผิดมิได้ ในฐานะผู้มาขอโทษ ข้าได้เช่าเรือสำราญและอยากเชิญท่านไปทานอาหารด้วยกัน ไปชมแม่น้ำเฉินหนานด้วยกันกับข้านะ" เซี่ยอันเสนออย่างใจกว้าง
เมื่อชายคนหนึ่งพยายามถามผู้หญิงสักคนออกไปข้างนอก เขาจะต้องทำอย่างเป็นธรรมชาติและไม่แสดงเจตนาแอบแฝงใดๆ โดยเฉพาะในระยะแรกของการรู้จักกัน ถ้าผู้ชายรีบรุดเข้าหาผู้หญิงคนหนึ่งและชวนเธอไปทานข้าวเย็น อาจทำให้เธอรู้สึกว่าเขาค่อนข้างก้าวร้าวเกินไป และก่อให้เกิดความกังวลอื่นๆ ตามมา
อย่างไรก็ตาม เซียอันเชี่ยวชาญด้านนี้ เขาสามารถเปลี่ยนเรื่องราวให้กลายเป็นโอกาสที่เขาจะเข้าใกล้หญิงสาวที่เขาเลือกได้อย่างราบรื่น โดยไม่มีวี่แววของเจตนาแอบแฝงหรือคำพูดหรือการกระทำที่ออกนอกลู่นอกทาง
เมื่อซูหลิงเสวี่ยตกลงรับคำเชิญอย่างมีความสุข เซียอันมั่นใจว่าเขาจะสามารถหาเหตุผลเพื่อหาการพบกันครั้งที่สองได้ระหว่างการพบกันครั้งแรก หากเขาย้ำกระบวนการนี้อีกครั้ง ไม่ช้าก็เร็ว เธอจะเริ่มชินกับการมีเขาอยู่ จากนั้นเมื่อเธอรู้ตัวว่าเขากำลังทำอะไร ก็จะสายเกินไปแล้ว เพราะเธอจะตกหลุมรักเขาเข้าเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม คำชวนที่แสนราบรื่นของเซียอันก็ยังทำให้ซูหลิงเสวี่ยส่ายหัวปฏิเสธอยู่ดี
"ขออภัยเจ้าค่ะ" ซูหลิงเสวี่ยปฏิเสธ "วันนี้ข้ามีนัดแล้ว"
"อืม" เซียอันพึมพำ เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามว่า "คนจากหนานเหมินหรือ พวกเขาเป็นใครเหตุใดจึงได้มารบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้าเช่นนี้ ข้าไปขอให้พวกเขายกเลิกนัดได้นะ.. แม่นางซู หากข้ามิได้ขอโทษเจ้าอย่างจริงใจ ข้าคงจะอยู่ไม่เป็นสุขและกินไม่ได้หลับไม่ลง ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจะไปบอกท่านพ่อได้อย่างไรว่าข้าทำตามที่เขาขอมิได้”
"เขาไม่ได้มาจากเมืองหนานเหมิน เขาเป็นผู้บ่มเพาะแห่งฉูซานเจ้าค่ะ" ซูหลิงเสวี่ยตอบขณะที่เงยหน้าและมองออกไปนอกประตู
ขณะที่ซูหลิงเสวี่ยพูด ชูเหลียงก็ปรากฏตัวขึ้น ชายหนุ่มหล่อเหลาและสง่างามโดดเด่นยืนอยู่หน้าประตู
"ท่านเซียอัน ท่านก็มาเยี่ยมท่านซูด้วยหรือขอรับ" ชูเหลียงกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่นและอ่อนโยน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเซียอันมองไปที่ใบหน้ายิ้มแย้มของชูเหลียง คลื่นแห่งความโกรธก็พุ่งเข้ามาในตัวเขา เขาอยากจะต่อยใบหน้าที่น่าหมั่นไส้นั่นมาก ความรู้สึกเกลียดชังใหม่เพิ่มเข้ามาในความเกลียดชังเขามีอยู่เดิม
เซียอันขบกรามแน่นแล้วจึงเอ่ยถาม “ท่านชูเหลียง ท่านนัดพบกับแม่นางซูไว้หรือ”
"ใช่แล้วขอรับ" ชูเหลียงตอบพร้อมพยักหน้า
สายตาของเขามองไปทางซูหลิงเสวี่ย หลังจากครุ่นคิดสักครู่ชูเหลียงก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
ขุนนางหนุ่มผู้นี้ชัดเจนว่ามีความตั้งใจเชิงชู้สาวต่อแม่นางซู เขาโผล่มาเมื่อวานพร้อมกับของขวัญที่ใช้เงินไปจำนวนไม่น้อย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะเข้าหาเธอในวันนี้เพื่อเชิญชวนเธอไปกับเขา
ในความเป็นจริงแล้ว ชูเหลียงมีนัดพบกับซูหลิงเสวี่ยในวันนี้จริง แต่เป็นเพียงการนัดหมายเพื่อการพูดคุยสั้นๆ ดูเหมือนว่าซูหลิงเสวี่ยจะใช้นัดพบกับเขาเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธคำเชิญของขุนนางหนุ่มผู้นี้ อย่างไรก็ตาม ชูเหลียงต้องการพูดคุยกับซูหลิงเสวี่ยเพื่อขอความช่วยเหลือจากเธอ เขาจึงคิดว่าเขาควรจะช่วยเธอแบกรับความขุ่นเคืองใจของขุนนางหนุ่มผู้นี้
แต่... เขาคงคิดว่าข้าที่แย่งความสนใจเขาไปเมื่อวาน แล้วทำให้ชื่อเสียงเขาเสียด้วยการบอกเป็นนัยว่าเขาให้ของปลอมแก่ซูหลิงเสวี่ย แล้ววันนี้ข้าก็ยังมาแย่งหญิงที่เขาหมายปองไป.. ขุนนางหนุ่มผู้นี้คงเกลียดข้ามากขึ้นไปอีก
เฮ้อ
"ท่านชู..." เซียอันเริ่มกล่าว
แววตาของเขาแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่าหมองหม่น เขาต้องการขอให้ชูเหลียงออกไปเพื่อจัดตารางเวลาให้กับซูหลิงเสวียในวันนี้
หากชูเหลียงไม่ยอมร่วมมือ...
พวกเราอยู่ในเมืองหนานเหมิน มิใช่ในฉูซาน!
ในเมืองหนานเหมินนี้จะมีใครกล้าหักหน้าข้าหรือ!
ถ้าชายคนนี้ยังจะคอยยั่วยุข้าไปเรื่อยๆ ข้าก็จะสะสางบัญชีเก่าบัญชีใหม่กับเขาพร้อมกันเลย!
เมื่อเห็นแววตาอันโหดเหี้ยมของเซียอัน ชูเหลียงก็พอจะเดากันออกว่าเซียอันอยากจะพูดสิ่งใด
ชูเหลียงรีบหักข้อมือแล้วชี้ไปที่เซียอันอย่าลับๆ
คาถาปัดเป่าความขชั่วร้าย
คาถาเดิมถูกใช้กับเซียอันในทันที โชคดีที่ระดับการบ่มเพาะของเขามิได้สูงเท่าชูเหลียง ดังนั้นคาถาขับไล่ความชั่วร้ายจึงมีผลเป็นครั้งที่สอง
สายตาของเซียอันมืดมัวแต่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดมหาศาล ราวกับว่าพวกเขากำลังต่อสู้ด้วยดาบที่ชักออกและลูกธนูที่ง้างเตรียมพร้อมแล้ว...