ตอนที่ 37 วิชาควบคุมลม
ตอนที่ 37 วิชาควบคุมลม
หลินมู่กลับไปยังเรือนพักเล็ก ๆ แล้วตรงไปยังห้องน้อยของตัวเอง
การประลองศิษย์สำนักนอกครั้งนี้ หลินมู่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
ปัจจุบันหลินมู่เพิ่งบรรลุขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเจ็ด การเข้าร่วมการประลองครั้งนี้ เมื่อเทียบกับผู้ที่อยู่ในขั้นที่เก้าหรือขั้นที่สิบของขอบเขตกลั่นลมปราณ เขาไม่มีข้อได้เปรียบแม้แต่น้อย เพราะขอบเขตยุทธ์ที่แตกต่างกัน ความละเอียดอ่อนของวิชาอาคมก็ไม่สามารถตัดสินทุกสิ่งได้ ด้วยขอบเขตยุทธ์ของคนเหล่านั้นแม้แต่กระสุนเพลิงวิชาอาคมระดับต่ำ หลินมู่ก็ยากที่จะต้านทาน
หากไม่ระวังอาจได้รับบาดเจ็บสาหัส หรือแม้กระทั่งบาดแผลที่รักษาไม่หาย
ตอนนี้เขากำลังโดดเด่นในสำนัก มีคนที่ต้องการดึงตัวเขาเข้าร่วมแต่ก็มีไม่น้อยที่ต้องการหาเรื่องเขาเพราะความอิจฉา
ในเวลานี้หากพวกเขาฉวยโอกาสลงมืออย่างโหดเหี้ยม หลินมู่ไม่กล้ารับประกันว่าเขาจะสามารถหลบเลี่ยงได้
แม้ว่าจ้าวสำนักซื่อเว่ยฮั่นจะกล่าวอย่างเคร่งครัดว่าห้ามทำร้ายชีวิตเพื่อนร่วมสำนัก แต่คนเหล่านั้นตราบใดที่ไม่ทำร้ายชีวิตเขา พวกเขาสามารถทำให้เขาพิการและไม่สามารถฝึกฝนได้นั่นก็ไม่ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎ
หลินมู่ยอมรับผลลัพธ์นี้ไม่ได้ การเป็นคนพิการนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย
ถ้าไม่เข้าร่วม อีกห้าปีข้างหน้าหลินมู่มั่นใจว่าเขาจะสามารถเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐานได้อย่างแน่นอน
แต่เมื่อหลินมู่นึกถึงพ่อแม่ที่อยู่บ้านเกิด หัวใจของเขาก็เจ็บปวด
ภาพของพ่อที่คุกเข่าต่อหน้าผู้อาวุโสลั่วเหยียน อ้อนวอนอย่างขมขื่นจนศีรษะแตกเลือดไหลยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ เมื่อหลินมู่นึกถึงเรื่องนี้เขาก็ร้อนใจและไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้แม้แต่น้อย
ต้องเข้าร่วม!
ไม่สามารถรออีกห้าปีได้ ยิ่งรอนานเท่าไหร่ หลินมู่ก็ยิ่งรู้สึกทรมานใจมากขึ้นเท่านั้น
ไม่เพียงแต่ต้องเข้าร่วม แต่ยังต้องติดหนึ่งในห้าอันดับแรก! หลินมู่ตัดสินใจในใจแล้ว
แววตาของหลินมู่ฉายแววความโหดเหี้ยม ใครก็ตามที่ขวางทางข้าจะต้องโดนเอาคืนอย่างสาสม!
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว หัวใจที่แขวนอยู่ของหลินมู่ก็ผ่อนคลายลง และเริ่มพิจารณาเรื่องการประลองครั้งนี้อย่างจริงจัง
จ้าวสำนัก และผู้อาวุโสทั้งสี่เรียกประชุมศิษย์สำนักนอกทั้งหมดเพื่อเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ดูเหมือนยิ่งใหญ่อลังการ แต่กลับเป็นเพียงเสียงฟ้าร้องที่ไม่มีฝน ผู้อาวุโสทั้งสี่นั่งเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรสักคำ แม้แต่จ้าวสำนักซื่อเว่ยฮั่นก็เพียงแต่พูดถึงเรื่องการประลองคร่าว ๆ เท่านั้นไม่ได้ลงรายละเอียด
หลินมู่คิดไม่ตกทั้งหมดนี้ดูแปลกประหลาด ราวกับกำลังปิดบังอะไรบางอย่าง
เมื่อความสงสัยเหล่านี้ในใจไม่สามารถหาคำตอบที่ถูกต้องได้ หลินมู่จึงตัดสินใจวางมันไว้ข้าง ๆ และเริ่มวางแผนรับมือกับการประลองครั้งนี้
หลินมู่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความมั่นใจในการประลองครั้งนี้
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา เขาสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปดได้อย่างง่ายดาย และสามารถต่อสู้กับผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเก้าได้อย่างสูสี
แต่ถ้าต้องเจอกับผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบ เขาก็ได้แต่ยอมแพ้ หากโชคดีเป็นพิเศษก็มีความเป็นไปได้ที่จะเอาชนะคนที่แข็งแกร่งกว่า แต่หลินมู่ไม่เชื่อในโชค สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงตัวช่วย มีเพียงความแข็งแกร่งที่แท้จริงเท่านั้นที่ทำให้เขาสบายใจ
หลินมู่คาดการณ์ว่าตอนนี้สำนักดาบพันปักษามีผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบไม่ต่ำกว่าสิบคน
ผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบกว่าคนนี้จะเป็นแกนหลักของการประลองครั้งนี้ ส่วนคนอื่น ๆ ก็แค่เข้าร่วมเพื่อให้ครบจำนวน
แน่นอนว่าก็ไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่จู่ ๆ จะมีอัจฉริยะบางคนปรากฏตัวขึ้นมา
หลินมู่เคยได้ยินมาว่าขอบเขตยุทธ์ของหลัวอวิ๋นได้มาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปดแล้ว และยังมีเวลาอีกสองเดือนก่อนการประลอง การจะทะลวงไปถึงขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นเก้า เรื่องนี้ไม่ยากเย็นเลยเนื่องจากพี่ชายของเขาคือหลัวเฉิน ศิษย์เอกของโถงคุมกฎ ดังนั้นหลัวอวิ๋นจึงเริ่มเรียนรู้เคล็ดวิชาดาบตั้งแต่ขอบเขตกลั่นลมปราณกลายเป็นผู้ฝึกตนวิชาดาบโดยสมบูรณ์
พลังโจมตีที่แข็งแกร่งของผู้ฝึกตนวิชาดาบนั้นศิษย์นอกของสำนักไม่อาจเทียบเทียมได้
หลินมู่เชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของหลัวอวิ๋น ต่อให้เจอกับผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นที่สิบก็ไม่เป็นรอง
หลินมู่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นที่เจ็ด แม้ว่าเขาจะใฝ่ฝันอยากเป็นผู้ฝึกตนวิชาดาบ แต่ก็เข้าใจดีว่าในเวลาสองเดือน เขาไม่สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาดาบล้ำเลิศได้ แทนที่จะเสียเวลาไปกับเรื่องนี้สู้หาวิธีเพิ่มพลังวิชาอาคมของตัวเองดีกว่า
ในเวลาสองเดือน หลินมู่มั่นใจว่าเขาสามารถยกระดับขอบเขตยุทธ์ของเขาไปสู่ขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นแปดได้ เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณขั้นสิบได้
ในด้านพลังโจมตี เคล็ดหลอมโลหะที่อยู่ในขั้นที่สี่ มีความคมกริบ และรุนแรงเป็นพิเศษ จึงไม่ต้องกังวลเรื่องนี้
แต่ในด้านการป้องกัน หลินมู่พบว่าตัวเองอ่อนแอมาก
ผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณส่วนใหญ่ฝึกฝนวิชาอาคม มีเพียงส่วนน้อยที่มีฐานะร่ำรวยที่สามารถหลอมเครื่องรางระดับต่ำได้ ความแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่ได้เหนือกว่าหลินมู่มากนัก
แต่ถึงกระนั้นวิชาอาคมระดับต่ำเหล่านี้ก็ไม่ควรมองข้าม
อย่างน้อยเคล็ดหลอมโลหะของหลินมู่ก็สามารถเจาะทะลุร่างของผู้ฝึกตนได้ พลังโจมตีนั้นแข็งแกร่งมาก เคล็ดหลอมโลหะที่หลินมู่เรียนรู้นั้นเป็นเพียงวิชาอาคมประเภทปลูกพืช วิชาอาคมสายโลหะที่แท้จริงเช่น วิชาระดับต่ำอย่างวิชาดาบเล็กทองคำ ก็มีพลังมหาศาลเช่นกัน แน่นอนว่าเทียบกับเคล็ดหลอมโลหะที่ตอนนี้อยู่ในขั้นที่สี่แล้ว ก็ยังคงด้อยกว่าเล็กน้อย
ถึงกระนั้นวิชาดาบเล็กทองคำก็อาจทำให้หลินมู่ถึงแก่ชีวิตได้
โชคดีที่ผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณสายโลหะมีเพียงส่วนน้อย แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าบางคนมีรากวิญญาณสองสาย และจงใจซ่อนความแข็งแกร่งของตัวเอง แม้ว่าจะเรียนรู้วิชาดาบเล็กทองคำแล้วก็ยังคงอดทนไม่เปิดเผย
เหมือนกับตอนที่หลินมู่จัดการกับหม่าฮวาหยวน เขาใช้วิชาอาคมมากมายเพื่อทำให้หม่าฮวาหยวนสับสน แล้วใช้เคล็ดหลอมโลหะสังหารในคราวเดียว
วิชาอาคมอย่างวิชาดาบเล็กทองคำ มีพลังรุนแรงมาก หากหลบไม่ทันก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส และพ่ายแพ้ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่วิชาอาคมเหล่านี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีรับมือ เพราะยังไงก็เป็นวิชาอาคมระดับต่ำ หากผู้ฝึกตนว่องไวและคล่องแคล่ว เพียงแค่สามารถหลบได้ก็จะรอดพ้นจากภัยพิบัติ
ความคิดของหลินมู่คือทำให้การเคลื่อนไหวของตัวเองว่องไวมากขึ้น หากร่างกายเคลื่อนไหวรวดเร็วจนถึงขั้นที่ใบไม้ไม่สามารถสัมผัสตัวได้ ไม่ว่าวิชาอาคมจะร้ายกาจเพียงใดก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
เมื่อตัดสินใจได้ หลินมู่จึงนำหินวิญญาณติดตัวไปแล้วตรงไปยังหอซ่อนวิถี
เมื่อมาถึงยอดเขาโรยอรุณ หลินมู่ก็เดินเข้าไปในหอซ่อนวิถี
บนชั้นวางไม้จำนวนมาก หลินมู่เลือกอย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็พบแผ่นหยกสองแผ่นที่เหมาะสมบนชั้นวางประเภทวิชาเสริม
ในบรรดาวิชาอาคมมากมาย มีสองวิชาที่สามารถทำให้ผู้ฝึกตนเคลื่อนไหวได้ว่องไวมากขึ้น
หนึ่งคือวิชาควบคุมลม และอีกหนึ่งคือวิชาเคลื่อนที่ลับ
วิชาอาคมแบ่งออกเป็นห้าธาตุ หากไม่มีรากวิญญาณที่สอดคล้องกัน ก็จะไม่สามารถเรียนรู้ได้ ตัวอย่างเช่น ผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณธาตุไฟเดี่ยว จะไม่สามารถเรียนรู้เคล็ดหยกวารีได้
แต่ก็มีวิชาอาคมที่เป็นกลางบางอย่างที่สามารถเรียนรู้ได้ไม่ว่าจะมีรากวิญญาณแบบใด
ตัวอย่างเช่น วิชาควบคุมลม วิชาเคลื่อนที่ลับ วิชาเสียงสดับ และอื่น ๆ แม้ว่าวิชาอาคมเหล่านี้จะไม่ได้มีพลังมากนัก ส่วนใหญ่เป็นวิชาเสริม แต่มีข้อได้เปรียบที่จำนวนมาก หากใช้ให้เหมาะสมผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณเดี่ยวก็สามารถเรียนรู้วิชาอาคมได้ไม่น้อยเช่นกัน
แน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้ไม่มีปัญหาอะไรกับหลินมู่ที่มีรากวิญญาณห้าธาตุ
แม้ว่าในด้านความเร็วในการฝึกฝน หลินมู่จะไม่สามารถเทียบได้กับผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณเดี่ยว แต่ในด้านการเลือกวิชาอาคม หลินมู่เหนือกว่าพวกเขามาก
แม้ว่าทั้งวิชาควบคุมลมและวิชาเคลื่อนที่ลับจะสามารถเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ได้ แต่ก็มีจุดเน้นที่แตกต่างกัน
วิชาควบคุมลม ตามชื่อที่บ่งบอกสามารถทำให้ผู้ฝึกตนบินได้ในระยะสั้น การกระโดดสิบกว่าจั้งไม่ใช่เรื่องยาก
วิชาเคลื่อนที่ลับ ไม่สามารถทำให้ผู้ฝึกตนลอยขึ้นไปในอากาศได้ แต่ความเร็วบนพื้นดินนั้นเหนือกว่าวิชาควบคุมลมเล็กน้อย
หลังจากพิจารณาแล้ว หลินมู่รู้สึกว่าวิชาควบคุมลมเหมาะกับเขามากกว่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณธาตุไฟ เมื่อเผชิญกับลูกไฟหลายลูกที่พุ่งเข้ามา ต่อให้เคลื่อนที่อย่างไรก็ไม่สามารถหลบได้ แต่ถ้าสามารถลอยขึ้นไปในอากาศได้ทันที การหลบลูกไฟเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
แม้ว่าวิชาเคลื่อนที่ลับจะมีความเร็วมากกว่าเล็กน้อย แต่ในด้านการเปลี่ยนแปลงก็ไม่เท่าวิชาควบคุมลม
หลินมู่นำแผ่นหยกที่บันทึกวิชาควบคุมลมไปหาชายชราผู้ดูแล และจ่ายหินวิญญาณให้เขา
แผ่นหยกวิชาควบคุมลมนี้มีราคาถึงหกสิบก้อนหินวิญญาณระดับต่ำ ทำเอาหลินมู่แทบกระอักเลือด
วิชาอาคมระดับต่ำแค่วิชาเดียว ทำไมถึงมีราคาสูงขนาดนี้?
ไม่แปลกใจเลยที่เหล่าผู้อาวุโสไม่แนะนำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตกลั่นลมปราณเรียนวิชาอาคม ผู้ฝึกตนทั่วไปคงไม่มีปัญญาซื้อจริง ๆ
หลินมู่รู้สึกโชคดีที่วิชาอาคมที่เขาเริ่มเรียนรู้ในตอนแรกคือเคล็ดวิชาพื้นฐานห้าธาตุ แม้ว่าในตอนเริ่มต้น พลังของวิชาปลูกพืชจะไม่เท่าวิชาอาคมระดับต่ำ แต่ก็มีข้อดีคือราคาถูก หลังจากฝึกฝนอย่างหนักวิชาปลูกพืชขั้นที่สามก็สามารถเทียบได้กับวิชาอาคมระดับต่ำ
ตอนนี้วิชาปลูกพืชขั้นที่สี่ของเขาเหนือกว่าวิชาอาคมระดับต่ำเล็กน้อย และในด้านการควบคุมก็สามารถเทียบได้กับวิชาอาคมระดับกลาง
หลินมู่ถือแผ่นหยก ค้อมศีรษะให้ชายชราเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ เดินออกจากหอซ่อนวิถีล
หลังจากหลินมู่ออกไป ชายชรามองไปที่แผ่นหลังของเขาพร้อมยกยิ้มคลุมเครือออกมา