บทที่ 94 ฝีมือเทียบฝีปาก
ทันใดนั้น ทั่วทั้งโถงก็เต็มไปด้วยแสงจรัสเก้าสีอันลึกลับ
“นี่มัน……”
เมื่อเห็นไข่ใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยแสงสว่างลึกลับเก้าสีเบื้องหลังหลัวเฉิง เฉินคงพลันผงะตกตะลึงไปครู่
เสวี่ยหยาน เปิดปากโพล่งออกมาทันใด “ไฉนจึงกลายเป็นวิญญาณยุทธ์ขยะเช่นนี้! หนำซ้ำยังไม่มีดาวแม้เพียงดวง!”
เฉินคงเต็มไปด้วยความไม่เชื่อบนใบหน้า ท้าวเขาเริ่มสืบเข้าหาเพื่อมองใกล้ๆ ให้ชัดถนัดตากว่านี้ คิ้วของเขาเริ่มขมวดเข้าหากันอย่างต่อเนื่อง ขณะที่รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มเจือจางก่อนอันตรธานหาย
ทันใด หลัวเฉิงก็คืนวิญญาณยุทธ์กลับเข้าร่างตน
หลัวหมิงซาน กล่าวว่า “ผู้อาวุโสเฉินคง แม้หลานชายข้าจะมีวิญญาณยุทธ์ขยะก็จริงอยู่ แต่ความสามารถของเขานั้นไม่ธรรมดา เขาได้ฝึกฝนจนสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอด กระทั่งไม่กี่วันก่อนนี้ก็…”
“เหลวไหลสิ้นดี!”
เสวี่ยหยานเอ่ยปากขัดจังหวะหลัวหมิงซาน ขณะหางตานางเหลือบมองหลัวเฉิง แล้วกล่าวด้วยวาจาเหยียดหยาม
“เมื่อปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอดได้อย่างไร นี่ท่านกล้ากล่าววาจาโป้ปดต่อหน้าอาจารย์ข้าเชียวหรือ ท่านอาจารย์ ข้าสงสัยเกี่ยวกับข่าวลือที่เขาสามารถเอาชนะขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์มาก่อนหน้านี้แล้ว อย่างไรเสีย ข่าวลือก็ยังคงเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น”
ใบหน้าของหลัวหมิงซานเข้มขึ้น “ข่าวลือพวกนั้นล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ผู้อาวุโสเฉิน ท่านจะรู้ได้อย่างไรหากท่านไม่ลองดูก่อน”
เสวี่ยหยานม้วนริมฝีปากของนางกล่าวว่า “ต่อให้มันเป็นเรื่องจริงก็ตาม สักวันหนึ่งวิญญาณยุทธ์ขยะนี้ก็จะหยุดนิ่งและไม่อาจก้าวหน้าต่อได้ สุดท้ายเขาก็จะกลายเป็นคนไร้ค่าของสำนักวงแหวนทองคำ ซึ่งสำนักวงแหวนทองคำเรานั้นไม่ต้องการคนไร้ค่า…”
“เสวี่ยหยาน อย่าเสียมารยาท” เฉินคงขึ้นเสียงดุ
เสวี่ยหยานเห็นว่าเฉินคงไม่ได้โกรธนางจริงๆ นางจึงกล่าวอย่างใจเย็น “ศิษย์แค่กล่าวตามความจริงเท่านั้น!”
เฉินคงยกมือบอกปัดกับหลัวหมิงซาน “ผู้นำตระกูลหลัว ลูกศิษย์ของข้าเป็นคนตรงไปตรงมาหาได้มีเจตนาลบหลู่ท่านแต่อย่างใด ต้องขออภัยที่พวกข้ามารบกวนในวันนี้”
แม้เขาจะไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติม แต่ในใจนั้นก็คิดคล้ายคลึงกับเสวี่ยหยาน ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการเสียเวลากับผู้มีวิญญาณยุทธ์ขยะอีกต่อไป พลันยกตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วหันหลังกลับทันที
“ผู้อาวุโสเฉิน โปรดรอก่อน!”
หลัวหมิงซานไม่อยากที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ เขาต้องการสู้เพื่อหลัวเฉิง
“ท่านปู่ ปล่อยพวกเขากลับไปเถิด นั่นเป็นเพียงแค่สำนักวงแหวนทองคำเท่านั้น ต่อให้พวกเขาต้องการรับข้าเป็นศิษย์ ข้าก็ไม่คิดเข้าร่วมอยู่ดี” หลัวเฉิงกล่าวโน้มน้าวหลัวหมิงซาน
“หืม?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เฉินคงก็แสดงความโกรธลุกโชนในแววตา “แค่สำนักวงแหวนทองคำงั้นหรือ ช่างเป็นวาจาที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน!”
เสวี่ยหยานมองหลัวเฉิงด้วยท่าทางที่เหนือกว่า ก่อนกล่าวน้ำเสียงเย้ยหยัน “ไม่รู้จักประมาณตน! เจ้ามันก็แค่คนไร้ค่าที่มีวิญญาณยุทธ์ขยะเท่านั้น คิดหรือว่าสามสำนักหลักจะยอมรับเจ้าเป็นศิษย์ได้?”
“แล้วถ้าได้เล่า เจ้าจะว่าอย่างไร” หลัวเฉิงกล่าวอย่างใจเย็น
ดูเหมือนว่า เสวี่ยหยานจะได้ยินเรื่องตลกใหญ่จึงหัวร่อออกมาดังๆ “แล้วถ้าได้งั้นหรือ? หากเจ้าสามารถเข้าสู่สามสำนักหลักได้ ข้าก็คงจะกลายเป็นผู้นำของสามสำนักหลักแล้วกระมัง!”
“เช่นนั้นหรือ”
หลัวเฉิงหยิบป้ายหยกประจำตัวของอวิ๋นเหมิงลี่ออกมาทันที แล้วกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “นี่คือป้ายหยกประจำตัวของศิษย์หลักสำนักซวนหยวน ด้วยป้ายหยกนี้ ข้าจะสามารถเข้าสู่สำนักซวนหยวนได้ทันที”
“ป้ายหยกประจำตัวของศิษย์หลักสำนักซวนหยวน!”
สายตาของผู้คนในโถงหลักขณะนี้ ต่างจับจ้องไปยังป้ายหยกในมือของหลัวเฉิง
เสวี่ยหยานเองก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน แต่นางไม่อาจเชื่อได้จึงกล่าววาจาเหยียดหยามอีกครั้ง “เจ้าคิดจริงหรือว่า เพียงแค่หยิบป้ายหยกออกมาสักชิ้น จะสามารถใช้เป็นสัญลักษณ์ของศิษย์สำนักซวนหยวนได้....”
“หุบปาก!”
เฉินคงตะคอกอย่างเย็นชา ด้วยสายตาที่แหลมคมเช่นเขา เขาสามารถบอกได้ทันที ว่าป้ายหยกนี้คือป้ายหยกประจำตัวของศิษย์หลักสำนักซวนหยวนจริงๆ!
นี่แสดงว่า ตัวตนเจ้าของป้ายหยกนี้ต้องเป็นคนสำคัญต่อสำนักอย่างยิ่ง!
“นี่คือสัญลักษณ์ของศิษย์หลักสำนักซวนหยวนจริงๆ เจ้าได้รับป้ายหยกนี้มาจากที่ใดกัน?” เฉินคงโพล่งถามทันใด
“ข้าได้มันมาอย่างไรก็ตาม แต่เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับท่าน”
หลัวเฉิงเก็บป้ายหยกเอาไว้แล้วมองยังเสวี่ยหยาน ด้วยรอยยิ้มยียวน “ข้าชักใคร่สงสัยเสียแล้ว ว่ายามใดกันหนอเจ้าจะกลายเป็นผู้นำของสามสำนักหลัก?”
เปรี้ยง!
ทันทีที่วาจานี้หลุดออกมา เสวี่ยหยานผู้ยืนอยู่ที่นั่นก็ราวกับถูกสายอัสนีบาตฟาดเข้าอย่างแรง พานให้ทั่วร่างของนางชาไปขณะหนึ่ง
ในเวลาเดียวกันนี้ เหล่าผู้คนที่อยู่ในโถงหลักถึงกับอดไม่ได้จนต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างดังลั่น
ใบหน้าเล็กเรียวงดงามของเสวี่ยหยาน เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อด้วยความโกรธ นางทั้งอับอายและรู้สึกรำคาญใจยิ่ง ทันใดก็ชักกระบี่ตนออกมาชี้ไปทางหลัวเฉิง แล้วกัดฟันกล่าวน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“นี่มันจะมากเกินไปแล้ว ชักกระบี่ของเจ้าออกมา ข้าอยากจะเห็นนักว่าฝีมือของเจ้าจะดีเท่าฝีปากหรือไม่!”