บทที่ 90 ความหวังของตระกูลหลิน
แม้นพวกเขาจะได้ยินเรื่องนี้เต็มสองหู แต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี
หลัวเหิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “เฉิงเอ๋อร์ นี่เจ้าฝึกฝนด้วยวิธีใดงั้นหรือ?”
ผู้คนโดยรอบโต๊ะยามนี้ต่างจับจ้องยังหลัวเฉิงเป็นตาเดียว พวกเขาก็ล้วนอยากรู้เกี่ยวกับการฝึกฝนนี้เช่นเดียวกัน
หลัวเฉิงเคยคิดเรื่องเหตุผลมาบ้างแล้ว จึงกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “มันอาจจะเกี่ยวข้องกับที่ข้าสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอดได้กระมัง”
โม่หลินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “การฝึกฝนจนสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอดนั้น จะทำให้ร่างกายของผู้ฝึกฝนได้รับการขัดเกลาจนสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ทั้งเขายังได้รับความแข็งแกร่งสองพันจินตั้งแต่อยู่ในขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอดอีกต่างหาก จึงไม่เป็นการยากเลยที่จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ แม้นตอนนี้เขาจะอยู่ในระดับสองของขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ก็มิเป็นเรื่องแปลกอันใด”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ทุกคนก็พยักหน้า
การได้รับความแข็งแกร่งถึงสองพันจินในขั้นหลอมกายาขั้นสุดยอดนั้นไม่เคยมีปรากฏมาก่อน ดังนั้นเรื่องนี้จึงมีความน่าเชื่อถือค่อนข้างสูง
อวิ๋นเต้าเจี้ยงแย้มยิ้มกล่าวว่า “เป็นยอดวีรชนตั้งแต่อายุยังน้อย! เกรงว่าอนาคตของหลัวเฉิงนั้นคงไร้ขีดจำกัดเป็นแน่ ต้องขอแสดงความยินดีกับผู้นำตระกูลหลัวด้วย”
หลังทราบว่า หลัวเฉิงได้ช่วยเหลืออวิ๋นเหมิงลี่ไว้ที่หุบเขาเมฆาทมิฬ นั่นทำให้อวิ๋นเต้าเจี้ยงรู้สึกประทับใจในตัวของหลัวเฉิงยิ่งนัก
เมื่อมองหลัวเฉิงอย่างละเอียดขณะนี้ บนใบหน้าของเขาปรากฏคิ้วรูปดาบ นัยน์ตาลึกส่องประกายดุจดวงดารา กระทั่งอากัปกิริยาก็สง่างามยิ่งนัก
ขณะนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดในเมืองหนานเฉิงฟางวันนี้ อวิ๋นเต้าเจี้ยงก็ได้ประเมินความสามารถของหลัวเฉิงในใจเอาไว้สูงมากขึ้น
แต่ช่างน่าเสียดายนัก ที่หลัวเฉิงนั้นได้ปลุกวิญญาณยุทธ์ขยะขึ้นมา มิฉะนั้น เขาจะเป็นดั่งปลาในสระ ที่รอวันกลายร่างเป็นมังกรแล้วทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าอย่างแน่นอน!
“ฮ่าฮ่า ท่านเจ้าเมืองอวิ๋นช่างเป็นคนใจกว้างยิ่งนัก”
หลัวหมิงซานมีใบหน้าสำราญใจยิ่งนัก เขายกจอกสุราขึ้นแล้วกล่าวว่า “มาๆ ดื่ม! วันนี้ท่านต้องร่ำสุรากับข้าให้เต็มที่ ไม่เมาไม่เลิกรา!”
“ไม่เมาไม่เลิกรา ดื่ม!” อวิ๋นเต้าเจี้ยงกล่าวพร้อมกับยกจอกสุราขึ้นดื่มเช่นเดียวกัน
หากเทียบกับความคึกคักของตระกูลหลัวในยามนี้แล้ว อีกด้านหนึ่งทางฝั่งของตระกูลหลินกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ณ พื้นที่ตรงนี้ ห่างจากเมืองฉีซานหลายร้อยลี้ คนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีขบวนยาวกว่าสองลี้กำลังเดินทางไปตามหุบเขาอันกว้างใหญ่รกร้าง
กลุ่มคนเหล่านั้นคือตระกูลหลิน ที่เดินทางออกจากเมืองฉีซานนั่นเอง
หลินชางหลางไล่ยามลาดตระเวนและคนรับใช้ของตระกูลหลินออกไปเป็นจำนวนมาก ตอนนี้เหลือไว้เพียงแค่คนหลักๆ ของตระกูลเท่านั้น พวกเขากำลังเคลื่อนย้ายไปยังเมืองหวงสือ ซึ่งอยู่ห่างออกไปสองสามร้อยลี้
ทว่า ใบหน้าของทุกคนในตระกูลหลินไม่ได้แสดงความเย่อหยิ่งดั่งเช่นเมื่อก่อนอีกต่อไป ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดดูเศร้าหมองและสิ้นหวังยิ่งนัก
ในช่วงท้ายของขบวนที่อยู่บนเชิงเขาเล็กๆ ก็ปรากฏร่างของชายชราสองคนยืนอยู่ที่นั่นยามนี้
พวกเขาคือ หลินชางหลางผู้นำตระกูลหลิน และ หลินซวนผู้อาวุโสสามของตระกูลหลิน
หลินชางหลางมองย้อนกลับไปในทิศทางของเมืองฉีซานพลางทอดถอนใจ จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเจ็บปวด “ข้าไม่คิดเลยว่า รากฐานของตระกูลหลินที่มีมานับร้อยปี จะมาถูกทำลายด้วยน้ำมือของข้าเองเช่นนี้”
หลังกล่าววาจาเช่นนั้น หลินชางหลางก็รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
หากเราไม่ได้คิดปองร้ายกับตระกูลหลัวแล้วล่ะก็...
“ผู้นำตระกูล ไฉนท่านจึงตำหนิตนเองเช่นนี้ ผู้ใดกันจะคิดว่าหลัวเฉิงคนไร้ค่าผู้นั้นจะแข็งแกร่งขึ้นได้ขนาดนี้ อีกทั้งยังกลายเป็นสหายของศาลาหลิงอวิ๋นอีกต่างหาก”
หลินซวนพยายามปลอบใจเขา ระหว่างนั้นดวงตาเขาก็วาวโรจน์กล่าวว่า “นอกจากนี้ ตระกูลหลินของเราก็ยังเหลือความหวังอยู่!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาอันหม่นหมองของหลินชางหลางก็ประกายวาวแสงเจิดจ้า จากนั้นเปิดปากกล่าวว่า “หลินหานคง เจ้าอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่”
สิ้นเสียง จู่ๆ ก็ปรากฏร่างชายหนุ่มในชุดขาว วิ่งด้วยเท้าไต่หน้าผาขึ้นมายังยอดหุบเขายามนี้
ชายหนุ่มมีอายุสิบสามหรือสิบสี่ปี มีรูปลักษณ์ภายนอกสง่าอย่างละเอียดอ่อน ในแววตาอันเย็นชานั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า
บุรุษหนุ่มผู้นี้มีนามว่าหลินหานคง เขาเป็นน้องชายของหลินอวิ๋น ทั้งยังได้ปลุกวิญญาณยุทธ์ระดับหกดาวขึ้นมาอีกด้วย แต่เนื่องจากว่าเขายังเด็กเกินไปแล้วยังอยู่ในขั้นหลอมกายาระดับแปดเท่านั้น เขาจึงไม่ได้เข้าร่วมงานชุมนุมล่าสัตว์ก่อนหน้านี้
“ท่านผู้นำตระกูล หานคงพบท่านแล้ว!”
หลินหานคงประสานมือกล่าวทักทายหลินชางหลางด้วยความเคารพ
หลินชางหลางพยักหน้าพลางกล่าวว่า “มอบของสิ่งนั้นให้เขา”
หลินซวนหยิบป้ายหยกออกมาและมอบให้หลินหานคงทันที
หลินหานคงมองยังป้ายหยกนั้น เขาเห็นอักษรนูนคำว่าซวนได้อย่างชัดเจน จากนั้นเขาจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ไม่ทราบว่าสิ่งนี้คือ?”
หลินชางหลางกล่าวว่า “นี่คือป้ายหยกของศิษย์หลักสำนักซวนหยวน เพียงใช้ป้ายหยกนี้เจ้าก็จะสามารถเข้าสู่สำนักซวนหยวนเพื่อฝึกฝนได้”
“ป้ายหยกนี้แต่เดิมเป็นของหลินอวิ๋น ทว่าตอนนี้กล้ามเนื้อและเส้นลมปราณของเขาขาดสะบั้น ดังนั้นป้ายหยกนี้มันจึงสมควรเป็นของเจ้า”
หลินอวิ๋นได้รับบาดเจ็บสาหัสตั้งแต่ต่อสู้กับหลัวเฉิง ทั้งยังได้รับผลข้างเคียงจากการกลืนโอสถสลายโลหิต ทำให้เส้นลมปราณทั่วร่างขาดสะบั้นสูญเสียรากฐานการฝึกฝนโดยสมบูรณ์ ตอนนี้เขาไม่มีโอกาสที่จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเปลี่ยนแปลงมนุษย์ได้อีกต่อไป
“สำนักซวนหยวน!”
หลังได้ฟังน้ำคำจากปากหลินชางหลาง ดวงตาของหลินหานคงก็ส่องประกายสดใส จากนั้นเขาก็กระชับป้ายหยกสำนักซวนหยวนไว้แน่น
ผู้อาวุโสสามหลินซวน กล่าวว่า “หานคง ตระกูลหลินของเราได้ประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ในตอนนี้ ตระกูลเราจะสามารถฟื้นคืนแล้วกลับสู่เมืองฉีซานอีกครั้งได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
หลินชางหลางเอ่ยย้ำเตือนอีกครั้ง “หลังจากเข้าสู่สำนักซวนหยวนแล้ว เจ้าจงตั้งใจฝึกฝนให้ดีอย่าได้เกียจคร้าน”
ดวงตาของหลินหานคงเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ท่านผู้นำตระกูล ผู้อาวุโสสาม พวกท่านไม่ต้องเป็นกังวล หลังเข้าสู่สำนักซวนหยวนสำเร็จ ข้าจะอุทิศตนฝึกฝนอย่างหนักแน่นอน คราที่ข้ากลับมาอีกครั้ง มันจะเป็นวันที่ตระกูลหลินเราได้กลับสู่เมืองฉีซาน!”
“เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะล้างแค้นให้กับพี่ชายข้าเป็นการส่วนตัว!”
“ข้าจะทำให้หลัวเฉิงและตระกูลหลัว ต้องชดใช้ต่อความอัปยศที่เกิดกับพี่ชายข้าและตระกูลหลินวันนี้ร้อยเท่า ไม่สิ ต้องพันเท่าจึงจะสาสม!”
เมื่อกล่าวถึงหลัวเฉิง ดวงตาของหลินหานคงก็ทอประกายแสงเยือกเย็นทันที
หลินชางหลางพอใจกับความทะเยอทะยานของหลินหานคงมาก เขาจึงพยักหน้ากล่าวว่า “เจ้าจงรีบออกเดินทางเถิด ผู้อาวุโสสาม ต้องรบกวนเจ้าตามไปส่งเขาที่สำนักซวนหยวนด้วย”
“ขอรับ!” ผู้อาวุโสสามประสานมือรับคำสั่ง