ตอนที่แล้วบทที่ 80 คฤหาสน์ขุนนางจื่อซาน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 82 ทำนองแห่งขวัญและกำลังใจ

บทที่ 81 งานเลี้ยงยามค่ำ


หากพูดถึงโครงสร้างของโลกแห่งการบ่มเพาะ อันดับของนิกายเซียนอมตะทั้งเก้าและสิบกำลังอมตะแห่งโลก จริงๆ แล้วเพิ่งเป็นรูปเป็นร่างเมื่อ 500 ปีก่อน หากจะแบ่งเส้นแบ่ง ก็จะย้อนกลับไปที่การสูญเสียเจดีย์มารของนิกายฉูซาน

นับตั้งแต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์อันเป็นสิ่งคุ้มครองนิกายฉูซานได้สาบสูญ ฐานะของนิกายก็ค่อยๆ ถดถอยลง ตำแหน่งนิกายเซียนอันดับหนึ่งในนิกายเซียนอมตะแห่งโลกจึงว่างลงโดยปริยาย

ในเวลานั้น คู่แข่งที่ทรงพลังมากที่สุดทั้งสองคือนิกายเผิงไหลจากนอกอาณาจักรและนิกายเทวาดาราสวรรค์ ซึ่งเป็นลัทธิที่ไม่ได้ปฏิบัติตามสามแนวความคิดหลัก [1]

สำนักใหญ่ของเผิงไหลดำเนินงานจากภายนอกเก้าแคว้นมาหลายปี จากสายตระกูลโบราณและทรัพยากรที่มีอยู่มากมาย จึงทำให้สำนักนี้เป็นที่ยอมรับในเรื่องมรดกที่สำคัญล้ำค่ามากมาย

ในทางตรงกันข้ามนิกายเทวาดาราสวรรค์นั้นยืนอยู่นอกเหนือจากสามแนวคิดแบบเดิม ในช่วงที่รุ่งเรือง ก็อาจถือว่าเป็นแนวคิดที่สี่ที่ทรงอิทธิพลเทียบเท่ากับอีกสามแนวคิดได้เลย นิกายนี้อุทิศตนเพื่อสืบทอดมรดกของวิชาเทวาดาราสวรรค์ มันทำหน้าที่ทั้งเป็นกองกำลังเพื่อความดีและความชั่ว และเป็นผู้ควบคุมดูแลสายการสืบทอดวิชาการต่อสู้ต่างๆ

เพื่อแข่งขันตำแหน่งกองกำลังชั้นนำในเวลานั้น ทั้งสองได้เริ่มต้นการเผยแผร่แนวคิดและชักชวนผู้คนอย่างกว้างขวาง มุ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับตนเองมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และพยายามที่จะแซงหน้าฝ่ายตรงข้ามให้ได้ในเวลาอันสั้น

ในความเป็นจริง แม้จะมีผู้ที่เหมาะแก่การบ่มเพาะเพียงน้อยนิด แต่มันไม่ได้หายากอย่างที่คิด เหตุผลหลักที่นิกายใหญ่ๆ จึงมีขนาดเล็กอยู่เสมอก็เพราะข้อจำกัดของทรัพยากร การรับศิษย์เพิ่มเพิ่มขึ้นย่อมไร้ความหมาย หากขาดแคลนทรัพยากรสำหรับการบ่มเพาะ

ในขณะที่การแข่งขันระหว่างทั้งสองนิกายนั้นดูเหมือนจะสูสีกันในระยะเวลาสั้นๆ เมื่อเวลาได้ผ่านไป ข้อเสียของนิกายเทวะดาราสวรรค์ก็ปรากฏชัด

สำนักเผิงไหลที่ตั้งอยู่ข้ามฝั่งทะเลซึ่งมีทรัพยากรมากมายจึงสามารถรอดพ้นจากช่วงเวลาแห่งการเผาผลาญทรัพยากรมาได้อย่างง่ายดาย

แต่ทว่านิกายเทวาดาราสวรรค์นั้นไม่มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ในลักษณะนี้เพื่อการบ่มเพาะให้เหล่าศิษย์

ภายในเวลาไม่ถึงร้อยปี ภายในนิกายมีการแข่งขันชิงดีชิงเด่นอย่างรุนแรง ยิ่งกว่านั้นสายต่างๆ ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงทำให้นิกายเทวาดาราสวรรค์ไม่เป็นเอกภาพ ผู้นำในเวลานั้นก็ขาดความสามารถในการควบคุมอย่างทั่วถึง

ด้วยเหตุนี้นิกายเทวาดาราสวรรค์ ทั้งๆ ที่เป็นนิกายอันยิ่งใหญ่ก็กลับพังทลายลงโดยไม่คาดคิด โดยมิได้มีการแทรกแซงจากภายนอก

หากสังเกตจากนิกายและกลุ่มต่างๆ ที่ผุดขึ้นหลังจากการแตกแยกของนิกายเทวาดาราสวรรค์ เราก็จะมองเห็นพลังความสยดสยองในอดีตของนิกายเทวาดาราสวรรค์ได้อย่างชัดเจน

ศาลาเคลื่อนสวรรค์ผู้อยู่ในตำแหน่งสำคัญแห่งนิกายเซียนอมตะ นิกายราชันสวรรค์หนึ่งในนิกายเซียนอมตะอีกแห่ง นิกายราชาทะเลที่อยู่ในสิบกำลังอมตะแห่งโลก และนิกายกษัตริย์มืดที่ปัจจุบันเป็นผู้นำในทางสายมาร ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นล้วนมีต้นกำเนิดมาจากนิกายเทวาดาราสวรรค์ที่แตกออก

นอกเหนือจากนิกายหลักเหล่านี้แล้ว ยังมีกลุ่มย่อยต่างๆ กระจัดกระจายอยู่ ซึ่งรวมทั้งในเส้นทางที่ถูกต้องและเส้นทางอันชั่วร้าย

เช่น ในยุคแรกของโลกแห่งการบำเพ็ญตน มีสำนักดาราลับซึ่งก่อคลื่นความปั่นป่วนเล็กๆ ในทะเลแห่งโลกยุทธ มีสำนักเสน่ห์ดาราที่ก่อความโกลาหลในโลก และยังมีสำนักดาราเจ็ดสังหาร ดาราหายนะ และดาราหมาป่าโลภะ ซึ่งได้รับการพิจารณาว่าชั่วร้ายมากกว่าชอบธรรม..

ในแวดวงการบ่มเพาะ ศิลปะการต่อสู้บางแขนงคงอยู่ได้ในขณะที่แขนงอื่นๆ จะถูกลืมเลือนไปตามกาล แต่ก็ยังมีบางแขนงที่ถึงแม้ว่าจะซ่อนตัวไปนานก็ตาม แต่ยังมีพลังที่จะกลับมาและยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

...

“ยินดีต้อนรับ! แขกผู้มีเกียรติจากเมืองหนานเหมิน! การที่พวกท่านได้มาที่นี่เปรียบเสมือนได้นำแสงสว่างมาสู่ที่พักพิงอันแสนสมถะของเรา หากมีสิ่งใดในงานเลี้ยงวันนี้ที่ไม่เป็นไปตามความพึงพอใจของท่าน โปรดอย่าลังเลที่จะแจ้งให้เราทราบ เราจะดำเนินการปรับปรุงแก้ไขทันที”

ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนายหลี่ได้ยืนอยู่บนแท่นที่สูงกว่าหนึ่งขั้น และกล่าวต้อนรับผู้มีเกียรติที่แต่งกายสุภาพที่อยู่ด้านหน้าอย่างอบอุ่น

นี่คือจุดเริ่มต้นของงานเลี้ยงก่อนการแสดงของซูหลิงเสวี่ยในวันนี้ ทุกคนที่มางานล้วนเป็นบุคคลที่ร่ำรวยหรือมีชื่อเสียงในเมือง ห้องโถงกว้างขวางประดับประดาไปด้วยโต๊ะจัดเลี้ยงหลายโต๊ะ

พื้นที่เปิดโล่งกว้างขวางช่วยอำนวยความสะดวกให้กับงานฉลองที่จะมาถึง โดยช่วยให้ผู้คนสามารถเคลื่อนที่ไปมาเพื่อสังสรรค์และมีส่วนร่วมในปฏิสัมพันธ์ทางสังคมได้สะดวก

งานเลี้ยงใดๆ ไม่ว่าจะจัดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ใด ผู้คนในงานย่อมเคลื่อนไหวและมีปฏิสัมพันธ์ และกลายเป็นงานสังสรรค์ที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา

ชูเหลียงและหลินเป่ยมองสำรวจ พวกเขารู้สึกงุนงงเล็กน้อยขณะที่นั่งลงที่โต๊ะที่ใกล้กับเวทีที่สุด ซึ่งสำรองไว้ให้แขกคนสำคัญในงานเลี้ยง

ชื่อของซูหลิงเสวี่ยก็ปรากฏอยู่ในตำแหน่งที่เด่นบนโต๊ะเดียวกัน ซึ่งเน้นถึงความสำคัญของเธอ แม้ว่าเวลาของเธอที่โต๊ะจะสั้น แต่ก็เน้นความสำคัญของการจัดที่นั่งนั้นๆ

ถัดจากพวกเขาคือเจ้าหน้าที่ผู้มีเกียรติแห่งเมืองหนานเหมิน ในขณะที่ ชูเหลียงและหลินเป่ยมิได้รู้ชื่อของพวกเขา แต่พฤติกรรมที่นอบน้อมของผู้คนแถวนั้นบ่งบอกว่าพวกเขามีสถานะที่น่านับถือมาทีเดียว

หากการจัดที่นั่งเป็นการให้เกียรตินิกายฉูซานก็คงจะสมเหตุสมผล แต่ว่าทั้งลูเหลียงและหลินเป่ยมิใช่ตัวแทนของนิกายฉูซานอย่างเป็นทางการ พวกเขาเพียงแค่ทำภารกิจจากนิกายฉูซาน และเป็นเด็กหนุ่มที่ได้เข้าร่วมงานโดยมิเสียค่าใช้จ่าย พวกเขาจะได้ที่นั่งใกล้เวทีเช่นนี้ได้อย่างไร

เมื่อคิดเช่นนั้น ชูเหลียงจึงไปหาผู้ดูแลซุย เขาถามด้วยเสียงกระซิบว่า "เหตุใดเราถึงได้นั่งที่นั่งที่ดีที่สุดเช่นนั้นล่ะขอรับ ข้ารู้สึกแปลก"

"เป็นตามคำขอของแม่นางซูขอรับ" ผู้ดูแลซุยอธิบายพร้อมรอยยิ้ม "ข้ามิได้วางแผนจัดแจง แต่แม่นางซูสั่งมาขอรับ ดังนั้นเราจึงต้องปฏิบัติตาม"

ชูเหลียงรู้สึกสับสนอยู่บ้าง แต่ก็สายเกินกว่าที่จะจัดที่นั่งใหม่แล้ว เขาจึงจำต้องนั่งลง

ขณะที่ชูเหลียงออกไปหาคำอธิบาย หลินเป่ยก็ได้เริ่มดื่มกับชายวัยกลางคนสองคนไปแล้ว

"ท่านอาแซ่จาง ท่านเป็นแม่ทัพแห่งกองรักษาเมือง ข้าราชการทหารทั้งเมืองอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของท่าน ช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก!"

"ท่านเฉิน ท่านเจ้ากรมการเมืองแห่งเมืองนี้ ตำแหน่งช่างสูงยิ่งทั้งคู่เลยขอรับฮ่าๆ "

"ส่วนข้าน่ะหรือขอรับ ข้าชื่อหลินเบ่ย..."

ชูเหลียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเจื่อนๆ ทักษะทางสังคมของหลินเป่ยน่ากลัวมาก ถ้าไม่มีเชือกมัดที่คอเขาเพื่อจำกัดการเคลื่อนไหว เขาคงจะเริ่มบทสนทนากับใครก็ได้ในทันที

ครั้นกำลังสนทนากันก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากนอกว่า "ท่านเซียอันขุนนางแห่งจื่อซานมาแล้ว!"

สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ทางเข้าเมื่อชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งก้าวเข้ามา เขามีคนร่างสูงบางในชุดสีดำเดินติดตามมาด้วย ซึ่งน่าจะน่าจะเป็นผู้อารักขาของชายหนุ่ม ร่างสูงบางในชุดดำถือกล่องยาวใบหนึ่งในมือด้วย

ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นขุนนางผู้ที่ชูเหลียงตั้งใจสอบถามเกี่ยวกับพี่สาวของหลิวเสี่ยวยู่เอ๋ออย่างไม่ต้องสงสัย

เซียอันขึ้นนั่งหัวโต๊ะ ซึ่งหมายความว่าเขาต้องนั่งใกล้กับชูเหลียง

แต่ถึงอย่างนั้นแทนที่จู่โจมขุนนางหนุ่มโดยตรง ชูเหลียงกลับแสดงความระมัดระวังด้วยการหันไปสนใจชายสวมชุดดำแทน

ชายร่างผอมสูงสวมชุดสีดำส่งกล่องยาวให้พนักงานจัดเลี้ยงและนั่งลงที่ด้านหลัง

ขณะนั้นคนรับใช้ประกาศเสียงดังว่า "ท่านเซียอันได้ส่งของขวัญมามอบให้กับแม่นางซู กู่ฉินทรงว่าวทำจากไม้จันทน์หอม!"

"โอ้โห!"

ฝูงชนต่างฮือฮาและตื่นเต้น พิณโบราณรูปทรงว่าวทำจากไม้จันทน์หอมนั้นเป็นที่เลื่องลือว่าเป็นเครื่องดนตรีในตำนาน ซึ่งเชื่อกันว่าสูญหายไปนานหลายปี โดยไม่คาดคิด ท่านขุนนางเซียอันได้ค้นพบพิณนี้และได้นำเครื่องดนตรีอันล้ำค่านี้มอบให้แก่ซูหลิงเสวี่ย

ในฐานะนักดนตรีผู้เชี่ยวชาญด้านการเล่นพิณ จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะนึกภาพว่าซูหลิงเสวี่ยจะชื่นชอบเครื่องดนตรีที่พิเศษเช่นนี้มากเพียงใด

กระนั้น ความสนใจของชูเหลียงก็มิได้อยู่ที่พิณล้ำค่านั้นหากแต่เป็นชายชุดดำ ในทันทีที่เขาปรากฏตัว ชูเหลียงรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวอันฉับพลันของเพชฌฆาตสีชาด

ชายสวมชุดดำคนนี้ถูกโอบล้อมไปด้วยชี่แห่งความอาฆาต

แม้ว่าเพชฌฆาตสีชาดจะกระตือรือร้นที่จะลงมือ แต่ชูเหลียงก็ไม่สามารถกระโจนขึ้นไปและฟาดฟันได้ในทันที ท้ายที่สุด สถานการณ์ก็แตกต่างออกไปในเวลานี้ บุคคลนี้มีตัวตนที่ถูกต้องตามกฎหมาย แม้ว่าเขาอาจจะเป็นคนเลว เขาก็สามารถดำเนินการได้หลังจากรวบรวมหลักฐานเพียงพอเท่านั้น มิฉะนั้น หากเขาฆ่าคนผู้นั้นโดยพลการ เขาจะกลายเป็นคนร้ายแทน

ยิ่งไปกว่านั้น ชูเหลียงไม่แน่ใจว่าตนจะเอาชนะบุคคลผู้นั้นได้หรือไม่

ขณะที่เพชฌฆาตสีชาดสามารถเพิ่มพลังโจมตีได้ แต่ความแข็งแกร่งของชูเหลียงนั้นมีจำกัด แม้ว่าพลังโจมตีจะเพิ่มขึ้นแล้ว ความแข็งแกร่งก็จะยังคงอยู่ระหว่างจุดสูงสุดของระดับที่ห้าและระยะเริ่มต้นของระดับที่หก

ทว่าชายชุดดำแผ่ปราณที่มีความลึกซึ้งซึ่งเขาไม่สามารถสัมผัสได้อย่างสมบูรณ์ หากเขาบังเอิญเป็นผู้บ่มเพาะในระดับที่หก ชูเหลียงอาจจะไม่สามารถต่อสู้กับเขาได้แม้จะใช้กระบี่สีชาดของเขาก็ตาม

ถึงกระนั้น บุคคลนี้ก็ยังดึงดูดความสนใจของชูเหลียงอย่างมาก

ในขณะนี้ นักดนตรีสาวจากสถาบันดนตรีใต้ที่รับใช้ซูหลิงเสวี่ยได้ขึ้นแสดงบนเวที แล้วกล่าวว่า "ขอบคุณทุกท่านที่มาในวันนี้เจ้าค่ะ ท่านซูหลิงเสวี่ยกำลังเตรียมตัวอยู่หลังเวที ในฐานะบทนำก่อนงานหลักที่จะมีขึ้นในอีกสองวัน เธอจะทำการแสดงเรียกน้ำย่อยให้กับทุกท่านในวันนี้เจ้าค่ะ"

ผู้ชมระเบิดเสียงปรบมือต้อนรับอย่างตื่นเต้น

นักดนตรียังกล่าวต่อว่า "อย่างไรก็ตาม การแสดงของท่านซูต้องใช้ผู้ร่วมแสดงเจ้าค่ะ ท่านตั้งใจที่จะเลือกจากพวกท่าน มีท่านใดเต็มใจบ้างหรือไม่เจ้าคะ"

ฝูงชนตอบรับอย่างก้องกังวานว่าทันที

ณ เวลานั้น ผู้เฒ่าหลี่หรืออาจารย์หลี่ที่อยู่ติดกันกับเซียอันได้เสนอแนะว่า "เมื่อท่านเซี่ยอันเพิ่งมอบพิณโบราณทรงว่าวที่ทำจากไม้จันทน์หอมให้ ก็ลองเล่นมันเสียสิ มันเป็นเครื่องดนตรีที่เลื่องชื่อมิใช่หรือ พวกเราจะได้ฟังทำนองของพิณโบราณที่หายไปนี้อย่างไรเล่า”

ดนตรีหญิงหยุดคิดชั่วครู่และมองไปทางด้านข้าง เธอไม่มีสิทธิตัดสินใจแทนซูหลิงเสวี่ย

ไม่นานนัก ซูหลิงเสวี่ย ผู้สวมชุดกระโปรงสีน้ำเงินล้วนได้เดินขึ้นไปบนเวทีอย่างสงบพร้อมรอยยิ้มอันเยือกเย็นที่เผยไปทางขุนนางเซียอันและกล่าวว่า “เป็นเกียรติอย่างยิ่งเจ้าค่ะ ขอบคุณน้ำใจของท่านสำหรับพิณในตำนานนี้.. ส่วนในเรื่องการแสดง ข้าอยากจะขอให้ท่านชูเหลียงศิษย์แห่งฉูซานช่วยข้าทำการแสดงในครั้งนี้”

1.สามชุดความคิดหลักอันได้แก่ ลัทธิเต๋า ลัทธิขงจื๊อ และพุทธศาสนา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด