บทที่ 174 : สวรรค์, ยมโลก, พุทธศาสนา
บทที่ 174 : สวรรค์, ยมโลก, พุทธศาสนา
"ท่านลุง, ท่านเห็นวิธีการลงมือของเขาหรือไม่"
ผู้นำนิกายอดไม่ได้ที่จะหันไปมองผู้เชี่ยวชาญระดับราชันย์ศักดิ์สิทธ์ที่อยู่ข้างๆและถามขึ้น
เมื่อได้ยินดังนั้น, คนอื่นๆก็หันมามองเช่นกัน
เมื่อได้ยินคำถาม ผู้เชี่ยวชาญระดับราชันย์ศักดิ์สิทธ์ก็เงียบไปครู่หนึ่ง…ก่อนจะส่ายหัวอย่างละอายใจ
"พูดตามตรง ข้าเองก็ดูไม่ออก, แต่ข้ารู้สึกว่าร่างอวตารของเขามีพลังที่น่าตกตะลึง…แม้แต่ข้าถ้าอยู่ในสถานการณ์นั้นก็คงไม่รอด"
ฟู่ว~!
เมื่อได้ยินดังนั้น, ทุกคนก็ตกตะลึงอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับราชันย์ศักดิ์สิทธ์ก็ยังดูไม่ออกว่าเย่หวู่ชางลงมืออย่างไร
"เอาล่ะ, ผู้อาวุโสจางเฉิง…ครั้งนี้ท่านจะเป็นตัวแทนของนิกายประตูสวรรค์ซิงเหอของเรา”
“จงไปยังตระกูลเย่ในแคว้นชางหลานเพื่อแสดงความขอบคุณ!”
ผู้นำนิกายมองไปที่ผู้อาวุโสคนหนึ่งและพูดอย่างเคร่งขรึม
ผู้อาวุโสผู้นี้ติดอันดับท็อปสามในแง่ของความแข็งแกร่งโดยรวมในนิกายประตูสวรรค์ซิงเหอ
การที่เขาไปด้วยตนเอง…จะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของพวกเขา
จากนั้นเขาก็หยุดไปครู่หนึ่ง, ก่อนจะ พูดต่อ
"ไปเปิดห้องสมบัติและนำสมบัติหกในสิบไปเป็นของกำนัลให้ตระกูลเย่!"
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างตกตะลึงและมองผู้นำนิกายด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
"ท่านผู้นำนิกาย นี่มันมากเกินไปหรือเปล่า"
ผู้อาวุโสระดับเทพสวรรค์คนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา…ทั่วทั้งใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
แต่ผู้นำนิกายกลับส่ายหัว
"ตระกูลเย่เป็นมิตรได้ แต่เป็นศัตรูไม่ได้, หากเราไม่สามารถทำให้พวกเขาพอใจได้ ข้าเกรงว่าวันข้างหน้าของพวกเราคงจะไม่ดีแน่ๆ!"
"อย่าลืมว่าภายในตระกูลเย่ไม่ได้มีแค่เย่หวู่ชางที่แข็งแกร่ง, ซูเสี่ยวเซียว ภรรยาของเขาก็อยู่ในระดับจักรพรรดิศักดิ์สิทธ์แล้ว”
“นอกจากนี้พวกเขายังมี, เย่เจิ้น, มู่ซีเหยา, เย่ว์รู่ชวง, และเซี่ยจือซวน….ซึ่งทั้งหมดล้วนอยู่ในระดับราชันย์ศักดิ์สิทธ์”
“โดยเฉพาะเซี่ยจื่อซวนที่อยู่ในระดับสูงสุดของราชันย์ศักดิ์สิทธ์เเล้ว…เธอไม่ควรถูกมองข้ามเลย!”
"นอกจากนี้ยังมีเทพสวรรค์อีกมากมาย”
“ถึงแม้ว่าตระกูลเย่จะเป็นกองกำลังใหม่ที่เพิ่งผงาดขึ้นมา, แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนที่เราจะประมาทได้อีกต่อไป”
“หากข่าวแพร่ออกไปว่าตระกูลเย่ไม่พอใจกับของกำนัลนี้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ลงมือเอง…ข้าเกรงว่ากองกำลังอื่นๆก็คงจะมาสร้างปัญหาให้กับพวกเราเพื่อเอาใจตระกูลเย่เป็นเเน่!”
หลังจากได้ยินคำอธิบายนี้ ทุกคนก็เงียบลงอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่ผู้นำนิกายพูดนั้นถูกต้องเเล้ว
ในที่สุด, ราชันย์ศักดิ์สิทธ์ที่อยู่ด้านข้างอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
"พวกเจ้าทุกคน, จงอย่าลืมว่าเขาช่วยเราเปิดโปงคนทรยศ…สำหรับนิกายของเรานี่ถือเป็นผลประโยชน์มหาศาล!"
"ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาสามารถกำจัดนิกายประตูสวรรค์ซิงเหอของเรา และยึดสมบัติทั้งหมดเพื่อเเก้เเค้นได้”
“การที่พวกเขาไว้ชีวิตพวกเรา, ถือว่าเป็นความเมตตามากแล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดทุกคนก็เข้าใจและพยักหน้าเห็นด้วย
…………..
หลังจากนั้นไม่นาน
ผู้อาวุโสจางเฉินของนิกายประตูสวรรค์ซิงเหอก็ได้นำของกำนัลไปมอบให้ตระกูลเย่
เเละเเน่นอนว่าตระกูลเย่ได้ทำให้ผู้อาวุโสจางเฉิงได้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวที่เเท้จริง
ขณะเดียวกันเขาก็แอบดีใจกับการตัดสินใจที่ถูกต้องของผู้นำนิกาย
อัจฉริยะที่หยิ่งผยอง, และแข็งแกร่งนับไม่ถ้วนสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในตระกูลนี้
ยิ่งลูกหลานของเย่หวู่ชางก็ยิ่งน่ากลัวเป็นพิเศษ…ไม่มีใครที่เป็นคนธรรมดาเลยสักคน
นอกจากนี้, โชคดีที่ตระกูลเย่พอใจกับของกำนัลในครั้งนี้…เขาจึงสามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เเละเมื่อเขากลับไป, ความบาดหมางระหว่างนิกายประตูสวรรค์ซิงเหอ และตระกูลเย่ก็สิ้นสุดลง
……………….
[ติ๊ง~! ตรวจพบทายาทรุ่นที่สามของท่านกำลังเกิด, กำลังทำการทดสอบพรสวรรค์ การทดสอบเสร็จสิ้น มอบรางวัลตอบแทน: พลังโชคลาภ 10 คะแนน!]
เมื่อเห็นดังนั้น เย่หวู่ชางก็อดไม่ได้ที่จะตะลึง
พลังโชคลาภ 10 คะแนน, เทียบเท่ากับคะแนนโชคลาภ 1 เเสนล้าน
ดูเหมือนว่าเด็กที่เกิดใหม่คนนี้จะไม่ธรรมดา….เขาอาจจะเป็นถึงอัจฉริยะระดับสูงสุดก็ได้
อย่างไรก็ตาม, ปัจจุบันลูกหลานของเขามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
รุ่นที่สาม รุ่นที่สี่ และอื่นๆก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว
เเต่เขาไม่ได้สนใจมากนัก, ที่เขาพุ่งเป้าคือการพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองต่อไปเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์พลังวิญญาณหวนคืน
จากนั้นร้อยปีผ่านไปในพริบตา, ระดับพลังของเขาก็ทะลุผ่านขั้นเล็กๆ ไปถึงขั้นที่เจ็ดของอาณาจักรศักดิ์สิทธ์
สำหรับครอบครัวของเขา, เซี่ยจื่อซวนได้ก้าวเข้าสู่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ระดับจักรพรรดิศักดิ์สิทธ์ได้สำเร็จ
เย่ว์รู่ชวง มู่ซีเหยา และ คนอื่นๆ ก็ตามมาติดๆ….พวกเธอไปถึงจุดสูงสุดของระดับราชันย์ศักดิ์สิทธ์เเล้ว
แม้แต่คนที่พรสวรรค์น้อยที่สุดในบรรดาพวกเธออย่างโม่ซีจุนและจ้าวชิงเกอ…ก็มาถึงอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ระดับเทพสวรรค์แล้ว
ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา, เขามีลูกเพิ่มขึ้นอีกหลายคน และจำนวนลูกของเขาก็ใกล้จะถึงห้าสิบคนแล้ว
เขามีลางสังหรณ์ว่าเมื่อใดก็ตามที่เขามีลูกครบห้าสิบคน, รางวัลทายาททุกๆสิบคนที่เขาจะได้รับนั้นจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน (อยากเห็นตอนร้อยคนมากกว่า อิอิ)
ครู่หนึ่งเขาก็รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
เเต่สาเหตุที่ทำให้มีลูกน้อยลงในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาเป็นเพราะความแข็งแกร่งของทุกคนเพิ่มขึ้นอย่างมาก และขอบเขตของพวกเขาก็น่ากลัวอย่างยิ่ง
ด้วยสิ่งนี้, แม้แต่ความสามารถในการสืบพันธุ์อันแข็งแกร่งของเย่หวู่ชางก็ไม่แข็งแกร่งเท่าเดิม
แน่นอนว่าอีกสาเหตุหนึ่งก็คือการให้กำเนิดแต่ละครั้งนั้นสร้างความเสียหายให้กับรากฐานของเหล่าภรรยา
ทุกครั้งที่ให้กำเนิด, พวกเขาจึงต้องใช้เวลาหลายปีหรือแม้แต่หลายสิบปีในการฟื้นฟูรากฐาน
อย่างไรก็ตาม, ด้วยการกำเนิดของหลานรุ่นที่สาม และ เหลนรุ่นที่สี่….เขาก็ยังคงได้รับพลังโชคลาภเป็นจำนวนมาก
ตอนนี้เขาแทบจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลเย่แล้ว
เพราลูกๆของเขาก็เติบโตขึ้นจนถึงระดับที่สามารถข่มขวัญผู้อื่นได้แล้ว
เย่ซินชิงและเย่เฟิงถิงนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าใคร…พวกเขาสมเป็นบุตรเเห่งโชคชะตา, ระดับพลังของพวกเขานั้นเหนือกว่าคนทั่วไปอย่างมาก
ทั้งคู่ต่างก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิศักดิ์สิทธ์แล้ว และพลังต่อสู้ก็น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง….แม้แต่ซูเสี่ยวเซียวก็ยังด้วยกว่าทั้งสอง
ถัดมาคือเย่เทียนหวง เย่จื่อหลาน และคนอื่นๆที่ไปถึงจุดสูงสุดของระดับราชันย์ศักดิ์สิทธ์, พลังต่อสู้ของพวกเขาใกล้เคียงกับระดับจักรพรรดิศักดิ์สิทธ์มาก
ส่วนเย่หวู่ชาง, แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ขีดจำกัดพลังของตัวเอง
เเต่เขารู้สึกได้อย่างเลือนลางว่า แม้เขาจะขึ้นไปที่เก้าแคว้นใจกลาง…เขาก็ยังคงมีพลังพอที่จะป้องกันตัวเองได้
เเละเมื่อเห็นว่าพลังโชคลาภของเขามีเพียงพอแล้ว, เย่หวู่ชางก็ไม่พูดอะไรมากและเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตขั้นที่แปดของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์โดยตรง
เมื่อระดับพลังของเขาเพิ่มขึ้น, เย่หวู่ชางก็ยิ่งรู้สึกถึงความลึกลับ และความผันผวนระหว่างสวรรค์และโลกของทวีปเทียนหยวนมากยิ่งขึ้น
เขารู้สึกเลือนลางว่าหายนะครั้งใหญ่นั้นกำลังใกล้เข้ามา
แรงกดดันมหาศาลได้กระตุ้นให้เขาพยายามพัฒนาความแข็งแกร่งโดยเร็วที่สุด
……………..
อีกด้านหนึ่ง
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้, มันเริ่มมีข่าวลือแพร่สะพัดออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
ภายในเก้าแคว้นใจกลาง, เมื่อโอสถอมตะปรากฏขึ้น…การต่อสู้ก็ย่อมปะทุขึ้นจนเป็นเรื่องปกติ
ผู้เชี่ยวชาญระดับผู้ทรงเกียรตินับไม่ถ้วนเข้าร่วมการต่อสู้, พลังของการต่อสู้นั้นน่ากลัวอย่างถึงที่สุด
เเต่ในขณะที่ทุกคนกำลังคาดเดาเกี่ยวกับเจ้าของโอสถอมตะนี้
ผู้เชี่ยวชาญผู้สวมหน้ากากลึกลับก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน
เขาต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญอาณาจักรผู้ทรงเกียรติระดับสวรรค์หลายสิบคนเพียงลำพังและในท้ายที่สุดเขาก็จากไปพร้อมกับโอสถอมตะ (อาณาจักรผู้ทรงเกียรติ เเบ่งเป็น, ธรรมดา, สูงสุด, สวรรค์, สวรรค์สูงสุด)
ทิ้งไว้เพียงเสื้อคลุมสีดำสนิท และ หน้ากากซึ่งทำให้เกิดการคาดเดากันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่นานก็มีคนปล่อยข่าวออกมาว่านี่คือการปรากฏตัวอีกครั้งของกองกำลังจากยุคก่อน
กองกำลังนี้มีชื่อว่า "ยมโลก"
พวกเขาสวมหน้ากากและอ้างว่าเป็นตัวแทนของเทพเจ้า, พวกเขาได้รับพลังมาจากเทพเจ้า…จนมีพรสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวและมีพลังต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม
ผู้เชี่ยวชาญทุกคนจากยมโลกนั้นล้วนน่ากลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
นอกจากนี้, การสวมหน้ากากและเสื้อคลุมแบบพิเศษทำให้พวกเขาสามารถปกปิดร่องรอยและเงื่อนงำทั้งหมดได้
แม้แต่ศาลากลไกสวรรค์ก็ไม่สามารถตรวจจับพวกเขาได้
ยังเล่ากันอีกว่าหน้ากากนั้นมีวิชาและ ศิลปะการต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์, ช่วยให้พวกเขาสามารถแปลงพลังของตนเองให้เป็นพลังของยมโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ!
เเละเมื่อพวกเขาถอดหน้ากากออก, พวกเขาก็ไม่ต่างจากคนทั่วไป…แม้ว่าจะนั่งอยู่ข้างๆ, คนข้างๆก็ไม่อาจรู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้
และสุดท้าย, มันก็มีข่าวลือว่าผู้เชี่ยวชาญจากยมโลกที่แย่งชิงโอสถอมตะไปในครั้งนี้…เป็นจักรพรรดิเฟิงตูผู้เชี่ยวชาญด้านวิชาดาบยมโลก
ในอดีต, เขาเคยฆ่าจนโลกนี้ต้องหลั่งเลือด….ทำให้สรรพสิ่งถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นผง
อย่างไรก็ตาม, การต่อสู้นี้เผยให้เห็นถึงความน่ากลัวของยมโลก
เเต่นอกจากการปรากฏตัวของยมโลกแล้ว, ยังมีกองกำลังที่เกี่ยวข้องอีกกองกำลังหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
นั่นคือกองกำลัง "สวรรค์"
พวกเขาเกือบจะเหมือนกับยมโลก ยกเว้นความแตกต่างของเสื้อคลุม และหน้ากาก
การปรากฏตัวของพวกเขาส่งผลให้ตระกูลโบราณที่สืบทอดมายาวนานในเก้าทวีปใจกลางนับล้านปีถูกทำลายล้าง
ซึ่งกองกำลังที่ถูกกวาดล้างนี้มีอาณาจักรผู้ทรงเกียรติระดับสวรรค์สี่คน, ผู้ทรงเกียรติระดับสูงสุดกว่าสิบคน, ผู้ทรงเกียรติธรรมดาเกือบร้อยคน….และผู้เชี่ยวชาญระดับราชันย์ศักดิ์สิทธ์อีกนับหมื่นคน
พลังเช่นนี้, แม้จะอยู่ในเก้าแคว้นใจกลาง…เเม้จะไม่ถึงระดับผู้ปกครองแคว้น แต่ก็เป็นหนึ่งในสุดยอดกองกำลัง
แต่ถึงอย่างนั้น, พวกเขาก็ถูกทำลายล้างโดยคนคนเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น, ความเร็วในการทำลายล้างนั้นรวดเร็วมาก…เมื่อผู้เชี่ยวชาญของกองกำลังอื่นๆมาถึงการต่อสู้ก็จบลงแล้ว
บางคนเห็นเพียงร่างสูงใหญ่สวมเสื้อคลุมสีขาวและหน้ากากลึกลับที่จากไปอย่างเงียบๆ
ต่อมาผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาของโบราณวัตถุจากยุคก่อน….ได้เปิดเผยตัวตนของบุคคลผู้นี้จากคำบอกเล่า
เขาคือจอมพลเทียนเผิงแห่งกองกำลัง(สวรรค์)!
ชั่วขณะหนึ่ง, กองกำลังในเก้าแคว้นใจกลางต่างก็ตกอยู่ในความหวาดกลัว
ตระกูลโบราณที่สืบทอดกันมานับล้านปีกลับกลายเป็นเถ้าถ่านในชั่วข้ามคืน
ชีวิตนับไม่ถ้วนในเก้าทวีปใจกลางล้วนรู้สึกตกอยู่ในอันตราย
…………..
อย่างไรก็ตาม, ในช่วงวิกฤตินี้…มันก็มีข่าวใหม่แพร่สะพัดออกมา
ภายในพุทธศาสนา ผู้เชี่ยวชาญหลายคนได้กลับชาติมาเกิดและตื่นขึ้นพร้อมกับความทรงจำที่สมบูรณ์
ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ล้วนบรรลุระดับวัชระในชาติที่แล้ว และหนึ่งในนั้นยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าสิบแปดอรหันต์ในตำนานเพียงเล็กน้อย
ทั้งนี้, สิบแปดอรหันต์เปรียบเสมือนหน้าตาของพุทธศาสนา แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับอรหันต์….แต่ว่ากันว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขานั้นมีพลังเทียบเท่ากับพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์สิบพระองค์
ดังนั้น, การกลับชาติมาเกิดของอรหันต์ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าสิบแปดอรหันต์เพียงเล็กน้อย…ย่อมสร้างความตื่นตะลึงไปทั่วทั้งพุทธศาสนา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง, การต่อสู้ที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ในเก้าแคว้นใจกลางได้สั่นสะเทือนไปทั่วโลกนิรันดร์
บุคคลที่อยู่ในระดับต่ำกว่าสิบแปดอรหันต์เพียงเล็กน้อย ซึ่งตอนนี้คือพระจิงกวงได้ปรากฏตัวขึ้น และต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญแห่งกองกำลังสวรรค์….สร้างความตกตะลึงให้กับโลกด้วยการต่อสู้เพียงครั้งเดียว
พระจิงกวงปราบปรามฝ่ายตรงข้ามตลอดการต่อสู้
แม้แต่หลังจากที่ปลดปล่อยกฎแห่งอรหันต์ออกมาแล้ว, เขาก็ยังทำให้ผู้เชี่ยวชาญเเห่งกองกำลังสวรรค์กระอักเลือดอย่างต่อเนื่อง
ในท้ายที่สุด, ผู้เชี่ยวชาญอีกหกคนจากกองกำลังสวรรค์ก็มาถึงและต่อสู้กับเขา
เเต่สุดท้ายพระจิงกวงก็ได้รับชัยชนะ
เขาเอาชนะทั้งเจ็ดคนได้ด้วยตัวคนเดียว…ทำให้อีกฝ่ายต้องล่าถอยไปด้วยความพ่ายแพ้และสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในวันเดียว
บางคนถึงกับเรียกเขาว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเก้าทวีปใจกลาง
นอกจากนี้, ยังมีข่าวลือว่าเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ในพลังโบราณต่างๆ
ตามข้อมูลของศาลากลไกสวรรค์, พวกเขาสงสัยว่าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่จากยุคก่อนได้กลับชาติมาเกิดแล้ว
"ช่างเป็นยุคที่วุ่นวายอะไรเช่นนี้!"
แม้แต่เย่หวู่ชางก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อได้รับข่าวนี้
………………..