บทที่ 92 จักรพรรดิสวรรค์
วันที่สี่
ณ ลานฝึกยุทธ์เล็กๆ
“กระบวนท่าแรก สวรรค์ถล่มสายลมชะงัก!”
หลัวเฉิงแทงกระบี่ของเขาไปเบื้องหน้า ก่อนปรากฏแสงสว่างราวสายอัสนีบาต ทะลวงเข้ายังแผ่นหินขนาดใหญ่ทันที
ปัง!
บนแผ่นหินขนาดใหญ่ปรากฏรูกระบี่ ที่ถูกทะลวงจนเป็นร่องลึก
กระบี่เล่มนี้ ทำให้แผ่นหินขนาดใหญ่ถึงกับถูกทะลวงจนเป็นรู!
ครั้นได้เห็นเช่นนั้น หลัวเฉิงก็พยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏบนมุมปากขณะนี้
“ไม่เลวเลย นี่มันเกือบจะบรรลุขั้นสำเร็จเล็กน้อยแล้ว เอาไว้ข้าค่อยฝึกฝนกระบวนท่าที่สองของทลายสวรรค์สี่กระบวนในภายหลัง”
หลัวเฉิงมั่นใจว่า หากเขาเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งในขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ระดับสาม หลัวเฉิงจะสามารถสังหารเขาได้ทันทีด้วยกระบี่เดียว!
สิ่งเดียวที่ยังทำให้หลัวเฉิงรู้สึกเป็นกังวล คือการฝึกฝนวิชามังกรแท้ยังไม่ได้รับความคืบหน้าแม้แต่น้อย
ตอนนี้เขาไม่ได้คิดฝึกฝนต่อ หลัวเฉิงกลับไปที่เรือนตนแล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นหยิบกล่องหยกสามใบ ที่บรรจุโอสถหลอมแล้วมุ่งหน้าไปยังศาลาหลินอวิ๋นทันที
ณ ศาลาหลิงอวิ๋นตอนนี้ก็เต็มไปด้วยความครึกครื้นดั่งเช่นทุกครั้ง ทว่า เมื่อผู้คนโดยรอบสังเกตเห็นการมาของหลัวเฉิง พวกเขาก็เริ่มหลีกทางออกเป็นวงกว้าง โดยหาได้มีผู้ใดกล้าขวางทางแม้เพียงคน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหนานเฉิงฟางนั้น ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองฉีซานแล้ว ในขณะนี้ จึงไม่มีผู้ใดริอาจกล้าดูถูกหลัวเฉิงอีก
หลัวเฉิงไม่ได้สนใจในแววตาของผู้อื่น เขาเดินตามเถ้าแก่ซูขึ้นไปบนชั้นสองของศาลา
ตอนนี้ ลั่วเหยาและโม่หลินก็อยู่ที่นั่นทั้งคู่
“ดี! ดีมาก! ดี! โอสถทุกเม็ดล้วนสมบูรณ์แบบ! ด้วยโอสถเหล่านี้ ข้าจะต้องสามารถสร้างโอสถวิญญาณชั้นยอดได้อย่างแน่นอน!”
เมื่อเห็นโอสถที่หลัวเฉิงนำมาในครั้งนี้ โม่หลินก็เอาแต่กล่าวคำว่าดีติดต่อกันสามครั้งติด ท่าทางและสีหน้าเขาดูสำราญใจและตื่นเต้นยิ่งนัก
หลัวเฉิงยิ้มกระยิ่มในใจ นี่เรียกว่าความสมบูรณ์แบบแล้วงั้นหรือ?
เขาควบคุมความบริสุทธิ์ของโอสถเอาไว้เพียงเก้าสิบหกจุดในร้อย ทั้งยังทิ้งของเสียเจือปนหลงเหลือเอาไว้บ้าง หากเขาหลอมให้มันบริสุทธิ์จริงๆ เขาอยากเห็นนักว่าโม่หลินจะทำหน้าเช่นไรหากได้เห็นมัน
จากนั้นไม่นาน โม่หลินก็เก็บโอสถเอาไว้แล้วมองยังหลัวเฉิง ก่อนเอ่ยถามว่า “คุณชายหลัว พลังวิญญาณของท่านไปถึงระดับใดแล้ว?”
หลัวเฉิงเลิกคิ้วด้วยสีหน้างุนงง “พลังวิญญาณงั้นหรือ?”
โม่หลินเห็นสีหน้าหลัวเฉิงเช่นนั้นจึงรู้สึกประหลาดใจ “ผู้อาวุโสท่านนั้นมิได้ทดสอบพลังวิญญาณของคุณชายหรอกหรือ?”
ครั้นได้เห็นพรสวรรค์ด้านกระบี่ของหลัวเฉิง โม่หลินก็คาดเดาเอาไว้ว่า หลัวเฉิงคงได้รับเลือกจากราชาโอสถ เพราะความสามารถที่โดดเด่นด้านพลังวิญญาณ
เพียงแต่ ตอนนี้ดูเหมือนหลัวเฉิงจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพลังวิญญาณคืออะไร!
หลัวเฉิงพึมพำในใจ ทุกอย่างที่เขาทำมาตั้งแต่ต้นนั้นล้วนเป็นเรื่องแต่งขึ้น ตอนนี้คงต้องหาข้อแก้ตัวนับพันเพื่อเอาตัวรอดแล้ว
“ไม่ ข้าเป็นเพียงศิษย์ของเขาในนามเท่านั้น อาจารย์ยังไม่ได้สอนทักษะใดให้ข้า เขาบอกว่าข้าต้องเดินไปตามวิถีของตน ซึ่งนี่คือบททดสอบของข้าว่าจะสามารถเป็นลูกศิษย์เขาได้หรือไม่”
อากัปกิริยาของหลัวเฉิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเขายังกล่าววาจาโป้ปลดออกไปอย่างฉะฉาน
โม่หลินพยักหน้าพร้อมพึมพำในใจ บุคคลในตำนานอย่างราชาโอสถนั้นช่างมีวิธีรับลูกศิษย์ที่แตกต่างจากผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง
“หากคุณชายมีโอกาส ท่านก็สามารถลองทดสอบพลังวิญญาณได้” โม่หลินกล่าว
หลัวเฉิงพยักหน้าและทอดถอนใจด้วยความโล่งอก เนื่องจากคำโกหกของเขาช่างให้ผลลัพธ์ดีเยี่ยมนัก
เส้นผมอันเงางามของลั่วเหยากระพือเบาๆ ขณะสืบเท้าเข้าหาหลัวเฉิง จากนั้นนางจึงหยิบป้ายหยกออกมาวางไว้บนมือของหลัวเฉิงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์
“นี่คือป้ายหยกหลิงเซียวของศาลาหลิงอวิ๋นของเรา ด้วยป้ายหยกนี้ เจ้าสามารถเพลิดเพลินไปกับการดูแลแบบพิเศษจากศาลาหลินอวิ๋น ทั้งยังได้รับส่วนลดสองในสิบส่วนจากการซื้อของในศาลาอีกด้วย”
หลัวเฉิงรับป้ายหยกจากมือนางด้วยความรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “ขอบคุณพี่สาวลั่วเหยา!”
ทรัพยากรของผู้ฝึกยุทธ์นั้นมีมากมายมหาศาล ตัวอย่างเช่น โอสถระดับสี่ดาวมีมูลค่ากว่าล้านตำลึง ด้วยส่วนลดสองส่วนจะสามารถประหยัดเงินได้มากถึงสองแสนตำลึง! หากใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานจะพบว่าส่วนลดที่ได้นั้นมีมากมายมหาศาล!
หลังจากสนทนากันอีกสองสามคำ หลัวเฉิงก็กล่าวคำอำลาและจากไป
ลั่วเหยาขยับเรือนร่างไปยืนพิงริมหน้าต่าง ขณะดวงตาอันงดงามสดใสทอดมองยังแผ่นหลังของหลัวเฉิงจากระยะไกล ก่อนที่ริมฝีปากแดงสดของนางเผยอเอ่ยขึ้น
“ผู้อาวุโสโม่ จะไม่มีสำนักใดยอมรับเขาเข้าไปฝึกฝนจริงงั้นหรือ?”
โม่หลินส่ายศีรษะแล้วกล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจ “แม้พรสวรรค์ด้านกระบี่ของหลัวเฉิงนั้นจะโดดเด่นจนน่าทึ่งก็ตาม แต่น่าเสียดายที่เขาปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดยอมรับเขาเข้าสู่สำนักหลักเพื่อฝึกฝน”
เมื่อสามวันก่อน ลั่วเหยาส่งสาส์นไปยังผู้อาวุโสระดับสูงของศาลาหลิงอวิ๋น โดยในเนื้อหานั้นนางแนะนำหลัวเฉิงต่อผู้อาวุโสระดับสูง เพื่อให้พวกเขาพาหลัวเฉิงเข้าสำนักหลักเพื่อฝึกฝน
ทว่า คำตอบที่นางได้รับมามีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น
ไม่!
ลั่วเหยาทอดถอนใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ก่อนดวงตาอันสดใสที่ประกายความเศร้าหมองนั้นจะทอดมองยังท้องฟ้า ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“วิญญาณยุทธ์เป็นทุกสิ่งจริงหรือ? วิญญาณยุทธ์ขยะที่ไม่อาจพัฒนาได้ มันทำได้เพียงแค่รอวันที่จะหายไปจากสายตาของผู้คนเท่านั้นเองหรือ?”
โม่หลินที่ยืนรับฟังอยู่นั้นก็เงียบงันไปนาน ก่อนนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาจึงได้เอ่ยทันที
“ข้าเคยได้ยินเรื่องราวที่เล่าสืบขานมาเรื่องหนึ่ง! อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงสิ่งที่ถูกกล่าวขานกันมาปากต่อปาก และความจริงของเรื่องนี้ยังคงคลุมเครืออยู่”
“ว่ากันว่า ในสมัยโบราณนั้น มีชายคนหนึ่งได้ปลูกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา แต่เขาไม่ยอมแพ้ต่อชะตาตนเอง จึงลุกขึ้นฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวงจนสามารถเอาชนะอัจฉริยะนับไม่ถ้วน และกลายเป็นจักรพรรดิเซียน เขาถูกมองว่าเป็นผู้ไร้เทียมทาน อันที่จริง ชายผู้นี้ยังสถาปนาตนเองเป็น”
“จักรพรรดิสวรรค์!”