ตอนที่แล้วบทที่ 47 วิกฤตแห่งความตาย 
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 49 ไม่มีใครต้องตาย 

บทที่ 48 เจ้าตายไม่ได้!! 


เว่ยฉางเทียนยังไม่ตาย แต่เหมือนว่าก็ใกล้จะตายเต็มที

ทุกคนตกตะลึงค้างอยู่ที่เดิม มีเพียงปีศาจวานรที่ยังคงตามล่าเว่ยฉางเทียนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ มันเตรียมจะปลิดชีพชายที่ฟาดฟันมันจนบาดเจ็บ

มันคำรามกระโดดขึ้นกลางอากาศ ยกหมัดทั้งสองขึ้นสูง กำลังที่อัดแน่นพอที่จะบดขยี้เว่ยฉางเทียนและซวีชิงหว่านที่อยู่ใต้ร่างเขาให้แหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

โจวเฉิงมองเหตุการณ์นี้ตาเบิกกว้าง ดาบในมือสั่นเล็กน้อย

เขาไม่เข้าใจว่าเว่ยฉางเทียนทำไมต้องทำแบบนี้

ถ้าไม่บัง ซวีชิงหว่านก็ตายคนเดียว

แต่ถ้าบัง ทั้งคู่ก็ตาย

วีรบุรุษช่วยหญิงงามหรือ?

แต่ถ้าเสียชีวิตไป จะมีความหมายอะไร?

ยิ่งไปกว่านั้น สุดท้ายก็ไม่สามารถช่วยซวีชิงหว่านได้ แค่ยืดเวลาให้เธออยู่ได้อีกไม่กี่วินาทีเท่านั้น

โจวเฉิงไม่เข้าใจ

ซวีชิงหว่านเองก็ไม่เข้าใจ

และปีศาจวานรก็ไม่ได้ให้เวลาเธอคิดเรื่องนี้

มองดูเงาดำที่ใกล้เข้ามา เธอทำได้เพียงตอบสนองตามสัญชาตญาณ

เธอจะบังเว่ยฉางเทียนจากหมัดนี้ ถึงแม้ว่าจะบังไม่อยู่ก็ตาม

เธอกอดชายในอ้อมแขนแน่น กัดฟันฝืนความเจ็บปวดที่หน้าอก เตรียมจะพลิกร่างป้องกันเว่ยฉางเทียนไว้ใต้ตัวเธอ

แต่ในขณะนั้นเอง มือที่เปื้อนเลือดก็ผลักเธอกลับลงไป

“เจ้า!”

ซวีชิงหว่านนอนหงายอยู่บนพื้น ห่างจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดไม่กี่นิ้ว

มองดูเว่ยฉางเทียนที่ใบหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดจนบิดเบี้ยว เธอก็รู้สึกเจ็บปวดใจ

เจ็บปวดกว่าการที่เงินทั้งหมดของเธอถูกแย่งไปเสียอีก

น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกจากหางตา ไม่นานก็ถูกย้อมด้วยเลือดจนเป็นสีแดง

นี่เป็นครั้งแรกที่ซวีชิงหว่านร้องไห้ตั้งแต่หัดฝึกวิชาตั้งแต่ห้าขวบ และอาจเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของเธอ

เวลาเหมือนจะหยุดลงชั่วขณะ

และเมื่อมันเริ่มเคลื่อนต่อ เว่ยฉางเทียนก็ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ ในสายตาที่ตกตะลึงของทุกคน

“เคล้ง….”

ดาบใบหลิวที่อยู่ข้างเอวของซวีชิงหว่านถูกดึงออกจากฝักอีกครั้ง

แต่คราวนี้ การเคลื่อนไหวของเว่ยฉางเทียนกลับช้ามาก

เขาหายใจหอบหนัก มองไปที่ปีศาจวานรที่กำลังพุ่งลงมา

“เจ้าหลบไป!!”

ซวีชิงหว่านร้องตะโกนอย่างสิ้นหวัง

แต่เงาร่างที่บังอยู่ข้างหน้ากลับไม่สนใจ

เข่าที่สั่นเทาค่อย ๆ งอ ดาบใบหลิวชี้ขึ้นฟ้า

เว่ยฉางเทียนหยุดชั่วขณะ แล้วรวบรวมกำลังทั้งหมดพุ่งเข้าใส่ปีศาจวานร

“แม่งเอ๊ย ตายซะ!!!”

“ฮึ๊วววว!!!”

คนกับปีศาจคำรามเข้าใส่กันในอากาศ แรงกระแทกมหาศาลทำให้ฝุ่นละอองและหินเล็ก ๆ กระจายฟุ้งไปทั่ว

“ปัง!!”

ในหมอกควันนั้น เว่ยฉางเทียนเหมือนถุงกระสอบที่ถูกเหวี่ยงอย่างแรง ลอยกลับมาและกระแทกพื้นอย่างรุนแรง ก่อนจะดีดตัวขึ้นแล้วตกลงมาอีกครั้ง สุดท้ายเขานอนคว่ำหน้าแน่นิ่งไม่ไหวติง

ส่วนปีศาจวานร…ดาบใบหลิวเสียบทะลุศีรษะมัน ด้ามดาบจมลงไปครึ่งหนึ่ง

“ตุ๊บ!”

ร่างปีศาจล้มลง เลือดกระจายไปทั่วอากาศ

แต่ซวีชิงหว่านไม่แม้แต่จะมอง

เธอคลานไปหาเว่ยฉางเทียน ไม่สนว่าเขาจะตายหรือไม่ รีบหยิบขวดยาจากกระเป๋าเสื้อเพื่อป้อนยาให้เขา

แต่เพราะมือสั่น ขวดยาหลุดจากมือ ยาเม็ดเล็ก ๆ กระจัดกระจายไปทั่ว

ซวีชิงหว่านกัดฟันแน่น คุกเข่าเก็บยาอย่างลนลาน ทุกครั้งที่เก็บได้ก็รีบป้อนใส่ปากเว่ยฉางเทียนทันที

“เจ้า เจ้าตายไม่ได้…”

“ดาบของข้าถูกเจ้าทำหายอีกแล้ว เจ้า เจ้าต้องชดใช้…”

“ขอร้องล่ะ…อย่าตายเลย…”

......

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ณ ถนนหลักของเมืองซานหยาง

ขณะนั้นเป็นเวลาตรงกับช่วงเที่ยง ถนนเต็มไปด้วยแผงลอยขายซาลาเปาและขนมปังอบ พนักงานจากร้านค้าใกล้เคียงส่วนใหญ่ใช้เงินเพียงไม่กี่เหรียญเพื่อซื้ออาหารกลางวัน

เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ถนนสายนี้คึกคักและแออัดที่สุดในหนึ่งวัน

แต่ในขณะนั้นเอง ที่ปลายถนนฝั่งตะวันออกกลับเกิดความวุ่นวาย

หลายคนเงยหน้ามองด้วยความอยากรู้ จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงม้าดังกระหึ่มใกล้เข้ามา

“หน่วยสืบสวนเซวียนจิ้งกำลังทำงาน!!”

“ทุกคนหลีกทาง!!”

“ใครขวาง ถูกฆ่า!!”

“ทุกคนหลีกไป!!!”

บนหลังม้าสีเกาลัด โจวเฉิงยกตราของหน่วยสืบสวนเซวียนจิ้งด้วยมือเดียว ขณะที่ขาทั้งสองข้างตบที่ท้องม้าไม่หยุด ทุกที่ที่เขาผ่านไป ผู้คนต่างรีบหลบไปที่ข้างทางอย่างตกใจและเปิดทางให้

และตามหลังเขามามีทหารองครักษ์ของเจ้าเมืองสิบกว่านาย คุ้มกันรถม้าที่แล่นมาอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นทั้งถนนหลักก็เต็มไปด้วยเสียงไก่ร้องหมาเห่า ความโกลาหลไม่หยุดหย่อน

แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่พอใจ แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรในตอนนี้ อย่างมากก็แค่พูดคุยกับเพื่อนเกี่ยวกับว่าคนที่อยู่บนรถม้านั้นเป็นใคร หรือว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น

แต่เรื่องเหล่านี้สุดท้ายก็ยังไกลเกินไปจากชีวิตของพวกเขา

เมื่อโจวเฉิงและพรรคพวกของเขาผ่านไปแล้ว ถนนหลักก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว

บางคนก็ยังได้รับผลกระทบอยู่บ้าง

อย่างเช่นชายอ้วนขายซาลาเปาคนหนึ่ง ที่ตอนนี้กำลังมองไปที่ชั้นซึ่งว่างเปล่าอยู่หลายตำแหน่งและบ่นพึมพำ

ซาลาเปาที่เคยวางอยู่ ตอนนี้กลับไม่มีแล้ว

ชัดเจนว่ามีคนแอบขโมยไปตอนที่เกิดความวุ่นวาย

“แหวะ! ขโมยแค่ซาลาเปาไม่กี่ลูก!”

“เกิดลูกไม่มีทวารขึ้นมา! ไม่! คนแบบนี้ควรจะต้องตายโหงตายห่า!”

“หน่วยสืบสวนเซวียนจิ้ง เหอะ! มีเวลาอวดเบ่ง ทำไมไม่จับขโมยให้มากหน่อย…”

เสียงของเขาค่อย ๆ เบาลง ดูเหมือนจะไม่กล้าพูดต่อและเปลี่ยนความโกรธไปยังแป้งโดในมือแทน

เขาบีบแป้งโดอย่างแรง แล้วโยนขึ้นไปบนโต๊ะทำงาน

“ปัง!”

“ท่านผู้ชมทั้งหลาย! คราวก่อนที่เราพูดถึงเรื่องราวของนักปราชญ์หนุ่มที่ออกเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อสอบ แต่กลับพบกับฝนตกหนักในป่า…”

ในร้านน้ำชาหลังหนึ่งในเมืองหลวง นักเล่าเรื่องกำลังยกไม้ตะลุมพุกขึ้นสูงแล้วฟาดลงอย่างหนัก แนวเสียงของเขาขึ้นลงอย่างเหมาะสม

เมื่อไม่นานมานี้ เขากำลังเล่าเรื่อง “สถานะขุนพลกลางคืน” ซึ่งเล่าเรื่องของนักปราชญ์หนุ่มที่ถูกกินโดยปีศาจกลางคืนระหว่างทางไปสอบ และปีศาจนั้นก็แปลงร่างเป็นนักปราชญ์แล้วเข้าร่วมการสอบแทน สุดท้ายกลับได้เป็นขุนพลกลางคืน

เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ลู่จิ้งเหยาไม่เคยได้ฟังมาก่อน เธอจึงมาติดตามฟังที่นี่สี่ห้าครั้งแล้ว

ทั้งสามด้านของที่นั่งเธอถูกกั้นด้วยฉากบังตา มีเพียงด้านที่หันไปทางนักเล่าเรื่องที่เปิดโล่ง

ลู่จิ้งเหยานั่งฟังด้วยความตั้งใจ ส่วนหยวนเอ๋อร์กลับอยู่ข้าง ๆ และหาวหวอด ๆ ในหัวคิดแต่เรื่องกลับไปเล่นไพ่อย่างเดียว

ทุกอย่างดูเป็นปกติ แต่ในขณะหนึ่ง ลู่จิ้งเหยาและหยวนเอ๋อร์กลับรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา

“หยวนเอ๋อร์ ข้ารู้สึกไม่สบายใจเฉย ๆ เมื่อกี้”

“โอ๊ย! คุณหนู ข้าก็เหมือนกัน!”

“อ้า? เกิดอะไรขึ้นกันนะ?”

“ข้สก็ไม่รู้สิ…หรือว่าจะเป็นเรื่องของคุณชาย?”

“อุ๊บ! อย่าพูดแบบนั้น!”

ลู่จิ้งเหยาใช้มือผลักหยวนเอ๋อร์เล็กน้อย แล้วค่อย ๆ ตบอกตัวเองเบา ๆ ทำให้รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

ขณะนั้น นักเล่าเรื่องกำลังพูดถึงเหตุการณ์ที่นักปราชญ์ถูกปีศาจกลางคืนกิน ผู้คนในร้านต่างพูดคุยกันด้วยความเสียดาย

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีชายหนุ่มรูปร่างธรรมดาคนหนึ่งกำลังยืนลังเลอยู่ข้างฉากบังตาของลู่จิ้งเหยา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด