บทที่ 100 ไม่หนีก็ตาย
เนื่องจาก ที่พวกเขาพบกันในวันนั้นมันเป็นเรื่องบังเอิญ อีกทั้ง เขาและซุนหยิงหยางก็หาได้มีความบาดหมางกันแต่อย่างใด
“ก็ถ้าใช่แล้วจะทำไม ในสภาพที่เป็นคนเพียงครึ่งเช่นเจ้าจะสามารถทำอะไรได้กัน? หรือต้องการให้บุตรชายไร้ค่าของเจ้ามาแก้แค้นกันเล่า?”
เอี๊ยงงง!
หลังซุนหยิงหยางทิ้งวาจาเยาะเย้ยไว้เช่นนั้น วิหคยักษ์ก็คำรามเสียงแหลมระคายหู พร้อมกระพือปีกอย่างรุนแรงสองสามครั้งก่อนบินผ่านไป กระแสลมที่ถูกพัดจากปีกมหึมาของมัน สร้างความปั่นป่วนไปทั่วห้วงอากาศโดยรอบ
วืด! วืด! วืด!…
ด้วยมวลอากาศที่ถูกอัดกระแทกร่าง พานให้หลัวเฉิงถึงกับต้องล่าถอยอย่างต่อเนื่อง
ม้าดำสองตัวตกใจตื่นกลัวจนทำเอาน้ำดีถึงกับพุ่งออกจากปากและจมูก ทันใดพวกมันก็ล้มลงบนพื้นนอนแน่นิ่งสิ้นลมอย่างฉับพลัน
“เฉิงเอ๋อร์ ออกจากเมืองหลินเจียงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณสองถึงสามร้อยลี้ จากนี้ไปเจ้าต้องเดินทางไปที่นั่นด้วยตนเองแล้ว”
หลัวหงมองออกไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ด้วยแววตาท้อแท้ ไม่ช้าเขาก็เริ่มย่างเท้าเข้าสู่เมืองด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อยใจ
“ท่านพ่อ……”
หลัวเฉิงมองยังแผ่นหลังอันหน้าหดหู่ของบิดาตน ก่อนกำหมัดกระชับแน่นแล้วมองยังทิศทางที่วิหคยักษ์บินหายลับไป
“ซุนหยิงหยาง ซุนซวนหวู่!”
สองนามนี้แทรกออกมาจากช่องฟันของหลัวเฉิงอย่างเยือกเย็น
บูม!
หลัวเฉิงชกก้อนหินขนาดใหญ่ใกล้เคียงตนจนแตกเป็นเสี่ยงๆ โดยไม่รอช้า ร่างเขาก็พริ้วไหวทะยานไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เพียงลำพัง
ด้วยการเพิ่มความเร็วจนถึงขีดสุด หลัวเฉิงวิ่งยางเดือดดาลท่ามกลางหุบเขา แม้นใบหน้าจะได้รับกับแรงลมที่พัดผ่านอย่างหนาแน่น แต่กระนั้นก็มิอาจดับไฟแค้นที่ปะทุในใจของเขาได้
ภายในใจเต็มไปด้วยเสียงร่ำคำรามร้อง!
แข็งแกร่งขึ้น!
ต้องแข็งแกร่งขึ้น!
ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด!
สักวันหนึ่ง เขาจะทำให้ซุนหยิงหยางและบุตรชายเขาคุกเข่าต่อหน้าบิดาตน แล้วยอมรับในความผิดพลาดที่พวกเขาได้กระทำในครั้งนี้!
หลัวเฉิงพุ่งร่างลงจากหุบเขาด้วยพลังทั้งหมด หลังผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม หนทางก็เริ่มเข้าสู่ที่ราบและเต็มไปด้วยความเปียกชื้น
หลัวเฉิงรู้ในทันใดว่าเขาใกล้บรรลุถึงเมืองหลินเจียงแล้ว จึงเบาฝีเท้าลงแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ
ทันใดนั้น ก็มีหลายร่างปรากฏตัวออกมาจากบริเวณป่าใกล้เคียง
นักดาบผู้สวมหมวกกุยเล้ยกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “น้องชาย เจ้ากำลังจะไปที่เมืองหลินเจียงใช่หรือไม่? พวกเราก็จะไปที่นั่นเช่นเดียวกัน เจ้าอยากเดินทางไปพร้อมกับเราหรือไม่?”
หลัวเฉิงไม่ต้องการเดินทางล่าช้าจึงกล่าวต่อไปด้วยท่าทางสงบ “ต้องขออภัย ข้าชอบเดินทางเพียงลำพังเท่านั้น”
“นี่น้องชาย พี่สาวเกรงว่าเจ้าคงไม่เคยได้ยิน ว่าถนนสายนี้นั้นเต็มไปด้วยโจรร้ายชุกชุม ดังนั้นทุกคนเลยคิดว่าการเดินทางด้วยคนจำนวนมากย่อมปลอดภัยกว่า”
สตรีนางหนึ่งกล่าวแทรกขึ้น แล้วเดินเข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เบื้องหลังนางมีอีกสามคนเดินเข้ามาพร้อมกันอย่างไม่ห่างนัก
หลัวเฉิงมองยังหญิงสาวผู้นั้น แล้วเหยียดยิ้มเยือกเย็น “ข้าเกรงว่าคนที่จะเดือดร้อนคือพวกเจ้ามากกว่า! รีบไสหัวไปซะ!”
สตรีนางนั้นพลันสะดุ้งเฮือก ก่อนริมฝีปากแดงสดของนางจะยกขึ้นปรากฏรอยยิ้ม นางค่อยๆ สืบเท้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่ขณะกำลังจะเผยอเอ่ยปาก
ทันใดนั้น
ฉึก!
ก็มีแสงกระบี่วาวเย็นปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน แล้วปลายกระบี่ก็จมเข้าไปในลำคอของสตรีนางนั้นจนทะลุออกไปด้านหลัง ที่คอของนางอาบเยิ้มไปด้วยเลือดที่ยังคงหลั่งไหลอย่างต่อเนื่อง
หญิงสาวเบิกตากว้างราวกับไม่อยากจะเชื่อ ว่าตัวนางไฉนต้องมาตายเช่นนี้!
ท่ามกลางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้อีกสามคนแสดงสีหน้าตกตะลึงทันใด
“รนหาที่ตาย!”
ดวงตาของนักดาบเปลี่ยนเป็นแดงก่ำด้วยบันดาลโทสะ
พวกเขาสี่คนคอยดักปล้นผู้คนที่ผ่านไปมาเส้นทางนี้ โดยเลือกเฉพาะนักเดินทางที่ดูค่อนข้างอ่อนแอเท่านั้น เมื่อเห็นว่าหลัวเฉิงเดินทางเพียงลำพัง ซ้ำยังไม่มีสัตว์พาหนะ พวกเขาจึงได้เข้าใจผิดคิดว่าหลัวเฉิงเป็นผู้สัญจรที่ไร้ประสบการณ์
แต่ไม่คาดคิด ชายหนุ่มผู้นี้กลับสังหารสหายเขาไปหนึ่งคนอย่างรวดเร็ว!
“ฆ่า!”
ด้วยเสียงคำรามที่อัดแน่นความเกรี้ยวกราด นักดาบผู้สวมหมวกกุยเล้ยพร้อมกับอีกสองคนก็พุ่งเข้าหาหลัวเฉิงทันที
หลัวเฉิงชักกระบี่ของตนออกมาทันใด แววตาทอดมองอีกสามร่างที่ทะยานเข้าหา แล้วกล่าวน้ำเสียงเย็นชาอำมหิต
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่หนีไป ก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่!”