บทที่ 95 กระบี่เดียว
เสวี่ยหยานผู้งดงามและเปี่ยมด้วยความแข็งแกร่ง ที่ฝ่ายนอกของสำนักวงแหวนทองคำ แววตาผู้คนโดยรอบล้วนจับจ้องนางด้วยความชื่นชม นางไม่เคยได้รับความอัปยศอดสูเช่นนี้!
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่กล้าเย้ยหยันนาง กลับเป็นเพียงคนไร้ค่าผู้ปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมาเท่านั้น!
ส่วนนางเป็นถึงอัจฉริยะผู้โดดเด่น นางจะทนทานรับการดูหมิ่นเหยียดหยามได้อย่างไร?
นางจึงอยากจะสู้กับหลัวเฉิง เพื่อต้องการยับยั้งความโอหังเช่นนี้ของเขา!
เฉินคงยืนอยู่เคียงข้างนางโดยไม่กล่าวสิ่งใด
หลัวเฉิงไม่ให้ความเคารพเขาทั้งยังประเมินสำนักวงแหวนทองคำต่ำเกินไป เหตุนี้ เขาจึงต้องการให้เสวี่ยหยานสอนบทเรียนกับหลัวเฉิงเช่นกัน
สวนทางฝั่งของหลัวหมิงซานและคนอื่นๆ ในโถงหลัก ก็ไม่มีเหตุผลที่จะหยุดการกระทำนี้แม้แต่น้อย
“เจ้าไม่จำเป็นต้องลงแรงให้เสียเปล่าเช่นนี้ก็ได้”
หลัวเฉิงส่ายศีรษะขณะกล่าว
“ทำไม เมื่อครู่ปากเจ้าเก่งนักมิใช่หรือ ไฉนตอนนี้กลายเป็นใจเสาะเสียแล้วเล่า?”
เสวี่ยหยานเห็นหลัวเฉิงส่ายศีรษะ จึงคิดว่าเขาไม่กล้ารับคำท้า นางจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังๆ
หลัวเฉิงค่อยๆ ชักกระบี่ออกจากฝัก แล้วชี้ปลายกระบี่ไปที่เสวี่ยหยาน จากนั้นลั่นน้ำเสียงเย็นชา “เพียงกระบี่เดียว! หากเจ้าสามารถรับมือกระบี่ของข้าได้ ถือว่าข้าเป็นฝ่ายแพ้”
อะไรนะ!
ทันทีที่วาจานี้ถูกพ่นออกมา ผู้คนในโถงหลักก็ต่างแสดงสีหน้าตกตะลึง
ทางฝั่งของเฉินคงก็มีใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นเช่นกัน
เสวี่ยหยานเป็นศิษย์สายตรงของเขา เมื่อหลัวเฉิงลั่นวาจาเช่นนี้ แสดงว่าเขากำลังดูแคลนฝีมือของเสวี่ยหยาน ทั้งยังดูถูกเขาผู้เป็นอาจารย์ และเหยียดหยามสำนักวงแหวนทองคำอีกด้วย!
“เสวี่ยหยาน เนื่องจากหลัวเฉิงมั่นใจในฝีมือตนขนาดนั้น เจ้าก็ลงมือให้เต็มที่ ไม่จำเป็นต้องยั้งมือไว้ไมตรี”
เฉินคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ศิษย์ทราบแล้ว”
ต่อให้เฉินคงไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม เสวี่ยหยานก็ไม่คิดที่จะแสดงความเมตตาต่อหลัวเฉิงอยู่แล้ว
“เจ้าคนอวดดี! รับกระบี่ของข้าไป! ผ่าศิลาสะบั้นทอง!”
เสวี่ยหยานตะคอกเสียงเย็นชา ขณะมือที่กระชับกระบี่แน่นก็พลันโบกสะบัด ทันใด ก็ปรากฏปราณกระบี่ส่องแสงเจิดจรัสนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่หลัวเฉิงอย่างรวดเร็ว!
ครั้นได้ประสบพบเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของหลัวหมิงซานพร้อมคนโดยรอบ ก็ต่างแข็งค้างด้วยความตกตะลึง
เพลงกระบี่นี้เป็นกระบวนท่าที่รวดเร็วมาก มีทั้งกระบี่จริงซ่อนเร้นในปราณกระบี่ และปราณกระบี่อำพรางในกระบี่จริง หากไม่ระมัดระวังให้ดี จะต้องเผชิญการโจมตีจากปราณกระบี่นับไม่ถ้วนดุจพายุโหมกระหน่ำอย่างแรง!
พวกเขาเพียงรับฟังมาว่า หลัวเฉิงสามารถเอาชนะปรมาจารย์ในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ได้ ทว่าไม่เคยเห็นประจักษ์กับตาตนแต่อย่างใด นั่นทำให้พวกเขาต่างรู้สึกกังวลใช่น้อย
อย่างไรก็ตาม หลัวเฉิงยังยืนนิ่งสงบอยู่ตรงนั้น ดั่งว่าไม่ได้คิดหลบปราณกระบี่นี้แต่อย่างใด
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าเฉิงคงก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันทันใด เขาคิดว่าหลัวเฉิงคงจะรู้สึกหวาดหวั่นต่อปราณกระบี่ของเสวี่ยหยานจนร่างแข็งทื่อ ไม่อาจไหวกายไปไหนได้
ภาพที่ทุกคนเห็นในตอนนี้ คือหลัวเฉิงกำลังจะถูกกลืนหายไปด้วยปราณกระบี่นับไม่ถ้วน
ทันใดนั้น ปราณกระบี่อันเฉียบคมไร้รูปลักษณ์ ก็พลันปะทุออกจากร่างของหลัวเฉิง กายเขายามนี้ก็พลิ้วไหวคล้ายดุจเมฆ กระโชกแรงเหมือนสายลมคลั่ง ไร้รูปร่าง ไร้ท่วงท่า
ครืน!
ท่ามกลางปราณกระบี่นับไม่ถ้วนที่ฟาดเข้าใส่ดั่งสายฟ้าแลบ หลัวเฉิงก็กวัดแกว่งกระบี่ของตน
เสียวลมหายใจ ปราณกระบี่วาวเยือกเย็นก็ถูกฟาดฟันออกไปสองชั้น สว่างไสวคล้ายแสงอสุนีบาต
ฉัวะ!
เสวี่ยหยานยืนนิ่งร่างแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น พร้อมกับเลือดที่สาดกระเซ็น ดวงตาอันงดงามเย่อหยิ่งของนางเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
ไหล่ขวาของนางมีรอยแผลที่เกิดจากคมกระบี่ ซึ่งลึกพอจะเผยให้เห็นถึงกระดูก หากเสี้ยวลมหายใจนั้นหลัวเฉิงไม่ยั้งมือไว้ เกรงว่าแขนขวาของนางคงต้องขาดสะบั้นเป็นแน่!
หลัวเฉิงเก็บกระบี่เข้าฝักด้วยสีหน้าสงบ
“ข้ายังไม่แพ้!”
ใบหน้าอันงดงามของเสวี่ยหยาน เต็มไปด้วยความอับอายและรำคาญใจเป็นที่สุด นางกัดฟันทนต่อความเจ็บปวดแล้วระเบิดปราณแท้ของนางออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“พอแล้ว!”
เฉินคงตะคอกน้ำเสียงแข็งกร้าวเพื่อหยุดเสวี่ยหยาน ก่อนตวาดอย่างเย็นชา “นี่ยังขายหน้าไม่พออีกหรือ! หากหลัวเฉิงไม่ได้มีเมตตาต่อเจ้า เกรงว่าเจ้าก็คงกลายเป็นคนพิการไปแล้ว!”
เสวี่ยหยานกัดฟันของนางด้วยความแค้นใจยิ่ง ขณะดวงตาจ้องมองหลัวเฉิงเบื้องหน้า
นางไม่อยากจะเชื่อและไม่อาจยอมรับได้ว่า นางผู้เป็นถึงอัจฉริยะกลับมาพ่ายแพ้ให้กับคนไร้ค่าผู้มีวิญญาณยุทธ์ขยะเช่นนี้!
เฉินคงมองหลัวเฉิงด้วยสีหน้าจริงจังกล่าวว่า “เนื่องจากคุณชายหลัว กำลังจะเข้าร่วมกับสำนักซวนหยวน ข้าเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อ เช่นนั้นขอตัวลา”
เนื่องจากยามนี้เขาไม่มีหน้าจะอยู่ต่ออีกแล้ว ด้วยทั้งละอายและขายหน้า เฉินคงจึงหันหลังจากไปพร้อมกับเสวี่ยหยานทันที
***ศ. ส. อา. จะลงให้วันละ 3 ตอนค่ะ ส่วน จ.-พฤ. วันละ 2 เท่าเดิมจนกว่างานจะคงที่มากพอ