บทที่ 48 เจ้าตายไม่ได้!!
เว่ยฉางเทียนยังไม่ตาย แต่เหมือนว่าก็ใกล้จะตายเต็มที
ทุกคนตกตะลึงค้างอยู่ที่เดิม มีเพียงปีศาจวานรที่ยังคงตามล่าเว่ยฉางเทียนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ มันเตรียมจะปลิดชีพชายที่ฟาดฟันมันจนบาดเจ็บ
มันคำรามกระโดดขึ้นกลางอากาศ ยกหมัดทั้งสองขึ้นสูง กำลังที่อัดแน่นพอที่จะบดขยี้เว่ยฉางเทียนและซวีชิงหว่านที่อยู่ใต้ร่างเขาให้แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
โจวเฉิงมองเหตุการณ์นี้ตาเบิกกว้าง ดาบในมือสั่นเล็กน้อย
เขาไม่เข้าใจว่าเว่ยฉางเทียนทำไมต้องทำแบบนี้
ถ้าไม่บัง ซวีชิงหว่านก็ตายคนเดียว
แต่ถ้าบัง ทั้งคู่ก็ตาย
วีรบุรุษช่วยหญิงงามหรือ?
แต่ถ้าเสียชีวิตไป จะมีความหมายอะไร?
ยิ่งไปกว่านั้น สุดท้ายก็ไม่สามารถช่วยซวีชิงหว่านได้ แค่ยืดเวลาให้เธออยู่ได้อีกไม่กี่วินาทีเท่านั้น
โจวเฉิงไม่เข้าใจ
ซวีชิงหว่านเองก็ไม่เข้าใจ
และปีศาจวานรก็ไม่ได้ให้เวลาเธอคิดเรื่องนี้
มองดูเงาดำที่ใกล้เข้ามา เธอทำได้เพียงตอบสนองตามสัญชาตญาณ
เธอจะบังเว่ยฉางเทียนจากหมัดนี้ ถึงแม้ว่าจะบังไม่อยู่ก็ตาม
เธอกอดชายในอ้อมแขนแน่น กัดฟันฝืนความเจ็บปวดที่หน้าอก เตรียมจะพลิกร่างป้องกันเว่ยฉางเทียนไว้ใต้ตัวเธอ
แต่ในขณะนั้นเอง มือที่เปื้อนเลือดก็ผลักเธอกลับลงไป
“เจ้า!”
ซวีชิงหว่านนอนหงายอยู่บนพื้น ห่างจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดไม่กี่นิ้ว
มองดูเว่ยฉางเทียนที่ใบหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดจนบิดเบี้ยว เธอก็รู้สึกเจ็บปวดใจ
เจ็บปวดกว่าการที่เงินทั้งหมดของเธอถูกแย่งไปเสียอีก
น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกจากหางตา ไม่นานก็ถูกย้อมด้วยเลือดจนเป็นสีแดง
นี่เป็นครั้งแรกที่ซวีชิงหว่านร้องไห้ตั้งแต่หัดฝึกวิชาตั้งแต่ห้าขวบ และอาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเธอ
เวลาเหมือนจะหยุดลงชั่วขณะ
และเมื่อมันเริ่มเคลื่อนต่อ เว่ยฉางเทียนก็ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ ในสายตาที่ตกตะลึงของทุกคน
“เคล้ง….”
ดาบใบหลิวที่อยู่ข้างเอวของซวีชิงหว่านถูกดึงออกจากฝักอีกครั้ง
แต่คราวนี้ การเคลื่อนไหวของเว่ยฉางเทียนกลับช้ามาก
เขาหายใจหอบหนัก มองไปที่ปีศาจวานรที่กำลังพุ่งลงมา
“เจ้าหลบไป!!”
ซวีชิงหว่านร้องตะโกนอย่างสิ้นหวัง
แต่เงาร่างที่บังอยู่ข้างหน้ากลับไม่สนใจ
เข่าที่สั่นเทาค่อย ๆ งอ ดาบใบหลิวชี้ขึ้นฟ้า
เว่ยฉางเทียนหยุดชั่วขณะ แล้วรวบรวมกำลังทั้งหมดพุ่งเข้าใส่ปีศาจวานร
“แม่งเอ๊ย ตายซะ!!!”
“ฮึ๊วววว!!!”
คนกับปีศาจคำรามเข้าใส่กันในอากาศ แรงกระแทกมหาศาลทำให้ฝุ่นละอองและหินเล็ก ๆ กระจายฟุ้งไปทั่ว
“ปัง!!”
ในหมอกควันนั้น เว่ยฉางเทียนเหมือนถุงกระสอบที่ถูกเหวี่ยงอย่างแรง ลอยกลับมาและกระแทกพื้นอย่างรุนแรง ก่อนจะดีดตัวขึ้นแล้วตกลงมาอีกครั้ง สุดท้ายเขานอนคว่ำหน้าแน่นิ่งไม่ไหวติง
ส่วนปีศาจวานร…ดาบใบหลิวเสียบทะลุศีรษะมัน ด้ามดาบจมลงไปครึ่งหนึ่ง
“ตุ๊บ!”
ร่างปีศาจล้มลง เลือดกระจายไปทั่วอากาศ
แต่ซวีชิงหว่านไม่แม้แต่จะมอง
เธอคลานไปหาเว่ยฉางเทียน ไม่สนว่าเขาจะตายหรือไม่ รีบหยิบขวดยาจากกระเป๋าเสื้อเพื่อป้อนยาให้เขา
แต่เพราะมือสั่น ขวดยาหลุดจากมือ ยาเม็ดเล็ก ๆ กระจัดกระจายไปทั่ว
ซวีชิงหว่านกัดฟันแน่น คุกเข่าเก็บยาอย่างลนลาน ทุกครั้งที่เก็บได้ก็รีบป้อนใส่ปากเว่ยฉางเทียนทันที
“เจ้า เจ้าตายไม่ได้…”
“ดาบของข้าถูกเจ้าทำหายอีกแล้ว เจ้า เจ้าต้องชดใช้…”
“ขอร้องล่ะ…อย่าตายเลย…”
......
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ณ ถนนหลักของเมืองซานหยาง
ขณะนั้นเป็นเวลาตรงกับช่วงเที่ยง ถนนเต็มไปด้วยแผงลอยขายซาลาเปาและขนมปังอบ พนักงานจากร้านค้าใกล้เคียงส่วนใหญ่ใช้เงินเพียงไม่กี่เหรียญเพื่อซื้ออาหารกลางวัน
เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ถนนสายนี้คึกคักและแออัดที่สุดในหนึ่งวัน
แต่ในขณะนั้นเอง ที่ปลายถนนฝั่งตะวันออกกลับเกิดความวุ่นวาย
หลายคนเงยหน้ามองด้วยความอยากรู้ จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงม้าดังกระหึ่มใกล้เข้ามา
“หน่วยสืบสวนเซวียนจิ้งกำลังทำงาน!!”
“ทุกคนหลีกทาง!!”
“ใครขวาง ถูกฆ่า!!”
“ทุกคนหลีกไป!!!”
บนหลังม้าสีเกาลัด โจวเฉิงยกตราของหน่วยสืบสวนเซวียนจิ้งด้วยมือเดียว ขณะที่ขาทั้งสองข้างตบที่ท้องม้าไม่หยุด ทุกที่ที่เขาผ่านไป ผู้คนต่างรีบหลบไปที่ข้างทางอย่างตกใจและเปิดทางให้
และตามหลังเขามามีทหารองครักษ์ของเจ้าเมืองสิบกว่านาย คุ้มกันรถม้าที่แล่นมาอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นทั้งถนนหลักก็เต็มไปด้วยเสียงไก่ร้องหมาเห่า ความโกลาหลไม่หยุดหย่อน
แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่พอใจ แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรในตอนนี้ อย่างมากก็แค่พูดคุยกับเพื่อนเกี่ยวกับว่าคนที่อยู่บนรถม้านั้นเป็นใคร หรือว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น
แต่เรื่องเหล่านี้สุดท้ายก็ยังไกลเกินไปจากชีวิตของพวกเขา
เมื่อโจวเฉิงและพรรคพวกของเขาผ่านไปแล้ว ถนนหลักก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว
บางคนก็ยังได้รับผลกระทบอยู่บ้าง
อย่างเช่นชายอ้วนขายซาลาเปาคนหนึ่ง ที่ตอนนี้กำลังมองไปที่ชั้นซึ่งว่างเปล่าอยู่หลายตำแหน่งและบ่นพึมพำ
ซาลาเปาที่เคยวางอยู่ ตอนนี้กลับไม่มีแล้ว
ชัดเจนว่ามีคนแอบขโมยไปตอนที่เกิดความวุ่นวาย
“แหวะ! ขโมยแค่ซาลาเปาไม่กี่ลูก!”
“เกิดลูกไม่มีทวารขึ้นมา! ไม่! คนแบบนี้ควรจะต้องตายโหงตายห่า!”
“หน่วยสืบสวนเซวียนจิ้ง เหอะ! มีเวลาอวดเบ่ง ทำไมไม่จับขโมยให้มากหน่อย…”
เสียงของเขาค่อย ๆ เบาลง ดูเหมือนจะไม่กล้าพูดต่อและเปลี่ยนความโกรธไปยังแป้งโดในมือแทน
เขาบีบแป้งโดอย่างแรง แล้วโยนขึ้นไปบนโต๊ะทำงาน
“ปัง!”
“ท่านผู้ชมทั้งหลาย! คราวก่อนที่เราพูดถึงเรื่องราวของนักปราชญ์หนุ่มที่ออกเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อสอบ แต่กลับพบกับฝนตกหนักในป่า…”
ในร้านน้ำชาหลังหนึ่งในเมืองหลวง นักเล่าเรื่องกำลังยกไม้ตะลุมพุกขึ้นสูงแล้วฟาดลงอย่างหนัก แนวเสียงของเขาขึ้นลงอย่างเหมาะสม
เมื่อไม่นานมานี้ เขากำลังเล่าเรื่อง “สถานะขุนพลกลางคืน” ซึ่งเล่าเรื่องของนักปราชญ์หนุ่มที่ถูกกินโดยปีศาจกลางคืนระหว่างทางไปสอบ และปีศาจนั้นก็แปลงร่างเป็นนักปราชญ์แล้วเข้าร่วมการสอบแทน สุดท้ายกลับได้เป็นขุนพลกลางคืน
เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ลู่จิ้งเหยาไม่เคยได้ฟังมาก่อน เธอจึงมาติดตามฟังที่นี่สี่ห้าครั้งแล้ว
ทั้งสามด้านของที่นั่งเธอถูกกั้นด้วยฉากบังตา มีเพียงด้านที่หันไปทางนักเล่าเรื่องที่เปิดโล่ง
ลู่จิ้งเหยานั่งฟังด้วยความตั้งใจ ส่วนหยวนเอ๋อร์กลับอยู่ข้าง ๆ และหาวหวอด ๆ ในหัวคิดแต่เรื่องกลับไปเล่นไพ่อย่างเดียว
ทุกอย่างดูเป็นปกติ แต่ในขณะหนึ่ง ลู่จิ้งเหยาและหยวนเอ๋อร์กลับรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา
“หยวนเอ๋อร์ ข้ารู้สึกไม่สบายใจเฉย ๆ เมื่อกี้”
“โอ๊ย! คุณหนู ข้าก็เหมือนกัน!”
“อ้า? เกิดอะไรขึ้นกันนะ?”
“ข้สก็ไม่รู้สิ…หรือว่าจะเป็นเรื่องของคุณชาย?”
“อุ๊บ! อย่าพูดแบบนั้น!”
ลู่จิ้งเหยาใช้มือผลักหยวนเอ๋อร์เล็กน้อย แล้วค่อย ๆ ตบอกตัวเองเบา ๆ ทำให้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
ขณะนั้น นักเล่าเรื่องกำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่นักปราชญ์ถูกปีศาจกลางคืนกิน ผู้คนในร้านต่างพูดคุยกันด้วยความเสียดาย
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีชายหนุ่มรูปร่างธรรมดาคนหนึ่งกำลังยืนลังเลอยู่ข้างฉากบังตาของลู่จิ้งเหยา