ตอนที่ 41 ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปด
ตอนที่ 41 ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปด
อวิ๋นเมิ่งวิ่งมาหาหลินมู่หน้าแดงก่ำ
หลินมู่ยิ้มรับพร้อมเดินเข้าไปหา
ทันทีที่เข้าใกล้ หลินมู่ถึงกับตกใจ เขาตระหนักถึงขอบเขตยุทธ์ของอวิ๋นเมิ่งในทันที ไม่พบกันเพียงไม่นาน ขอบเขตยุทธ์ของอวิ๋นเมิ่งกลับทะยานขึ้นหลายขั้น บัดนี้เป็นถึงขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเจ็ดแล้ว ความเร็วในการฝึกเช่นนี้ทำให้หลินมู่ถึงกับอ้าปากค้าง
ผู้มีวิญญาณธาตุคู่ช่างน่าอิจฉา หลินมู่จำได้ว่าตนเองเมื่อก่อนก็ใช้เวลาสองเดือนเศษในการทะลวงสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเจ็ด แต่ตอนนั้นตนเองเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นห้าอยู่แล้ว
ในเวลาสองสามเดือน อวิ๋นเมิ่งก็จากขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสี่ไปสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเจ็ด
หลินมู่ไม่รู้ว่าควรจะบอกว่ายาผนึกวิญญาณนั้นมีผลดี หรือควรจะชื่นชมพรสวรรค์ของอวิ๋นเมิ่งดี
หลินมู่กล่าวชม “ไม่เจอกันหลายวัน ขอบเขตยุทธ์ของศิษย์น้องพุ่งสูงขึ้น ตอนนี้เป็นถึงขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเจ็ดแล้ว ข้าขอแสดงความยินดีด้วย”
อวิ๋นเมิ่งรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย “เกือบสามเดือนต่างหากที่ไม่ได้เจอกัน!” จากนั้นก็ยกยิ้มดีใจ “ยาผนึกวิญญาณของศิษย์พี่ได้ผลดียิ่งแล้ว!”
คำพูดนี้ไม่ผิดแต่ก็ถูกเพียงครึ่งเดียว ยาดีมีผลดีจริง แต่ความพยายามของนางก็ขาดไม่ได้ สองเดือนกว่ามานี้ อวิ๋นเมิ่งขยันฝึกฝนทุกวัน กินความลำบากไม่น้อย นางเข้าสำนักไม่นาน ขอบเขตยุทธ์ก้าวหน้าพอใช้ได้ แต่เทียบกับศิษย์พี่มู่ชิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยังห่างไกลนัก นางไม่สนใจการต่อสู้แต่ก็ไม่อยากล้าหลัง หลินมู่ให้ยาแก่นาง ในสายตานางคิดว่าเขาตำหนิขอบเขตยุทธ์ของตนต่ำเกินไป หลังจากฝึกฝนอย่างหนักสองเดือน เมื่อออกสู่โลกภายนอกอีกครั้งและได้พบเจอหลินมู่ ก็อดไม่ได้ที่จะดีใจ
คำชมของหลินมู่ยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าความเหนื่อยยากไม่สูญเปล่า
หลินมู่ยิ้ม “ศิษย์น้องมีพรสวรรค์ แม้ไม่มียา ขอบเขตยุทธ์ก็ต้องเลื่อนเข้าสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ดในไม่ช้า ยาผนึกวิญญาณที่ข้าให้เจ้าถือว่าเป็นการเสริมส่งเท่านั้น”
อวิ๋นเมิ่งลอบยกยิ้มในใจ ก่อนจะพูดกับหลินมู่ว่า “ศิษย์พี่มาถึงยอดเขาตะวันออก มาที่เรือนของข้านั่งเล่นสักครู่ได้หรือไม่?”
หลินมู่ยิ้มบาง “เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว ทิวทัศน์อันงดงามในเรือนของเจ้ายังคงอยู่ในความทรงจำข้า”
อวิ๋นเมิ่งนำทาง หลินมู่เดินตาม ทั้งสองคนเดินเข้าไปในเรือนของอวิ๋นเมิ่ง
ทันทีที่เข้าประตู กลิ่นหอมของดอกไม้และต้นหญ้าก็โชยมา หลินมู่รู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูก
มาถึงห้องของอวิ๋นเมิ่ง เขานั่งลงที่โต๊ะ อวิ๋นเมิ่งรีบชงชาหอม กลิ่นหอมเข้มข้น ลอยอยู่ในห้องไม่จางหายไปนาน
หลินมู่จิบเบา ๆ พร้อมกล่าวชม “ชาดี! หอมฟุ้ง สดชื่น กลมกล่อม”
“ถ้าศิษย์พี่ชอบ ข้าจะให้ท่านเพิ่ม ชานี้เป็นชาวสันต์ น้ำที่ใช้ต้มชาเป็นน้ำค้างยามเช้า ใบชาข้าคัดสรรอย่างดี น้ำค้างก็เก็บอย่างระมัดระวัง” เห็นหลินมู่ชอบจริง อวิ๋นเมิ่งจึงยิ้มกว้างขึ้น
“ของอร่อยกินมากไม่ดีแล้ว” หลินมู่ยิ้ม “ชาดีก็ดื่มมากไม่ได้ ศิษย์น้องอย่าได้มือเติบยกให้ข้า ตัวข้าฝึกตนอยู่ในเรือนเท่านั้น ชานี้ฟุ่มเฟือยเกินไป ศิษย์น้องเก็บไว้เองเถอะ ถ้าคิดถึงทีหลัง ข้าจะมาบ่อย ๆ หวังว่าตอนนั้นศิษย์น้องจะไม่หวงนะ”
อวิ๋นเมิ่งหน้าแดงพร้อมก้มหน้า “ศิษย์พี่มาได้ทุกเมื่อ ชานี้ข้าเก็บไว้ให้ท่าน”
หลินมู่หยิบถ้วยขึ้นมาดื่มหมดแล้วยิ้ม “ได้! มีคำพูดเจ้า ต่อไปตกอับ ก็ไม่ต้องห่วงไม่มีที่ไป”
หลินมู่วางถ้วยลง หยิบยาผนึกวิญญาณห้าสิบขวดจากแหวนเก็บของแล้ววางบนโต๊ะ เขายิ้มกว้าง “ยาผนึกวิญญาณพวกนี้ให้เจ้าหมดเลย ในสำนักกำลังมีพายุ จงฝึกฝนให้หนัก จึงจะมีพลังป้องกันตัวเองได้”
อวิ๋นเมิ่งรีบพูด “ศิษย์พี่เก็บกลับไปเถอะ ข้ารับยาของท่านอีกไม่ได้ ท่านเก็บไว้ใช้เองเถอะ” น้ำเสียงของนางหนักแน่น
นางรู้ว่าหลินมู่มีรากวิญญาณห้าธาตุ พึ่งพายามากกว่านางมากนัก
หลินมู่ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวอย่างใจกว้างว่า “เรื่องอื่นข้าไม่กล้าพูด แต่ยาเม็ดนี้ ข้ามีเยอะแยะ พวกเจ้าไม่ต้องกังวลที่จะกินมัน ถ้าไม่พอก็มาหาข้าได้”
อวิ๋นเมิ่งน้ำตาคลอเบ้า “ทำไมศิษย์พี่ถึงดีกับข้าขนาดนี้?”
หลินมู่ชะงักไปครู่หนึ่ง รู้ว่าอวิ๋นเมิ่งเข้าใจผิดในความหมายของตน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ การดีกับผู้อื่นโดยไม่มีเหตุผล มักจะทำให้คนคิดมาก
“ข้าไม่ได้ดีกับเจ้า ข้าเพียงแค่ต้องการปกป้องความบริสุทธิ์และความเมตตา” หลินมู่ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
นี่คือความคิดที่แท้จริงของหลินมู่ อวิ๋นเมิ่งมีจิตใจที่บริสุทธิ์และเมตตา ในสำนักที่เต็มไปด้วยคนร้ายกาจเช่นนี้ หากขอบเขตการฝึกฝนไม่แข็งแกร่งเพียงพอก็จะถูกดึงเข้าไปสู่วังวนแห่งปัญหาได้ง่าย
ขอบเขตการฝึกฝนที่แข็งแกร่ง อย่างน้อยก็สามารถช่วยให้นางปกป้องตนเองและทำในสิ่งที่นางต้องการได้
อวิ๋นเมิ่งเงียบไป แก้มแดงระเรื่อขึ้นมา
“มีเวลาว่างค่อยเจอกัน ข้ากลับก่อนนะ ตั้งใจฝึกฝนล่ะ” หลินมู่ยิ้มแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ประตู
อวิ๋นเมิ่งพยายามรั้งเขาไว้แต่ไม่สำเร็จจึงเดินตามออกมาส่ง
มองดูแผ่นหลังของหลินมู่ที่ค่อย ๆ หายไป อวิ๋นเมิ่งพิงประตูด้วยแววตาสุกใสราวดวงดาว
หลินมู่เดินไปยังยอดเขาตะวันตกด้วยฝีเท้าที่เบาและรวดเร็ว
ตลอดทาง เขานึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับมู่ชิงและอวิ๋นเมิ่ง
ในบรรดาศิษย์หญิง ทั้งสองคนนี้มีความสนิทสนมกับเขามากที่สุด แต่ในสองคนนี้ หลินมู่รู้สึกชื่นชมมู่ชิงที่มีความงามที่สุดในสำนัก แต่ก็รู้สึกหวาดระแวงนางมากกว่า นางเป็นหญิงสาวที่มีทั้งเล่ห์เหลี่ยมและความงาม หลินมู่ไม่กล้าเข้าใกล้นางเลยได้แต่ทำตัวห่างเหิน
อวิ๋นเมิ่งเป็นเด็กสาวที่ใจดี หลินมู่รู้สึกเป็นกันเองกับนางมากจากก้นบึ้งของหัวใจ
เขาช่วยเหลือนางอย่างเต็มที่ เต็มใจที่จะให้ยาเม็ดแก่นางโดยไม่คิดค่าตอบแทน
หลินมู่ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขามั่นใจว่าเขาไม่ได้หลงรักอวิ๋นเมิ่ง
ในใจของเขามีความปรารถนาในความดีและความบริสุทธิ์มากกว่า ในโลกที่วุ่นวาย หลินมู่พบว่าเขาไม่สามารถรักษาความบริสุทธิ์และความดีดั้งเดิมของเขาไว้ได้อีกต่อไป แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ
สำหรับความดี หลินมู่ไม่ต้องการเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเกิดขึ้นกับผู้อื่น
ความดีของอวิ๋นเมิ่งทำให้หลินมู่เกิดความคิดที่จะปกป้องนาง ไม่ยอมให้นางถูกทำลายอย่างไร้เหตุผล
ในความคิดของเขา ตราบใดที่แข็งแกร่งเพียงพอ คนเราก็สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ จะไม่ถูกบังคับจากภายนอกให้ทำสิ่งที่ขัดกับใจ
เขาเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มที่ไร้เดียงสาในตอนแรกมาเป็นคนที่ระมัดระวังและรอบคอบในทุกวันนี้ หลินมู่ไม่ต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้นซ้ำกับอวิ๋นเมิ่ง
เมื่อกลับถึงบ้านเล็ก หลินมู่ก็เข้าไปในห้องทันที
เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนการประลองครั้งใหญ่ หลินมู่ตัดสินใจใช้ช่วงเวลานี้ในการฝึกฝนอย่างหนัก
ร่างกายของเขาหายวับไปในพริบตา หลินมู่เข้าสู่มิติวังวนจันทราอีกครั้ง
เขากินเม็ดยาพลังชีวิตหนึ่งเม็ด จากนั้นนั่งไขว่ห้างในกระท่อมเล็ก ๆ แล้วเริ่มทำสมาธิ
พลังปราณรอบตัวเขาไหลเวียนอย่างรวดเร็ว เข้าสู่ร่างกายของเขาผ่านแขนขาและเส้นเลือด
หลินมู่ฝึกฝนวิชาจิตเก้าทิศอย่างเงียบ ๆ ดูดซับ และเปลี่ยนพลังปราณอย่างระมัดระวัง พลังวิญญาณไหลเวียนอย่างเป็นระเบียบภายในเส้นลมปราณ หลังจากวนครบหนึ่งรอบ พลังวิญญาณทั้งหมดก็กลับคืนสู่ตันเถียน หลินมู่ใช้จิตสำนึกเพื่อตรวจสอบและพบว่าพลังปราณภายในตันเถียนมีความเข้มข้นมากขึ้นจนอัดแน่น
หลินมู่รู้ว่าถ้าพลังปราณเหล่านี้มีความเข้มข้นถึงระดับหนึ่ง และควบแน่นเป็นของเหลว เขาก็จะสามารถทะลวงสู่ขอบเขตต่อไปได้
เขาหยิบขวดเล็กสีขาวออกมาจากอกเสื้อ เป็นยาผนึกวิญญาณหนึ่งเม็ด และกลืนลงไป ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกร้อนไปทั้งตัว พลังวิญญาณกระจายไปทั่วแขนขาและเส้นเลือด หลินมู่รีบฝึกฝนเพื่อดูดซับมัน
พลังวิญญาณในตันเถียนมีความเข้มข้นมากขึ้น
การฝึกฝนคือการทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า สะสมทีละน้อยเพื่อความสำเร็จในอนาคต
ครึ่งเดือนต่อมา หลินมู่ตื่นขึ้นจากสมาธิ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความปิติยินดี
พลังวิญญาณในร่างกายของเขาพลุ่งพล่านไหลเวียนไม่หยุด แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเจ็ดไม่น้อย
หลังจากฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาครึ่งเดือน ขอบเขตยุทธ์ของหลินมู่ก็ทะลวงผ่านอีกครั้ง
ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปด!
สำหรับการประลองใหญ่ในสำนัก หลินมู่มีความมั่นใจมากขึ้นแล้ว
เขาออกจากมิติวังวนจันทรา และมาที่ลานบ้าน ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว หลินมู่มองไปยังท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลโดยไม่พูดอะไร
ทิศทางที่หลินมู่มองไปคือทิศทางของอาณาจักรกู่ถัง สถานที่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา…